คำพิพากษาฯ คดีประทุษฐร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 8/ส่วนที่ 5

(สำเนา)
คำพิพากษา
ตราครุธ
ในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์
  • ศาลฎีกา
  • วันที่ ๑๒ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๗
ความอาญา
พนักงานอัยยการ กรมอัยยการ โจทก์
ระหว่าง
นายเฉลียว ปทุมรส ที่ ๑ นายชิต สิงหเสนี ที่ ๒ จำเลย
นายบุศย์ ปัทมศริน ที่ ๓
เรื่อง ประทุษฐร้ายต่อพระองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ

โจทก์, จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๒๘ เดือนตุลาคม พุทธศักราช ๒๔๙๖

โจทก์ฟ้องว่า นายเฉลียว ปทุมรส จำเลยที่ ๑ นายชิต สิงหเสนี จำเลยที่ ๒ นายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยที่ ๓ กับพรรคพวกที่ยังหลบหนีอยู่ บังอาจสมคบกันกระทำการประทุษฐร้ายต่อพระองค์พระมหากษัตริย์ในรัชกาลที่ ๘ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ต่างกรรมต่างวาระกัน คือ

ก.เมื่อระหว่างวันที่ ๙ เมษายน ๒๔๘๙ ถึงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ จำเลยทั้ง ๓ นี้ กับพรรคพวก สมคบกันคิดการตระเตรียมและกระทำการปลงพระชนม์พระองค์ท่าน โดยประชุมปรึกษาแผนการณ์ตกลงกัน ในอันที่จะกระทำการปลงพระชนม์ และให้ผู้ใดรับหน้าที่ร่วมกันไปกระทำการปลงพระชนม์ แล้วจำเลยทั้ง ๓ ช่วยปกปิด ไม่นำความไปร้องเรียน เหตุเกิดที่ตำบลชนะสงคราม ท้องที่อำเภอพระนคร จังหวัดพระนคร

ข.วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลากลางวัน นายชิต และนายบุศย์ จำเลย กับพรรคพวก สมคบกันกระทำการปลงพระชนม์พระองค์ท่าน โดยใช้อาวุธปืนยิง ๑ นัด ถูกพระนลาต ทะลุเบื้องหลังพระเศียร ในขณะบรรทมอยู่บนพระที่ เป็นเหตุให้เสด็จสวรรคตทันที ขณะที่จำเลยกับพวกจะได้กระทำการปลงพระชนม์ดั่งกล่าว นายชิต นายบุศย์ ได้ร่วมรู้อยู่ในที่นั้นด้วย จงใจไม่ถวายความพิทักษ์ตามหน้าที่มหาดเล็กห้องพระบรรทม กลับบังอาจเป็นใจช่วยเหลือให้ช่องโอกาสแก่พรรคพวก อันเป็นการอุปการะในการประทุษฐร้ายนั้นได้สำเร็จ และปกปิดไม่นำความไปร้องเรียน เหตุเกิด ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในพระบรมมหาราชวัง

ค.วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลากลางวัน ภายหลังที่ถูกปลงพระชนม์แล้ว นายชิตบังอาจเพทุบายเอาปลอกกระสุนปืน ๑ ปลอกส่งให้แก่เจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยกล่าวเท็จว่า เก็บได้ใกล้พระแท่นบรรทมในขณะถูกประทุษฐร้าย ประสงค์จะให้เจ้าหน้าที่หลงเชื่อไปในทางที่เป็นเท็จว่า เป็นปลอกกระสุนปืนที่ได้ยิงในวันนั้นจากปืนกระบอกหนึ่งซึ่งวางอยู่ใกล้พระกรเบื้องซ้าย และเพื่อจะให้หลงเชื่อต่อไปว่า ทรงใช้ปืนกระบอกนั้นประทุษฐร้ายพระองค์ท่านเอง ความจริงปืนกระบอกนั้นหาได้ใช้ยิงในวันนั้นไม่ และไม่ใช่กระบอกที่ใช้ประทุษฐร้าย ทั้งนี้ โดยนายชิตรู้อยู่แล้วว่า เป็นเท็จ ด้วยเจตนาช่วยพรรคพวกให้พ้นอาญา และปกปิดมิให้ความปรากฏว่า ได้มีผู้ประทุษฐร้ายพระองค์ท่าน เหตุเกิด ณ พระที่นั่งบรมพิมาน

ขอให้ลงโทษตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๙๗–๑๕๔–๖๓–๖๔–๗๐ และ ๗๑

จำเลยทั้ง ๓ ให้การปฏิเสธ และว่า เหตุที่จำเลยถูกกล่าวหานี้ เพราะมีบุคคลบางจำพวกฉวยโอกาสการสวรรคตเล่นเป็นเกมการเมือง เพื่อทำลายล้างบุคคลอื่น มีอาทิเช่น นายปรีดี พนมยงค์ เรือเอก วัชรชัย ชัยสิทธิเวช นายเฉลียว ปทุมรส และพลอยไปถึงนายชิต นายบุศย์ ด้วย

ศาลอาญาพิจารณาพิพากษาว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตโดยถูกผู้ร้ายลอบปลงพระชนม์ นายชิตรู้เห็นร่วมมือกับผู้ร้ายรายนี้ ด้วยความผิดของนายชิตต้องด้วยกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๙๗ ตอน ๒ ส่วนข้อขอให้ลงโทษนายชิตตามมาตรา ๑๕๔ ในข้อหาว่า สับเปลี่ยนปลอกกระสุนของกลาง โดยกล่าวเท็จแก่เจ้าหน้าที่เพื่อช่วยผู้กระทำผิดนั้น ทางพิจารณาก็ได้ความสม แต่เป็นความผิดที่เกลื่อนกลืนอยู่ในความผิดประธานข้างต้น ไม่พึงแยกกระทงลงโทษอีกได้ จึ่งลงโทษนายชิต จำเลย ตามมาตรา ๙๗ ตอน ๒ บทเดียว ให้ประหารชีวิต ส่วนนายเฉลียว และนายบุศย์ จำเลย คดียังไม่มีหลักฐานให้พอฟังว่า ได้ร่วมกระทำผิดด้วย ให้ยกฟ้อง

นายชิต จำเลย อุทธรณ์ขอให้ยกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ขอให้ลงโทษจำเลยอีก ๒ คนด้วย

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ลงโทษประหารชีวิตนายบุศย์ จำเลย ตามมาตรา ๙๗ ตอน ๒ ด้วยอีกคนหนึ่ง ส่วนนายชิต นายเฉลียว จำเลย คงยืนตามเดิม แต่มีความเห็นแย้งของผู้พิพากษานายหนึ่งว่า ควรยกฟ้อง ปล่อยจำเลยทั้งสามคน

โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษนายเฉลียว จำเลย โดยอธิบดีกรมอัยยการรับรอง

นายชิต นายบุศย์ จำเลย ฎีกาขอให้ยกฟ้อง

ศาลฎีกานั่งฟังคำแถลงของฝ่ายโจทก์จำเลย ตรวจสำนวน ประชุมปรึกษาคดีแล้ว

ตามคำแถลงของจำเลย เป็นใจความว่า การแต่งตั้งรัฐบาลเนื่องจากการกระทำรัฐประหารเป็นการไม่ชอบ ฉะนั้น การสอบสวนตลอดจนการฟ้องร้องจำเลยในคดีนี้จึ่งเป็นการไม่ชอบด้วยนั้น เห็นว่า ความข้อนี้ ศาลล่างทั้ง ๒ ได้วินิจฉัยไว้แล้วว่า โจทก์ฟ้องคดีได้ และศาลนี้ก็ได้เคยวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาฎีกาที่ ๔๕/๒๔๙๖ คดีระหว่างนายทองเย็น หลีละเมียร โจทก์ กระทรวงการคลังฯ จำเลย ว่า รัฐบาลที่ตั้งขึ้นภายหลังรัฐประหารเป็นรัฐบาลที่ชอบ ฉะนั้น โจทก์จึ่งมีอำนาจฟ้องคดีนี้ได้ จะได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงต่อไป

ทางพิจารณาได้ความว่า พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พร้อมด้วยสมเด็จพระราชชนนี และสมเด็จพระราชอนุชา เสด็จกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ ประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน พระองค์ท่านประทับอยู่ทางริมฝ่ายด้านตะวันออก ส่วนอีก ๒ พระองค์ประทับทางริมฝ่ายด้านตะวันตก นายชิตและนายบุศย์เป็นมหาดเล็กประจำห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นายเฉลียวเป็นราชเลขานุการในพระองค์ และเป็นข้าราชการผู้ใหญ่ประจำพระองค์ด้วยอีกตำแหน่งหนึ่ง นายปรีดีพ้นตำแหน่งหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แล้วมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องนายปรีดีไว้ในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส มีหน้าที่รับปรึกษาราชการแผ่นดิน ต่อมา ได้เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อจากนายควง อภัยวงศ์ ตามประกาศพระบรมราชโองการ ลงวันที่ ๒๔ มีนาคม ๒๔๘๙

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติสู่พระนครแล้ว ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจนานาประการเพื่อให้บังเกิดผลดีแก่ประเทศชาติ พระองค์ทรงพระราชอุตสาหะเสด็จไปในที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด เช่น เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๘๘ เสด็จประพาสจังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยนายปรีดี พลโท พระศราภัยสฤษดิการ สมุหราชองค์รักษ์ นายเฉลียว นายชิต ทอดพระเนตรการแสดงอาวุธของคณะพลพรรคเสรีไทย มีผู้น้อมเกล้าถวายอาวุธปืนกับของอื่นที่พลพรรคเสรีไทยใช้อยู่ ทรงโปรดการหัดยิงปืนชนิดใหม่ ๆ ที่มีผู้น้อมเกล้าถวาย ต่อมา เสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรตามจังหวัดต่าง ๆ หลายแห่ง ทรงพระราชปฏิสันถารแก่ราษฎรที่มาเฝ้า ราษฎรถวายสิ่งของแม้เล็กน้อยก็ทรงยินดีรับ และโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินก้นถุงให้เป็นศิริมงคล ผู้ใดทุกข์ร้อน ก็ทรงรับสั่งให้เจ้าหน้าที่ช่วยเหลือ ครั้งสุดท้าย เสด็จประพาสท้องสำเพ็งเมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๙

ในด้านเกี่ยวกับการบริหารงานของประเทศชาติ พระองค์ทรงสนพระราชหฤทัยที่จะทรงทราบและศึกษา โปรดเกล้าฯ ให้เชิญนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ปลัดกระทรวง และอธิบดี ผลัดเปลี่ยนกันเข้าเฝ้า เพื่อเป็นโอกาสที่จะทรงซักถามกิจการในหน้าที่และแลกเปลี่ยนความรู้ ในทางพระพุทธศาสนา ก็ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์บำรุงวัดวาอาราม และตั้งพระราชหฤทัยจะทรงผนวช แม้ทางศาสนาอื่นก็อยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ ยิ่งนานวัน พระองค์ก็ยิ่งทรงได้รับความนิยม เป็นมิ่งขวัญที่เคารพสักการะอย่างประทับใจด้วยความชื่นชมโสมนัสของบรรดาข้าทูลละอองธุลีพระบาทและพศกนิกร

โดยที่มีพระราชประสงค์จะทรงกลับไปศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์อีก กำหนดเสร็จวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ ตามที่โหรถวายพระฤกษ์ ในโอกาสนี้ รัฐบาลแห่งสหรัฐอเมริกาและอังกฦษได้กราบทูลอันเชิญเสด็จพระราชดำเนินไปยังประเทศนั้น ๆ ด้วย

วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ ทรงพระประชวรเกี่ยวกับพระนาภี งดเสด็จงานพระราชทานเพลิงพระศพ พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาและงานที่กรมทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ เวลา ๑๗.๐๐ นาฬิกา หลวงนิตยเวชวิศิษฏ์ถวายตรวจพระวรกาย ปรากฏมีพระอาการไข้เล็กน้อย ขอให้สมเด็จพระราชชนนีถวายพระโอสถโนแวลยินแก้ไข้ ๑ เม็ด ตอนค่ำ ถวายสวนล้างพระนาภี ถวายยาอ๊อปตาลิดอนแก้เมื่อย และตอนเช้า ถวายน้ำมันละหุ่งอีกครั้งหนึ่ง

ในวันที่ ๘ นี้ พระอาการไม่มาก เสด็จไปเสวยพระกระยาหารเช้าและกลางวันอย่างปกติ ส่วนพระกระยาหารค่ำ สมเด็จพระราชชนนีรับสั่งให้จัดมาเสวยร่วมที่ห้องทรงพระสำราญ สมเด็จพระราชชนนีได้เฝ้าถวายพระโอสถและอื่น ๆ อยู่จนเสด็จเข้าที่พระบรรทมเมื่อเวลาประมาณ ๒๑.๐๐ นาฬิกา แล้วจึ่งเสด็จจากไป รุ่งขึ้น วันอาทิตย์ ที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลาราว ๖.๐๐ นาฬิกา สมเด็จพระราชชนนีเสด็จไปปลุกบรรทม รับสั่งถามว่า หลับดีไหม? ทรงตอบว่า หลับดี สมเด็จพระราชชนนีถวายน้ำมันละหุ่งผสมกับบรั่นดี แล้วทรงรู้สึกว่ายังใคร่จะทรงบรรทมต่อ จึงถวายโอกาสโดยรีบเสด็จกลับไป ขณะนั้น มหาดเล็กห้องพระบรรทมยังไม่มีใครมา ต่อเวลา ๗.๐๐ นาฬิกาเศษ นายบุศย์ เวรประจำ จึ่งมาและนั่งเฝ้าอยู่ตามหน้าที่ที่ระเบียงหน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์ ซึ่งเป็นทางเข้าสู่ห้องพระบรรทม ครั้นเวลา ๘.๐๐ นาฬิกาเศษ นายชิตได้มานั่งอยู่คู่กับนายบุศย์

เวลาราว ๙.๐๐ นาฬิกา สมเด็จพระราชอนุชาเสด็จไปที่ระเบียงหน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์ รับสั่งถามนายชิต นายบุศย์ ว่า ในหลวงมีพระอาการเป็นอย่างไร ทรงได้รับคำตอบว่า ทรงสบายดีขึ้น เสด็จเข้าห้องสรงแล้ว สมเด็จพระราชอนุชาก็เสด็จกลับยังห้องพระบรรทมของพระองค์

ต่อนั้นมา เวลาไม่ถึง ๙.๐๐ นาฬิกา มีเสียงปืนดังขึ้น ๑ นัดภายในห้องพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขณะนั้น สมเด็จพระราชชนนีจะเสด็จออกจากห้องบรรทมของพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารเช้า นายชิตวิ่งไปกราบทูลว่า "ในหลวงยิงพระองค์" สมเด็จพระราชชนนีก็ทรงวิ่งไปทันที นายชิต นางสาวเนื่อง จินตดุลย์ สมเด็จพระราชอนุชา และนางสาวจรูญ ตะละภัฏ ตามติด ๆ เข้าไปในห้องพระบรรทมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ขณะนั้น ปรากฏว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมหงายบนพระแท่น พระเศียรหนุนพระเขนยดุจบรรทมหลับอย่างปกติ มีผ้าดอกคลุมพระองค์อยู่เรียบตั้งแต่เหนือพระอุระตลอดลงไปจนถึงข้อพระบาท กึ่งกลางของผ้าอยู่กึ่งกลางของพระองค์พอดี ชายผ้าทั้งสองข้างล้ำพระองค์ออกมาพอ ๆ กัน ผ้าลาดพระยี่ภู่ปูอยู่เรียบดี พระเขนยคงอยู่ในที่ตามปกติ มีพระโลหิตไหลโทรมพระภักตร์ลงมาที่พระเขนยและผ้าลาดพระยี่ภู่ พระเศียรตะแคงไปทางด้านขวาเล็กน้อย เหนือพระโขนงซ้ายมีแผลกระสุนปืน หนังฉีกเป็นแฉกคล้ายเครื่องหมายคูณ กว้างยาวประมาณ ๔ เซนติเมตร พระเนตรทั้งสองหลับสนิท ไม่ได้ทรงฉลองพระเนตร ฉลองพระเนตรวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างพระแท่น พระเกศาแสกเรียบอยู่ในรูปที่เคยทรง พระโอษฐ์ปิด พระกรทั้งสองเหยียดทอดทับนอกผ้าคลุมพระองค์แนบพระวรกายตามปกติ พระหัตถ์ทั้งสองแบอยู่ในท่าธรรมดา พระบาททั้งสองเหยียดทอดชิดกันอยู่ห่างจากปลายพนักพระแท่นประมาณ ๗ เซ็นติเมตร มีปืนของกลางขนาด ๑๑ ม.ม. วางอยู่ข้างพระกรซ้าย ลำกล้องขนาน และห่างพระกร ๑ นิ้ว ปากกระบอกหันไปทางพระบาท ศูนย์ท้ายของปืนอยู่ตรงระดับข้อพระกร (ข้อศอก)

นางสาวเนื่องเห็นพระวรกายแน่นิ่งไม่ไหวติง จึงเข้าจับชีพจรที่ข้อพระหัตถ์ซ้าย ยังเต้นแรงและเร็วอยู่สักครึ่งหรือหนึ่งนาฑีก็หยุดเต้น แล้วนางสาวเนื่องใช้ ๓ นิ้วจับกลางกระบอกปืนนั้นขึ้นวางบนหลังตู้เล็กข้างพระแท่น รู้สึกว่า กระบอกปืนไม่ร้อนไม่เย็นและไม่มีอะไรเปื้อนเปรอะ การที่หยิบย้ายปืนไปเสียนั้นเพราะเกรงจะไม่ปลอดภัยแก่สมเด็จพระราชชนนีซึ่งยังคงซบพระภักตร์อยู่ที่พระชงค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ต่อมาราว ๒๐ นาฑี หลวงนิตย์ฯ ไปถึง ตรวจพระอาการ แล้วทูลว่า ไม่มีหวัง สมเด็จพระราชชนนีก็รับสั่งให้แต่งพระบรมศพ

โจทก์นำสืบต่อไปว่า เวลาราว ๑๐.๐๐ นาฬิกา เมื่อ ม.ร.ว.เทวาธิราช ทราบข่าวการสวรรคตแล้ว ได้ไปพบนายปรีดีที่ศาลาท่าน้ำ ทำเนียบท่าช้าง บอกว่า สวรรคตแล้ว นายปรีดีร้อง "เอ๊ะ อะไรกัน" มีท่าทางสะดุ้งตัว แสดงว่า ตกใจ ม.ร.ว.เทวาธิราช ตอบว่า ไม่ทราบ อีกสัก ๑๕ นาฑี ม.จ.นิกรเทวัญ ซึ่งถูกเรียก ก็มาถึง เวลานั้น นายปรีดีแต่งตัวเสร็จแล้ว กำลังเดินอยู่หน้าตึกรับแขก ม.จ.นิกรเทวัญ เข้าไปหานายปรีดี แล้วเงยหน้าเป็นเชิงถาม พอไปชิดตัว นายปรีดีพูดเป็นภาษาอังกฤษพอให้ได้ยินเฉพาะตัว แปลเป็นไทยว่า ในหลวงปลงพระชนม์พระองค์เอง และพูดต่อไปว่า รอท่านอยู่นะซิ รีบเข้าไปในวังด้วยกัน แล้วก็พากันเข้าไปในพระที่นั่งบรมพิมานพร้อมทั้งพันเอก ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และพลตำรวจโท พระรามอินทรา อธิบดีกรมตำรวจ ซึ่งสองคนหลังนี้ได้ไปอยู่ที่ทำเนียบท่าช้างก่อนตั้งแต่เช้าแล้ว

ต่อมา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภานุพันธุยุคล พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุมภฏพงษ์บริพัตร และพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอลงกฎ กับข้าราชการผู้ใหญ่อีกหลายท่าน ก็เสด็จและไปถึงทยอย ๆ กัน

นายปรีดี ในฐานะนายกรัฐมนตรีและว่าการสำนักพระราชวัง ให้เรียกตัวนายชิต นายบุศย์ นางสาวเนื่อง มาถาม

นายชิตให้ถ้อยคำในเวลานั้นว่า ในหลวงยิงพระองค์ นายปรีดีให้ทำท่าให้ดู นายชิตจึงลงนอนหงายมือจับปืนทำท่าส่องที่หน้าผาก ม.จ.ศุภสวัสดิ์ ซึ่งอยู่ในที่นั้น รับสั่งว่า ปืนอย่างนี้ยิงเองที่พระนลาตอย่างนั้นไม่ได้ จึงปรึกษากันว่า จะออกคำแถลงการณ์อย่างไรดี นายปรีดีพูดว่า ออกแถลงการณ์ว่า สวรรคตเพราะพระนาภีเสียได้ไหม หลวงนิตย์ฯ ตอบว่า ออกเช่นนั้นผมไปก่อนเพื่อนแน่ เพราะเมื่อวานนี้ยังดี ๆ อยู่ วันนี้สวรรคตไม่ได้ พันเอก ช่วง ว่า ถ้าอย่างนั้น เอาเป็นโรคหัวใจได้ไหม หลวงนิตย์ฯ ตอบว่า ไม่ได้เหมือนกัน เพราะอย่างไรคนก็ต้องทราบความจริง พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร รับสั่งว่า เห็นจะต้องแถลงตามความจริงนายปรีดีว่า เพื่อถวายพระเกียรติ ให้ออกแถลงการณ์ว่า เป็นอุบัติเหตุ จึงได้ออกคำแถลงการณ์ของสำนักพระราชวังเป็นฉบับแรก ลงวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ มีข้อความดั่งนี้

"ด้วยนับแต่วันที่ ๒ มิถุนายน ศกนี้ เป็นต้นมา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เริ่มทรงพระประชวรเกี่ยวแก่พระนาภีไม่เป็นปกติ และทรงเหน็ดเหนื่อย ไม่มีพระกำลัง แม้กระนั้นก็ดี สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ได้เสด็จประพาสเยี่ยมเยียนราษฎรเป็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ ครั้นต่อมา พระอาการเกี่ยวกับพระนาภีก็ยังมิได้ทุเลาลง จึงต้องเสด็จประทับอยู่แต่บนพระที่ มิได้เสด็จออกงานตามหมายกำหนดการ ครั้นวันที่ ๙ มิถุนายน ศกนี้ เมื่อตื่นพระบรรทมตอนเช้าเวลา ๖.๐๐ นาฬิกา ได้เสวยพระโอสถน้ำมันละหุ่งแล้วเข้าห้องสรง ซึ่งเป็นพระราชกิจประจำวัน แล้วก็เสด็จเข้าพระที่ ครั้นเวลาประมาณ ๙.๐๐ นาฬิกา มหาดเล็กห้องพระบรรทมได้ยินเสียงปืนดังขึ้นในพระที่นั่ง จึงรีบวิ่งเข้าไปดู เห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่บนพระที่ มีพระโลหิตไหลเปื้อนพระองค์ และสวรรคตเสียแล้ว มหาดเล็กห้องพระบรรทมจึงได้ไปกราบทูลสมเด็จพระราชชนนีให้ทรงทราบ แล้วเสด็จไปถวายบังคมพระบรมศพ ต่อนั้นมา มีพระบรมวงศ์ชั้นผู้ใหญ่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ได้เข้าไปกราบถวายบังคม และอธิบดีกรมตำรวจ กับอธิบดีกรมการแพทย์ ได้ไปถวายตรวจพระบรมศพและสอบสวน ได้ความสันนิษฐานได้ว่า คงจะทรงจับคลำพระแสงปืนตามพระราชอัธยาศัยที่ทรงชอบ แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้น"

เกี่ยวกับบาดแผลที่พระบรมศพ ครั้งแรก หลวงนิตย์ฯ ไม่ได้พบแผลทางเบื้องหลังพระเศียร เข้าใจว่ามีแผลทางพระนลาตด้านเดียว บรรดาท่านที่ประชุมกันอยู่พลอยเข้าใจเช่นนั้น ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ ๑๐ เจ้าหน้าที่จากสภากาชาดมาแต่งพระบรมศพ เพื่อเตรียมการสรงน้ำพระบรมศพในตอนเย็น จึงได้พบแผลที่เบื้องหลังพระเศียรอีกแผลหนึ่งตรงท้ายทอย มีพระเกศาปกคลุมบาดแผล ทำให้แลเห็นเป็นแผลเล็กกว่าแผลที่พระนลาต จึงมีเสียงกล่าวกันว่า ถูกยิงทางเบื้องหลังพระเศียรทะลุออกทางพระนลาต

โดยเหตุที่มีเสียงครหาว่า คำแถลงการณ์ฉบับแรกไม่ถูกต้องต่อความจริง นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยรัฐมนตรี และพระบรมวงศานุวงศ์ ได้ประชุมกันพิจารณารายงานของอธิบดีกรมตำรวจ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน แล้วได้ออกเป็นคำแถลงการณ์ของกรมตำรวจในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๘๙ มีข้อความพิศดารประกอบคำแถลงการณ์ของสำนักพระราชวัง เพื่อจะให้ฟังได้หนักแน่นยิ่งขึ้น โดยอ้างการสอบสวนอย่างกว้างขวาง ตั้งเป็นข้อสังเกต ๓ ประการ คือ ๑. มีผู้ลอบปลงพระชนม์ ๓. ทรงปลงพระชนม์เอง หรือ ๓. อุบัติเหตุ

คำแถลงการณ์นั้นอ้างว่า ตามทางสอบสวน ไม่มีกรณีเหตุอันใดที่น่าสงสัยในทางลอบปลงพระชนม์ ทั้งไม่มีเหตุอันใดจะส่อให้เห็นว่า พระองค์ทรงปลงพระชนม์เอง แต่มีพฤติการณ์ควรให้สันนิษฐานว่า คงจะทรงหยิบพระแสงปืนมาลูบคลำเล่นตามพระอัธยาศัยที่โปรดเช่นเคย โดยมิได้ทรงตรวจก่อน คงจะทรงหันปากลำกล้องขึ้นส่องดู แล้วนิ้วพระหัตถ์ต้องไกปืน กระสุนปืนลั่นไปถูกพระนลาต จึงเกิดอุบัติเหตุขึ้น

รุ่งขึ้น วันที่ ๑๑ กรมตำรวจออกแถลงการณ์เป็นฉบับที่ ๒ ดังนี้ ได้ความในการสอบสวนเพิ่มเติมจากพระราชกิจประจำวันว่า ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ กำหนดให้หม่อมเจ้าอาชวดิศ ดิศกุล เข้าเฝ้าในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา เพื่อกราบบังคมทูลลาทรงผนวช กับนัดให้หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารกลางวัน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นายวงศ์ เชาวนะกวี ไปกราบทูลสมเด็จพระสังฆราชว่า จะเสด็จไปทูลลาเสด็จสหรัฐอเมริกา ณ พระอุโบสถวัดบวรนิเวศน์ในวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๔๘๙ อันเป็นหลักฐานเพิ่มเติมข้อสันนิษฐานตามแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ว่า การสวรรคตได้เป็นไปโดยอุบัติเหตุ ไม่มีทางส่อแสดงว่า ทรงปลงพระชนม์เอง

แต่อย่างไรก็ดี คำแถลงการณ์ยังไม่เพียงพอที่จะระงับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของหมู่ประชาชนซึ่งยิ่งแพร่สะพัดออกไปทุกทีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จสวรรคตโดยอุบัติเหตุ แต่ถูกลอบปลงพระชนม์ ถึงกับมีผู้ไปร้องตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า นายปรีดีฆ่าในหลวง เป็นเหตุให้รัฐบาลเกรงจะเกิดจลาจล จึงได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง โดยนายกรัฐมนตรีออกประกาศเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ ความว่า คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระบรมนามาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้อนุมัติให้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่สอบสวนพฤติการณ์ในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต แล้วให้เสนอรายละเอียดและความเห็นเพื่อนำความกราบบังคมทูลต่อไป ให้อธิบดีกรมตำรวจนำพยานมาสอบสวนต่อหน้ากรรมการ

ในการนี้ ได้ขอพระบรมราชานุญาตเปิดพระบรมโกษฐ์ตรวจชันสูตรพระบรมศพโดยถี่ถ้วน และทำการทดลองยิงศพคนที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทราบระยะยิงที่จะให้เกิดบาดแผลเช่นบาดแผลที่พระบรมศพ

เมื่อคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์สวรรคต ที่เรียกกันว่า หลักฐานเพิ่มเติมข้อสันนิษฐานตามแถลงการณ์ฉบับที่ ๑ ว่า การสวรรคตได้เป็นไปโดยอุบัติเหตุ ไม่มีทางส่อแสดงว่า ทรงปลงพระชนม์เอง

แต่อย่างไรก็ดี คำแถลงการณ์ยังไม่เพียงพอที่จะระงับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของหมู่ประชาชนซึ่งยิ่งแพร่สะพัดออกไปทุกทีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จสวรรคตโดยอุบัติเหตุ แต่ถูกลอบปลงพระชนม์ ถึงกับมีผู้ไปร้องตะโกนในโรงภาพยนตร์ว่า นายปรีดีฆ่าในหลวง เป็นเหตุให้รัฐบาลเกรงจะเกิดจลาจล จึงได้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง โดยนายกรัฐมนตรีออกประกาศเมื่อวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ ความว่า คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ในพระบรมนามาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ได้อนุมัติให้ตั้งกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง มีหน้าที่สอบสวนพฤติการณ์ในการที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต แล้วให้เสนอรายละเอียดและความเห็นเพื่อนำความกราบบังคมทูลต่อไป ให้อธิบดีกรมตำรวจนำพยานมาสอบสวนต่อหน้ากรรมการ

ในการนี้ ได้ขอพระบรมราชานุญาตเปิดพระบรมโกษฐ์ตรวจชันสูตรพระบรมศพโดยถี่ถ้วน และทำการทดลองยิงศพคนที่โรงพยาบาลศิริราช เพื่อทราบระยะยิงที่จะให้เกิดบาดแผลเช่นบาดแผลที่พระบรมศพ

เมื่อคณะกรรมการสอบสวนพฤติการณ์สวรรคต ที่เรียกกันว่า คำสั่งท้าวความว่า "โดยที่ทางราชการฝ่ายทหารได้ส่งหลักฐานแผนการณ์ของบุคคลคณะหนึ่งสมคบกันดำเนินการประทุษฐร้ายองค์พระมหากษัตริย์ มีการลอบปลงพระชนม์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และเตรียมการเปลี่ยนระบอบการปกครองแผ่นดินโดยทำลายล้างรัฐบาล มาให้กรมตำรวจสอบสวนดำเนินคดี"

วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๙๐ กระทรวงมหาดไทยออกคำสั่งให้พันตำรวจโท หลวงแผ้วพาลชน เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแทนพันตำรวจเอก เนื่อง

ต่อมา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยตั้งให้พลตำรวจตรี พระพินิจชนคดี เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนกรณีสวรรคต และคงให้หลวงแผ้วพาลชนเป็นพนักงานสอบสวนต่อไปด้วย

เมื่อเกิดรัฐประหารแล้วไม่กี่วัน จำเลยทั้ง ๓ นี้ก็ถูกจับกุม คุมขัง ตลอดจนถูกฟ้อง นอกจากจำเลย ๓ คนนี้ พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร หัวหน้ากองมหาดเล็ก และนางชอุ่ม ชัยสิทธิเวช ภรรยาเรือเอก วัชรชัย ก็ได้ถูกจับมาด้วย แต่แล้วก็พ้นข้อหาไปในชั้นสอบสวน ส่วนนายปรีดี และเรือเอก วัชรชัย หลบหนีไปในคืนที่เกิดรัฐประหารจนกระทั่งบัดนี้

โจทก์ตั้งรูปคดีและนำสืบว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตโดยถูกลอบปลงพระชนม์ แต่พยานบุคคลที่ได้รู้เห็นเป็นประจักษ์ขณะลอบปลงพระชนม์ไม่มีสืบ มีแต่หลักฐานพยานแวดล้อมกรณีต่าง ๆ แสดงว่า จำเลยเหล่านี้สมคบกับพรรคพวกที่ยังหลบหนีอยู่ ซึ่งได้แก่ นายปรีดี และเรือเอก วัชรชัย กระทำการปลงพระชนม์

ประเด็นเบื้องต้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคตโดยถูกลอบปลงพระชนม์ จริงหรือประการใด

พระที่นั่งบรมพิมานเป็นที่ระโหฐาน อยู่ในพระบรมมหาราชวัง มีทหารยามและเจ้าหน้าที่ประจำ ตามธรรมดา ผู้ร้ายไม่น่าสามารถเล็ดลอดเข้าไปกระทำการเช่นนั้นได้ แต่ถ้าได้ใช้ความพยายาม และความรู้ถึงลู่ทางเข้าออกตลอดจนความเป็นอยู่ของทหารยามและเจ้าหน้าที่ประจำว่า ไม่เข้มงวดกวดขันแล้ว ผู้ร้ายก็อาจเข้าไปกระทำการสำเร็จได้ หรือถ้ามีคนภายในรู้เห็นเป็นใจด้วย หรือคนที่อยู่ภายในนั้นเป็นผู้ร้ายเสียเอง การก็ยิ่งสะดวกง่ายดายเป็นอันมาก

รัฐบาลในสมัยเกิดเหตุ แม้จะได้ตั้งศาลกลางเมืองขึ้น ก็มีจุดมุ่งหมายจะให้เป็นกรณีอุบัติเหตุหรือปลงพระชนม์เอง ทางพิจารณาได้ความว่า นายปรีดีเป็นผู้ให้ส่งคำซักถามพยานมาจากทำเนียบท่าช้างสำหรับนายตำรวจผู้มีหน้าที่ใช้ซักถามพยาน เมื่อรัฐบาลสมัยนั้นเห็นว่า มิใช่กรณีถูกลอบปลงพระชนม์แล้ว การที่จะสืบสวนหาพยานหลักฐานไปในทางถูกลอบปลงพระชนม์ก็ย่อมไม่มี

ปรากฏในทางพิจารณาว่า มีคำสั่งของรัฐบาล ในการสืบสวนและสอบสวน ถ้าจะต้องจับกุมผู้ใด ต้องได้รับอนุญาตจากนายกรัฐมนตรีก่อน

อนึ่ง มีประกาศเป็นทางการให้ผู้ที่รู้เรื่องการสวรรคตมาแจ้งแก่เจ้าพนักงาน แต่ถ้าผู้ใดยืนยันรู้เรื่องว่า เป็นการถูกลอบปลงพระชนม์ ก็ย่อมเป็นภัยแก่ตน ดั่งเช่นเมื่อพันเอก พระยาวิชิตสรศาสตร์ ร้องเรียนว่า เป็นกรณีลอบปลงพระชนม์ โดยพาซื่อหลงเชื่อตามประกาศ ก็กลับถูกจับกุมฟ้องร้องหาว่า ร้องเรียนเท็จ อ้างว่า จะก่อให้เกิดจลาจล เป็นต้น

ทั้งเป็นที่รู้กันอยู่ในพระราชสำนักว่า ห้ามการวิพากษ์วิจารณ์กรณีสวรรคต

เมื่อทางราชการปฏิบัติดั่งนี้ ก็เป็นการตัดหนทางของพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์

ได้ความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องกระสุนปืนขณะบรรทมหงายอยู่บนพระที่ ตามคำเบิกความของนายแพทย์ที่กระทำการชันสูตรพระบรมศพ และจากผลของการทดลองยิงศพที่โรงพยาบาลศิริราช ว่า กระสุนปืนแล่นเจาะพระนลาต ทะลุออกทางเบื้องหลังพระเศียรตรงท้ายทอย ผ่านสมองส่วนหน้าออกทางส่วนหลัง เป็นการทำลายสมองโดยตรง เป็นผลให้หมดความรู้สึก และหมดกำลังทันทีที่จะเคลื่อนไหว กำลังหายใจเข้าอยู่ ก็คงจะหายใจเข้าไปตามธรรมดาอีกเฮือกหนึ่ง ถ้ากำลังหายใจออกอยู่ ก็ไม่มีการหายใจออกได้ หัวใจอาจเต้นต่อไปได้อีกนิดหน่อยราวครึ่งนาฑีหรือกว่าสักเล็กน้อย นัยน์ตา ถ้าลืมอยู่ ก็คงลืมอยู่อย่างเดิม ถ้าหากหลับ ก็คงหลับอยู่อย่างเดิมเหมือนกัน อาการอย่างนี้แสดงว่า เสด็จสวรรคตทันทีในขณะต้องกระสุนปืน

ดั่งนี้ คดีจึ่งฟังได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตทันทีที่ต้องกระสุนปืน

การเสด็จสวรรคตโดยทันทีเช่นนี้ ได้ความตามคำพยานที่เป็นแพทย์หลายปากว่า ไม่ใช่เป็นเรื่องกระทำพระองค์เอง เพราะท่าทางของพระหัตถ์และพระกรทั้งสองข้างไม่งอหรือกำ ถ้าเป็นการปลงพระองค์เองหรืออุบัติเหตุโดยการกระทำของพระองค์เองแล้ว พระหัตถ์และพระกรจะไม่เป็นเช่นนั้นเป็นเด็ดขาด

คดีได้ความชัดว่า เมื่อต้องกระสุนปืนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรรทมอยู่บนพระที่ดุจบรรทมหลับ พระกรทั้ง ๒ ข้างทอดเหยียดชิดพระวรกาย พระภูษาที่คลุมพระองค์ก็อยู่ในสภาพเรียบร้อยดั่งกล่าวมาแล้ว

จึ่งฟังได้ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องกระสุนปืนสวรรคตโดยมิใช่การกระทำของพระองค์ท่าน

นอกจากนี้ โจทก์ยังสืบถึงว่า ปืนกระบอกที่วางอยู่ใกล้พระหัตถ์ขณะเสด็จสวรรคต ไม่ใช่กระบอกที่ใช้ยิงพระองค์ท่าน เพราะโดยการพิสูจน์ ปรากฏว่า ได้ใช้ยิงมาก่อนวันเกิดเหตุหลายวันแล้ว และหัวกระสุนที่เก็บได้ในพระยี่ภู่ ก็ไม่ใช่กระสุนที่ทะลุผ่านพระเศียร เพราะมีลักษณะเรียบร้อย ไม่มีรอยยับเยิน

ผู้ร้ายในคดีนี้มิได้คิดมุ่งมาตร์ปรารถนาแก่ทรัพย์สินอย่างใดในห้องพระบรรทม ไม่ปรากฏว่า ทรัพย์สินสิ่งของอย่างใดได้ขาดหายไป

โจทก์นำสืบพฤติการณ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับนายปรีดีว่า มีข้อขัดแย้งกันในการจะตั้งใครเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถึงกับนายปรีดีได้พูดกับนายวงศ์ เชาวนะกวี เมื่อก่อนสวรรคตเพียงวันเดียว เป็นภาษาไทยปนอังกฦษ ความว่า ต่อไปนี้จะไม่คุ้มครองราชบัลลังก์

นายเฉลียว และเรือเอก วัชรชัย ทั้งสองนี้ เป็นผู้ที่ฝักใฝ่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายปรีดีเป็นอย่างมาก นายปรีดีจัดให้นายเฉลียวได้เข้ารับราชการตำแหน่งสำคัญในราชสำนัก ส่วนเรือเอก วัชรชัย ซึ่งออกจากราชการไปแล้ว ก็ได้เข้ามารับราชการเป็นราชองครักษ์

ส่วนนายชิต และนายบุศย์ มหาดเล็กรับใช้ประจำห้องพระบรรทม ก็อยู่ภายใต้อำนาจของนายเฉลียว เฉพาะนายชิตนั้นยังเป็นผู้สนิทชิดชอบกับนายเฉลียวเป็นพิเศษอีกด้วย

โจทก์นำสืบต่อไปว่า เนื่องจากนายเฉลียวขาดความเคารพยำเกรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นต้นว่า ส่งรถยนต์ประจำพระองค์ไปให้ผู้อื่นใช้ จนขัดข้องแก่การที่จะทรงใช้ นั่งรถยนต์ไขว่ห้างล่วงล้ำเข้าไปถึงหน้าพระที่นั่ง ถวายหนังสือราชการด้วยอาการขาดคารวะ จูบหญิงพนักงานในที่ทำการซึ่งอยู่ตรงหน้าพระที่นั่งพระบรมพิมานจนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็น เหล่านี้เป็นการเหยียดหยามพระราชประเพณีและพระองค์ท่าน ไม่เป็นที่ต้องพระราชอัธยาศัย ทรงรับสั่งแก่นายปรีดีขอเปลี่ยนราชเลขานุการฯ นายเฉลียวจึงจำต้องออกจากตำแหน่งในราชสำนักไปตั้งแต่ตอนต้น ๆ เดือนพฤษภาคม ๒๔๘๙ แล้วต่อมา นายเฉลียวก็ได้ดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภาสืบต่อไป

ส่วนเรือเอก วัชรชัย มิได้ปฏิบัติงานในหน้าที่ราชองค์รักษ์ตามสมควร ขาดราชการบ่อย ๆ ฝักใฝ่อยู่ทางทำเนียบท่าช้าง ไม่เป็นที่พอพระราชหฤทัย ภายหลังที่ถูกปลดจากตำแหน่งราชองครักษ์แล้ว ก็ได้เป็นเลขานุการนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป

ในระหว่างที่นายเฉลียวเป็นราชเลขานุการในพระองค์ มีข้าราชการในราชสำนักเข้าฝักใฝ่เป็นพรรคพวก ทั้งนายเฉลียวยังได้จัดพรรคพวกของตนเข้ามารับราชการเพิ่มเติมอีก ถึงกับเมื่อคราวที่นายเฉลียวจะพ้นหน้าที่ พวกข้าราชการประเภทที่กล่าวมานี้ มีนายนเรศร์ธิรักษ์ นายกำแพง ตามไทย เป็นหัวหน้า พร้อมใจกันกล้าแสดงออกอย่างเปิดเผย ทำเรื่องราวถึงนายปรีดีคัดค้านว่า ไม่ควรปลดนายเฉลียว ซึ่งเป็นการทะนงจงใจที่จะขัดขวางพระราชประสงค์โดยตรง ถ้าพวกนั้นไม่มีนิสัยหยาบช้า ก็คงไม่กล้าขัดแย้งพระราชประสงค์อันเกี่ยวกับกิจการในราชสำนักของพระองค์ท่านถึงปานนั้น

นายนเรศร์ธิรักษ์ผู้นี้เป็นหัวหน้ากองมหาดเล็ก โดยนายปรีดีเป็นผู้แต่งตั้งให้แทนเจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเห็นว่า เป็นผู้ไม่ได้ราชการ จึงให้ไปทำหน้าที่อื่น ต่อมา นายปรีดีก็จัดให้ไปรับตำแหน่งเลขานุการนายกรัฐมนตรีสืบต่อไป

อาจเป็นเพราะเหตุดั่งกล่าวมาแล้วหรืออย่างใดไม่ปรากฏชัด นายฉันท์ หุ้มแพร ผู้มีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงวิตกกังวลเป็นห่วงพระองค์นักว่า จะทรงเป็นอันตราย ถึงแก่พกปืนและคอยระแวดระวังเฝ้าพระองค์ท่าน แต่นายฉันท์ก็มาตายเสียก่อน และเมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้วไม่ถึง ๗ วัน พันเอก ช่วง เชวงศักดิ์สงคราม พูดกับหลวงนิตย์ฯ ว่า ถ้ามีโอกาสเข้าเฝ้าสมเด็จพระราชชนนี ให้ช่วยกราบทูลด้วยว่า ไหน ๆ ในหลวงก็สวรรคตแล้ว ยังเหลือในหลวงพระองค์ใหม่อยู่ ขอให้สมเด็จพระราชชนนีระวังให้ดีด้วย เพราะตามประวัติศาสตร์ก็มีอยู่ว่า พี่ฆ่าน้องน้องฆ่าพี่ อนึ่ง ยังได้มีการกลั่นแกล้งปล่อยข่าวอกุศลให้เป็นที่เสื่อมเสียแก่สมเด็จพระราชชนนีบ้าง สมเด็จพระราชบิดาบ้าง ดั่งปรากฏในการพิจารณาลับ

นอกจากเหตุแวดล้อมต่าง ๆ ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างหน้า โจทก์นำสืบว่า กรณีนี้ได้มีการสมคบและประชุมคิดกระทำการปลงพระชนม์ที่บ้านพลเรือตรี กระแส ศรยุทธเสนี ที่ถนนจักรพงษ์ จังหวัดพระนคร มีพยานคือ

ก.พลเรือตรี กระแส เบิกความว่า ก่อนหน้าสวรรคตประมาณ ๒ เดือน นายปรีดีไปที่บ้านพยานครั้งหนึ่งหรือสองครั้ง จำไม่ได้ ไปถึงเมื่อเวลาเย็นมากแล้ว มีเรือเอก วัชรชัย นายเฉลียว กับพวกอีกคนหนึ่งหรือสองคน ไปด้วย พยานได้เชิญเข้าไปนั่งในห้องรับแขก เข้าไปเพียง ๓ คน คือ นายปรีดี เรือเอก วัชรชัย และนายเฉลียว

ครั้งหนึ่ง ถึงตอนซักค้านของทนายจำเลย พยานกลับว่า สำหรับนายปรีดี เข้าไปนั่งในห้องรับแขกแน่ ส่วนอีก ๒ คน จะใช่เรือเอก วัชรชัย และนายเฉลียว หรือไม่ จำไม่ได้

นายปรีดีบอกว่า มาเยี่ยมถามพยานถึงการค้าไม้ พยานตอบว่า ยังไม่ได้ลงมือ คุยอยู่ราว ๕ นาฑี พยานขอตัวออกไปบอกให้คนจัดน้ำมารับรอง ๒–๓ นาฑีก็กลับเข้ามานั่งคุยเรื่องการค้าต่อไป ประมาณ ๑๐ นาฑี นายปรีดีกับพวกก็กลับ

คำพยานปากนี้ ปรากฏว่า ในชั้นสอบสวนได้แสดงอาการอิดเอื้อนไม่ยอมที่จะให้ถ้อยคำอย่างธรรมดา พระพินิจชนคดี ผู้สอบสวน ถามว่า นายปรีดีได้ไปที่บ้านพยานหรือไม่ เพียงเท่านี้ พยานก็ไม่ตอบ ซักหนัก ๆ เข้าก็ว่า จำไม่ได้ เมื่อคาดคั้นว่า เป็นเหตุการณ์ใกล้ชิด ซึ่งพยานน่าจะจำได้และตอบได้ว่า ไปหรือไม่ พยานก็ยืนยันคำว่า จำไม่ได้ ร่ำแต่นัดถ์ยาอยู่ท่าเดียว ตั้งแต่เวลากลางวันไปจนถึงเย็นค่ำ ก็ยังไม่ยอมเผย พระพินิจฯ เห็นว่า พยานจงใจปิดบังความจริง จึงให้เชิญภรรยา และบุตรเขย (ซึ่งเป็นทนาย) ของพยานมาปรึกษาหารือ จะได้ช่วยกันรื้อฟื้นความจำ จวบจนถึงเวลาประมาณ ๒๒.๐๐ นาฬิกา พยานจึงยอมให้การออกมาเป็นปกติดั่งเช่นข้อความที่เบิกต่อศาล การที่พยานมากลับคำในตอนถูกทนายจำเลยซักค้านว่า สองคนนั้นจะใช่เรือเอก วัชรชัย และนายเฉลียว หรือไม่ จำไม่ได้นั้น พิเคราะห์เห็นว่า เป็นการกลับคำอย่างไม่มีเหตุผล เป็นคนเคยรู้จักกันดี และไปนั่งคุยกันอยู่ เหตุใดจะจำไม่ได้

ข.นายตี๋ ศรีสุวรรณ เบิกความว่า เมื่อปีจอ (๒๔๘๙) เดือน ๔ ข้างขึ้น นายแม้น จันทวานิช ไปหาพยานที่บ้านปากน้ำโพ บอกว่า พลเรือตรี กระแส จะซื้อไม้หมอน จึงชวนกันลงมาหา พูดเรื่องไม้หมอนที่จะซื้อขายกันไม่ตกลง นายแม้นกลับไปก่อน ส่วนนายตี๋นั้น พลเรือตรี กระแส ชวนให้อยู่ด้วย จะให้มีหน้าที่ตรวจไม้หมอนจากคนทำ โดยจะแบ่งกำไรให้บ้าง นายตี๋จึงอยู่ด้วย จนกระทั่งเดือน ๖ ข้างขึ้น ปีเดียวกัน พลเรือตรี กระแส ใช้ให้นายตี๋ขึ้นไปดูไม้ที่แก่งคอย ลพบุรี และปากน้ำโพ นายตี๋ไปอยู่ปากน้ำโพได้ ๙ หรือ ๑๐ วัน ก็ได้ทราบข่าวการสวรรคต กลับจากดูไม้แล้วก็กลับมาอยู่อีก รวมเวลาอยู่ที่บ้านพลเรือตรี กระแส นี้ ปีเศษ

ระหว่างที่อยู่บ้านนี้ นายตี๋ว่า ได้เห็นนายปรีดีกับพวกไปหาพลเรือตรี กระแส ๓ ครั้ง ครั้งแรก เมื่อเดือน ๖ ข้างขึ้น ปีจอ อยู่ในระหว่างวันที่ ๑ ถึง ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ไปถึงเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกาเศษ มีชายอีก ๒ คนไปด้วย คนหนึ่งสูงโปร่ง อีกคนหนึ่งสูงท้วม ไม่ทราบว่า เป็นใคร พลเรือตรี กระแส ออกมาเชิญเข้าไปในห้องรับแขกทั้ง ๓ คน นายปรีดีถามพลเรือตรี กระแส ถึงตัวพยานซึ่งปรากฏอยู่ในที่นั้นด้วยว่า เป็นใคร พลเรือตรี กระแส ตอบว่า เป็นพ่อค้าไม้มาจากนครสวรรค์ เป็นคนดี ไว้ใจได้ แล้วพลเรือตรี กระแส ก็ให้พยานไปหานายหงวนที่บางลำพูเรื่องไม้หมอน พยานกลับมาเวลา ๒๑.๐๐ นาฬิกาเศษ นายปรีดีกับพวกกลับไปหมดแล้ว

ครั้งที่ ๒ หลังจากครั้งแรกสัก ๙ วัน ๑๐ วัน ไปถึงเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา คราวนี้ไป ๕ คน นายปรีดีไปกับพวกสองคนที่ไปครั้งแรกกับคนใหม่อีก ๒ คน คนหนึ่งสูงท้วม อีกคนหนึ่งเตี้ยเล็ก เข้าไปในห้องรับแขกนั้นทั้ง ๕ คน สัก ๕ นาฑีได้ยินเสียงถามว่า การค้าไม้เป็นอย่างไร พลเรือตรี กระแส ตอบว่า ได้บ้างเสียบ้าง ยังไม่ได้ผล แล้วมีเสียงพูดขึ้นว่า ใกล้จะไปอยู่แล้ว จะทำอย่างไรก็ทำกันเสีย ได้ยินเท่านี้ พยานก็ลุกไปกินกาแฟนอกบ้าน ชั่วโมงเศษจึงกลับ ไม่พบคนเหล่านั้นแล้ว

ครั้งที่ ๓ หลังจากครั้งที่ ๒, ๗–๘ วัน ไปเวลา ๑๙.๐๐ นาฬิกาเศษ คราวนี้ ซ้ำหน้ากันทั้ง ๕ คนเช่นครั้งที่ ๒ เข้าไปในห้องรับแขกทั้ง ๕ คน แต่ไม่เห็นพลเรือตรี กระแส อยู่ในห้องรับแขก พยานนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างฝาห้องรับแขกด้านนอก ได้ยินเสียงพูดกันในห้องรับแขกว่า "ผมไม่นึกเลย เด็กตัวนิดเดียว ปัญญาจะเฉียบแหลมถึงเพียงนี้" แล้วอีกเสียงหนึ่งพูดว่า "ผมก็ได้ยิน ผมอยู่ใกล้ พี่ชายว่า จะสละราชสมบัติให้น้อง คิดจะสมัครเป็นผู้แทน เป็นนายก" อีกสัก ๕ นาฑีก็มีเสียงพูดขึ้นว่า "นั่นซิ พวกเรา เขาคิดเรื่องนี้สำเร็จออกไปได้ พวกเราจะเดือดร้อน ไม่ได้ อย่าให้พ้นไปได้ รีบกำจัดเสีย" เสียงหนึ่งพูดขึ้นทันทีว่า "นั่นตกเป็นพนักงานพวกผมเอง" อีกเสียงหนึ่งว่า "พวกผมทำสำเร็จแล้ว ขอให้เลี้ยงดูให้ถึงขนาดก็แล้วกัน" มีเสียงตอบว่า "กันพูดไม่จริง ก็ให้เอาปืนมายิงกันเสีย" อีกเสียงหนึ่งว่า "ให้สำเร็จแล้ว กันจะมีรางวัลให้อย่างสมใจ" หลังจากนั้น เงียบไปสัก ๑๐ นาฑี นายปรีดีคนเดียวออกจากบ้านไป พลเรือตรี กระแส ตามออกไปส่ง ส่วนพวกที่มากับนายปรีดีอีก ๔ คนนั้นออกไปนั่งดื่มสุรากันใต้ต้นมะม่วงริมสนามหญ้าหน้าบ้านราว ๒๐ นาฑี จึงพากันกลับไป

ในตอนนั่งดื่มสุรากันอยู่นี้ พยานได้ยินคนเหล่านั้นเรียกชื่อกัน จึงทราบชื่อสามชื่อ คือ นายตุ๊ นายเฉลียว นายชิต ส่วนอีกคนหนึ่งคงไม่รู้จักอยู่เช่นเดิม (ปรากฏในทางพิจารณาว่า เรือเอก วัชรชัย มีชื่อเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า ตุ๊)

พยานเบิกความต่อไปว่า คนที่มากับนายปรีดีครั้งแรก คือ นายตุ๊ นายเฉลียว ส่วนคนที่มากับนายปรีดีครั้งที่ ๒ และ ๓ เป็นชุดเดียวกัน คือ นายตุ๊ นายเฉลียว นายชิต อีกคนหนึ่งไม่รู้ชื่อ พยานดูตัวจำเลยต่อหน้าศาล แล้วชี้นายเฉลียว นายชิต จำเลย ว่า คือ นายเฉลียวและนายชิตที่ไปกับนายปรีดี

พยานเบิกความต่อไปว่า เมื่อพวกที่ดื่มสุรากลับไปแล้ว พยานพูดกับพลเรือตรี กระแส ว่า "เจ้าคุณ ในเรื่องนี้ เอากับเขาด้วยหรือ" ก็ได้รับตอบว่า "เราไม่เอากับเขาหรอก เราเออ ๆ คะ ๆ ไปกับเขาเช่นนั้น เขามีวาสนา เขามีบุญคุณกับเรา" พยานจึ่งว่า "ไม่เอากับเขาก็เป็นการดี"

การพิจารณาปรากฏว่า นายตี๋ผู้นี้เป็นพ่อค้า มีบ้านเรือนครอบครัวเป็นหลักฐาน มาพักอยู่บ้านพลเรือตรี กระแส ชั่วคราวเพื่อร่วมการค้าไม้ ฝ่ายจำเลยคัดค้านว่า นายตี๋มาพักอยู่บ้านพลเรือตรี กระแส ภายหลังวันเสด็จสวรรคต ย่อมจะไม่รู้เห็นเหตุการณ์ดังที่ให้การมาแล้ว ความข้อนี้ จำเลยอ้างจดหมายของนายแม้น ลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๔๘๙ ถึงพลเรือตรี กระแส ว่า นายตี๋จะขายไม้ให้ อันเป็นทำนองให้แปลความว่า ถ้าระหว่างนั้น นายตี๋อยู่ที่บ้านพลเรือตรี กระแส แล้ว นายแม้นจะต้องมีจดหมายมาบอกทำไม

เมื่อพิเคราะห์จดหมายฉบับนี้แล้ว ไม่ปรากฏชัดว่า นายตี๋จะมาอยู่บ้านพลเรือตรี กระแส ก่อนหรือหลังสวรรคตอย่างไร และก็ได้ความตามคำนายตี๋ว่า เมื่อมาพักอยู่บ้านพลเรือกระแส นั้น ไม่ได้อยู่ประจำ ต้องขึ้นล่องไปดูไม่ต่างจังหวัด เช่น ไปปากน้ำโพ สระบุรี ข้อโต้เถียงของจำเลยข้อนี้จึงฟังไม่ได้

อย่างไรก็ดี คำให้การของนายตี๋ที่ว่า ได้เห็นพวกนั้นไปที่บ้านพลเรือตรี กระแส จะฟังได้เพียงใดนั้น จะได้วินิจฉัยต่อไป

ค.นางสาวทองใบ แนวนาค เบิกความว่า เป็นลูกจ้างอยู่ในบ้านพลเรือตรี กระแส เมื่อก่อนสวรรคต ๑๐ กว่าวัน เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา เด็กชายเพิ่มศักดิ์ บุตรพลเรือตรี กระแส ใช้ให้พยานไปซื้อข้าวโพดเผา จึ่งเดินออกจากครัวผ่านไปทางหน้าห้องรับแขก เห็นมีแขกนั่งอยู่กับพลเรือตรี กระแส กี่คนไม่ทันสังเกต แต่มีนายเฉลียว จำเลย นั่งอยู่ที่เก้าอี้รอบโต๊ะกลมกลางห้องคนหนึ่ง พยานผ่านห้องรับแขกไป แล้วพบนายตี๋นั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นมะม่วงหน้าห้องรับแขก เมื่อกลับจากซื้อข้าวโพด พยานเดินผ่านหน้าห้องรับแขกอีก สังเกตเห็นมีแขกนั่งอยู่กับพลเรือตรี กระแส ในห้องรับแขก ๓–๔ คน

ง.ขุนเทพประสิทธิ์ นายชวน จนิษฐ์ และหลวงแผ้วพาลชน เบิกความประกอบกันว่า เมื่อเดือนมีนาคม ๒๔๙๑ นายตี๋ ศรีสุวรรณ ซึ่งเป็นคนคุ้นเคยกับขุนเทพฯ ได้ไปพักอยู่ที่บ้านขุนเทพฯ คืนวันหนึ่ง หลังจากพักอยู่แล้ว ๒–๓ วัน ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๔๙๑ (ขุนเทพฯ บันทึกไว้ในสมุดพก) นายชวนมาคุยที่บ้านขุนเทพฯ ตามที่เคยมา นายตี๋ร่วมวงคุยด้วย ชั้นแรก คุยกันถึงเรื่องอื่น ๆ แล้วเลยมาถึงกรณีสวรรคต วิพากษ์วิจารณ์โต้เถียงกันระหว่างขุนเทพฯ กับนายชวนว่า ใครเป็นคนปลงพระชนม์ในหลวง นายปรีดีจะรู้เห็นด้วยหรือไม่ ถ้ารู้ ได้รู้แต่เบื้องต้น หรือรู้เมื่อภายหลัง โต้เถียงกันอยู่นาน นายตี๋ได้ฟังการโต้เถียงนั้นแล้วอดอยู่ไม่ได้ พูดโพล่งออกมาว่า "ลื้อสองคนไม่รู้จริงหรอก อั๊วนี่ถึงจะรู้จริงว่า ใครฆ่าในหลวง" ขุนเทพฯ และนายชวนอยากรู้ความจริง จึงช่วยกันซักถามต่อไป นายตี๋ตอบเป็นทำนองว่า หลวงประดิษฐ์ฯ เป็นหัวหน้าคิดปลงพระชนม์ในหลวง ก่อนถูกปลงพระชนม์ เขามีการประชุมกันมาตั้งเดือนแล้วที่บ้านข้าราชการผู้ใหญ่ผู้หนึ่ง และว่า นายตี๋อยู่ในบ้านนั้นด้วย จึงรู้ ซักถามถึงข้าราชการผู้ใหญ่นั้นว่า เป็นใคร นายตี๋ไม่ยอมบอก อ้างว่าเป็นผู้มีบุญคุณ เกรงจะเป็นที่เสียหาย นายตี๋ได้กำชับเป็นหนักหนาว่า รู้แล้วอย่างนี้ อย่าพูดให้ใครฟังต่อไป ครั้นนายชวนกลับไปแล้ว ขุนเทพฯ นึกถึงบ้านข้าราชการผู้ใหญ่ที่นายตี๋พูด ก็เข้าใจว่า เป็นบ้านพลเรือตรี กระแส จึงถามนายตี๋โดยเฉพาะตัว นายตี๋ก็รับว่า ใช่ แล้วเลยขยายความให้ขุนเทพฯ ฟังต่อไปว่า มีคนไปประชุมกันที่นั้นหลายคนและหลายครั้ง ผู้ที่ไปประชุมกับหลวงประดิษฐ์ฯ มีนายเฉลียว นายชิต นายตุ๊ โดยได้ยินเขาเรียกชื่อกัน นอกจากนั้นไม่รู้จักชื่อ

เมื่อขุนเทพฯ ได้ทราบจากนายตี๋เช่นนั้น เกิดกังวล ในที่สุด ตัดสินใจจะบอกความแก่เจ้าหน้าที่ ต่อมา วันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๙๑ ตรงกับวันอาทิตย์ เวลาเช้า ไปเที่ยวตลาดนัดท้องสนามหลวง เผอิญพบหลวงแผ้วพาลชนซึ่งเคยรู้จักกันมาตั้งแต่เล็ก จึงถือโอกาสเล่าเรื่องที่ทราบจากนายตี๋ หลวงแผ้วพาลชนขอติดต่อกับนายตี๋ ขุนเทพฯ จึงโทรเลขถึงนายตี๋ว่า ต้องการพบด่วน เมื่อนายตี๋ลงมาที่บ้านขุนเทพฯ ตามโทรเลขแล้ว ขุนเทพฯ ลอบโทรศัพท์ถึงหลวงแผ้วพาลชนว่า นายตี๋มาแล้ว ให้มาพบ อย่าแต่งเครื่องแบบ หลวงแผ้วพาลชนก็มาที่บ้านขุนเทพฯ ๆ แนะนำให้นายตี๋รู้จักว่า เป็นเพื่อนเรียนหนังสือกันมาแต่เล็ก ร่วมคุยกันถึงเรื่องการค้าขายสักครู่ แล้วคุยถึงข่าวสวรรคต ขุนเทพฯ ว่า นายตี๋นี่แหละ รู้ข่าวสวรรคตดี หลวงแผ้วฯ ถามนายตี๋ ๒–๓ คำ แล้วแสดงตัวว่าเป็นตำรวจ นายตี่ตกตลึงนิ่งอึ้งอยู่ ขุนเทพฯ ก็ปลอบว่า จงเห็นแก่ชาติ เกิดมาตายครั้งเดียว นำเรื่องให้ตำรวจทราบสักหน่อย ครั้งแรก นายตี๋ไม่พอใจ แต่ในที่สุด ก็ยอมไปให้ถ้อยคำแก่เจ้าพนักงาน เสร็จแล้วกลับมาต่อว่าขุนเทพฯ ว่า บอกแล้ว อย่าบอกตำรวจ ทำไมถึงบอก มาต้มกัน ทีแรกคิดว่า โทรเลขเรื่องไม้

หลังจากได้นายตี๋เป็นพยานแล้ว จึงได้ดำเนินการเรียกตัวพลเรือตรี กระแส และนางสาวทองใบ มาสอบสวนเป็นพยานดั่งกล่าว

พึงสังเกตว่า พยานชุดนี้ต่างรู้ต่างเห็นเบิกความเกี่ยวโยงติดต่อกันเป็นลำดับประกอบเจือสมกันตลอดสาย มิใช่เป็นพยานโดดเดี่ยวขึ้นมาลอย ๆ และไม่มีทีท่าว่า แกล้งเสกสรรค์ปั้นเรื่องขึ้นเลย

ตามที่พยานหลักฐานที่ได้ความมานี้ ศาลนี้เห็นควรฟังได้ว่า นายเฉลียว นายชิต กับพวก ไปที่บ้านพลเรือตรี กระแส ก่อนหน้าวันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสวรรคตจริงดั่งคำพยาน

ส่วนปัญหาว่า ไปเพื่ออะไรนั้น พลเรือตรี กระแส ว่า นายปรีดีมาเยี่ยม พูดกันเรื่องค้าไม้ ก็เมื่อยังไม่ได้ลงมือค้าจริงจัง เหตุใดจึงต้องพากันไปตั้งหลายหน และถ้าจำเลยไปที่บ้านพลเรือตรี กระแส โดยสุจริตแล้ว ก็ไม่น่าจะปิดบังถึงแก่เบิกความปฏิเสธข้อนี้ ยิ่งเมื่อระลึกถึงกิริยาอิดเอื้อนเป็นเวลานานหลายชั่วโมงของพลเรือตรี กระแส ในการตอบคำถามชั้นสอบสวนถึงข้อนี้ประกอบด้วยแล้ว ย่อมส่อใหเห็นข้อพิรุธว่า มิได้ไปมาหาสู่กันอย่างปกติ

ส่วนถ้อยคำของพวกที่ไปจะพูดจากันอย่างไรบ้าง เพื่อแสดงให้เห็นความประสงค์ของผู้พูดนั้น ตอนนี้ พยานโจทก์เบาบาง มีแต่คำนายตี๋ ถึงจะได้แย้มพรายความข้อนี้แก่ผู้อื่นอย่างลับ ๆ โดยยั้งใจไม่อยู่ และมิได้มุ่งหมายจะให้เป็นเรื่องราวเกิดขึ้น แล้วตนก็กลับไปอยู่ต่างจังหวัดห่างไกล ไม่น่าจะถูกสงสัยว่า เป็นผู้เสกสรรค์ปั้นเรื่องขึ้นก็ดี แต่พยานที่สนับสนุนนายตี๋ในข้อที่ได้ยินพูดจาดั่งนั้นหามีไม่ นายตี๋อาจได้ยินได้ฟังถ้อยคำบางคำ แล้วเสริมความหมายหรือหมายความให้เกินไปกว่าความจริงของถ้อยคำก็ได้ หรือสังเกตเห็นจากอากัปกิริยา แล้วเดาความเอาตามเค้าเรื่องที่ตนคิดเห็นก็ได้ หรืออาจได้ยินข้อความเหล่านั้นจนจับเนื้อความก็ได้ ในเหตุต่าง ๆ ที่กล่าวมานี้ ศาลนี้เห็นว่า จะฟังความหรือถ้อยคำที่พูดกันให้เป็นแน่อย่างใดอย่างหนึ่งยังไม่ถนัด

ต่อไปนี้ จะได้วินิจฉัยว่า ใครเป็นผู้ประทุษฐร้ายพระองค์ท่าน

โจทก์มีพยาน ๒ ชุด ชุดหนึ่งรู้เห็นว่า เรือเอก วัชรชัย ปรากฏตัวในพระบรมมหาราชวังตอนก่อนเกิดเหตุและหลังเกิดเหตุ ความว่า เช้าวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ราว ๘.๐๐ นาฬิกา เรือเอก วัชรชัย นั่งรถยนต์ไปลงที่กระทรวงการต่างประเทศ ต่อมา จวน ๙.๐๐ นาฬิกา มีผู้เห็นเรือเอก วัชรชัย เดินอยู่แถวหน้าโรงละครหลังพระที่นั่งบรมพิมาน โฉมหน้าจะไปยังพระที่นั่ง เมื่อเสียงปืนดังแล้ว มีผู้เห็นเรือเอก วัชรชัย เดินลงบันไดพระที่นั่งบรมพิมานด้านหลังไปอย่างรีบร้อน แต่ก็ไม่ปรากฏว่า มีใครได้เห็นเรือเอก วัชรชัย ขึ้นไปถึงบนพระที่นั่ง และได้ทำอะไรอย่างไรบ้าง

พยานอีกชุดหนึ่งนำสืบว่า ก่อนวันสวรรคต นายสี่ หรือชูรัตน์ ได้บอกแก่ร้อยตรี กรี พิมพกร คนชอบกันตั้งแต่ครั้งต้องโทษอยู่ในเรือนจำ ว่า นายชาติ เศรษฐทัต พวกของนายปรีดี ได้ว่าจ้างนายสี่ หรือชูรัตน์ ให้ยิงคนสำคัญ สัญญาให้ค่าจ่างสี่แสนบาท รับปากไว้แล้ว รุ่งขึ้นจากวันสวรรคต นายสี่ หรือชูรัตน์ ได้ไปหาร้อยตรี กรี ร้องไห้บอกว่า ที่รับจ้างยิงคนสำคัญนั้น คือ ยิงในหลวง โดยมีผู้นำตัวเขาเข้าไปในวังก่อนสวรรคตวันหนึ่งหรือสองวันเพื่อให้ยิง ผู้ที่รอรับอยู่ในวัง คือ นายชิต นายบุศย์ แต่นายสี่ หรือชูรัตน์ ไม่กล้ายิง จึงหลบออกมาเสีย ส่วนผู้ที่ยิงในหลวง คือ เรือเอก วัชรชัย และว่า ตำรวจกำลังติดตามจะยิงเขาอยู่ จึงขออาศัยอยู่กับร้อยตรี กรี ด้วย ปรารภว่า จะตามไปฆ่าเรือเอก วัชรชัย ให้ได้ ขอร้องให้ร้อยตรี กรี ช่วยพาไปหาพลโท พระยาเทพหัสดินฯ เพื่อจะฝากลูกเมีย พระยาเทพหัสดินฯ ฟังเรื่องแล้วห้ามปราม แนะนำให้รักษาตัวให้ดี เจ้าหน้าที่ที่จะปฏิบัติตามกฎหมายยังมีอยู่ ในที่สุด บอกปัดไม่ยอมรับให้อยู่อาศัยด้วย นายสี่ หรือชูรัตน์ จึงมาพักอาศัยอยู่กับร้อยตรี กรี ต่อมาสัก ๑ เดือนก็จากไป ว่า จะไปอยู่กับร้อยตำรวจเอก เฉียบ ชัยสงค์ แล้วก็หายสาปสูญไป

เฉพาะคำที่พาดพิงมาถึงนายชิต นายบุศย์ คงมีแต่คำร้อยตรี กรี ผู้เดียวเท่านั้นที่อ้างว่า ได้รับคำบอกเล่าจากนายสี่ หรือชูรัตน์ พระยาเทพหัสดินฯ หาได้รับคำบอกเล่าละเอียดถึงเพียงนั้นไม่

พยานสองชุดนี้ยังไม่เป็นหลักฐานพอที่จะชี้ได้ว่า ใครเป็นผู้ลงมือกระทำการลอบปลงพระชนม์

ต่อไปนี้ จะได้วินิจฉัยถึงตัวนายชิต นายบุศย์ จำเลย ซึ่งอยู่ในที่นั้น เสียก่อนว่า เป็นผู้กระทำผิดหรือไม่

ทางที่ผู้ร้ายจะปีนป่ายขึ้นมาบนพระที่นั่งนั้น ตามคำพยาน ได้ความว่า ไม่มีร่องรอยอย่างใดเลย บนพระที่นั่งมีทางเข้าออกห้องพระบรรทมได้ ๓ ทาง ด้านกลาง (คือ ทางห้องทรงพระสำราญซึ่งติดกับห้องพระบรรทม ๆ อยู่ทางตะวันออก) ด้านหน้า (เหนือ) และทางด้านหลัง (ใต้)

ด้านกลางมี ๓ ช่องหรือ ๓ ประตู มีฉากกั้น และลงกลอนข้างในทางห้องพระบรรทมทั้ง ๓ ช่อง ส่วนภายนอกฉากซึ่งเป็นห้องทรงพระสำราญ มีตู้ โต๊ะ เก้าอี้ วางกันอยู่ เป็นอันว่า ทางด้านกลางนี้ไม่ได้ใช้เป็นทางเข้าออก

ด้านหน้า (เหนือ) มีประตูเดียวจากเฉลียงเข้าประตูถึงห้องทรงพระอักษรส่วนพระองค์แล้วถึงพระบรรทม ประตูด้านนี้มีฉากลงกลอนในเช่นเดียวกัน ได้ความว่า จะเปิดต่อเมื่อพระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินออกไปเสวยพระกระยาหารเช้าที่ห้องทางเฉลียงด้านหน้า ตามคำนายบุศย์ จำเลย ว่า ในคืนวันที่ ๘ มิถุนายนนั้น เมื่อพระองค์ท่านเสด็จเข้าที่บรรทมแล้ว นายบุศย์เป็นผู้ลงกลอนที่ฉากด้านในโดยเรียบร้อยตามหน้าที่ด้วยมือตนเอง ต่อนี้ไปจนกระทั่งพระองค์ท่านต้องกระสุนปืน ไม่ปรากฏว่า มีใครได้เข้าออกทางประตูนี้อีก จนเมื่อสมเด็จพระราชชนนีจะเสด็จจากห้องพระบรรทมกลับออกทางด้านเหนือนี้ นายชิต จำเลย ยังต้องเปิดฉากถวาย คดีเป็นอันฟังได้ว่า ทางด้านหน้า (เหนือ) นี้ปิดอยู่ตลอดเวลานับแต่เสด็จเข้าที่พระบรรทมไปจนภายหลังพระองค์ท่านต้องกระสุนปืนแล้ว และเพิ่งจะถอดกลอนเปิดฉากในตอนสมเด็จพระราชชนนีจะเสด็จออกจากห้องพระบรรทมห้องทรงพระอักษรออกไปนี้เอง

คงมีทางเข้าออกห้องพระบรรทมทางเดียวทางด้านหลัง (ใต้) ซึ่งนายชิต นายบุศย์ นั่งเฝ้าอยู่ที่เฉลียงหน้าประตู เป็นทางเข้าห้องแต่งพระองค์แล้วสู่ถึงห้องพระบรรทม แม้จำเลยเองก็ให้การต่อสู้คดีไปในทางว่า ไม่มีทางอื่นที่ผู้ร้ายจะเข้าไปสู่ห้องพระบรรทมได้

ฉะนั้น ผู้ร้ายที่เข้าออกห้องพระบรรทมจะต้องผ่านที่ที่นายชิต นายบุศย์ นั่งอยู่

ต่อนี้ จะได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงเกี่ยวกับนายชิต จำเลย ต่อไป

นายชิตเป็นมหาดเล็กห้องพระบรรทม มีเวรผลัดเปลี่ยนกับนายบุศย์ ในขณะเกิดเหตุ เป็นเวรของนายบุศย์ แต่นายชิตได้ไปนั่งอยู่หน้าพระทวารห้องแต่งพระองค์กับนายบุศย์ด้วย

กรณีมีเหตุที่ควรพิจารณา คือ

๑.นายชิตรีบวิ่งไปทูลเท็จต่อสมเด็จพระราชชนนีว่า ในหลวงยิงพระองค์ ความข้อนี้ นายชิตเพียงแต่เห็นพระองค์ท่านทรงบรรทมหงายอย่างปกติและมีพระโลหิตที่พระนลาตเท่านั้น เหตุใดจึงว่า ท่านทรงยิงพระองค์เอง ย่อมเห็นได้ชัดว่า เป็นการกล่าวเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องร้ายให้หายสูญ ข้อที่นายชิตกล่าวแก้ว่า พูดผิดเพราะเข้าใจผิดว่า ไม่มีใครเข้าไปทำพระองค์นั้น ไม่มีเหตุอันควรเชื่อฟังเลย

๒.ในเวลากระชั้นชิดกับที่เสด็จสวรรคต นายชิตยังได้แสดงกิริยาวาจาและท่าทางอย่างเป็นจริงเป็นจังถึงกับทำท่านอนหงายจับปืนจ่อหน้าผากต่อหน้าพระบรมวงศานุวงศ์ นายกรัฐมนตรี และข้าราชการผู้ใหญ่ ณ พระที่นั่ง ทั้ง ๆ ที่ตนไม่รู้เห็น และเมื่อพันเอก ประพันธ์ กุลพิจิตร ราชองครักษ์ ถามเรื่องสวรรคต นายชิตตอบว่า ทรงยิงพระองค์เอง ครั้นถามถึงสาเหตุ นายชิตก็ว่า ทรงมีเรื่องกับสมเด็จพระราชชนนี ไม่ได้ร่วมโต๊ะเสวยกันมา ๒–๓ วันแล้ว ซึ่งล้วนแต่เป็นการเพทุบายกล่าวเท็จโดยจงใจทั้งสิ้น

๓.นายชิตว่า เช้าวันนั้น นายชิตไปว่าจ้างทำหีบพระตรา ช่างต้องการให้วัดขนาดพระตรา นายชิตจึงมานั่งอยู่กับนายบุศย์รอให้ตื่นบรรทมเพื่อเข้าไปเอาพระตราออกมาวัด ความข้อนี้ พระยาอนุรักษ์ราชมณเฑียร พยานจำเลยเอง เบิกความตัดว่า หีบตัวอย่างที่นำไปมอบแก่ช่างมีรอยบุ๋มตามขนาดดวงพระตราอยู่แล้ว ทั้งนี้ แสดงว่า นายชิตไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกลับมาวัดพระตรา อนึ่ง พระตราเก็บอยู่ในตู้ห่างจากพระแท่นบรรทมประมาณ ๖ วา มีพระฉากกั้นระหว่างตู้กับพระแท่น นายชิตคุ้นเคยแก่การเข้าออก เพียงแต่เข้าไปเปิดตู้นำพระตราออกมาวัด ไม่น่าจะถึงแก่ทำให้บังเกิดเสียงดังรบกวนการบรรทม เหตุใดนายชิตต้องรั้งรอการตื่นพระบรรทม คำนายชิตไม่สมเหตุผลด้วยประการฉะนี้ กลับเป็นการแสดงว่า นายชิตไปนั่งรอเพื่อเหตุ

๔.ราวสองสัปดาห์ก่อนหน้าวันสวรรคต เวลาเย็น นางสาวจรูญ ตะละภัฏ ไปหยิบสิ่งของในห้องพระภูษา พบนายชิตอยู่ในห้องนั้น นายชิตพูดขึ้นว่า "นี่ จะบอกให้ ท่านไม่ได้เสด็จดอก วันที่ ๑๓ นั่น" นางสาวจรูญถามว่า "เพราะอะไร" นายชิตนิ่งเฉยเสีย นางสาวจรูญจึงว่า ไม่เชื่อหรอก นายชิตก็หัวเราะแล้วพูดว่า "ไม่เชื่อก็แล้วไป คอยดูไปก็แล้วกัน" นางสาวจรูญเข้าใจว่า นายชิตล้อเล่น เพราะเห็นกระตือรือร้นเตรียมการตามเสด็จไปต่างประเทศ ต่อมา คืนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ นางสาวจรูญได้เล่าความตามที่ได้พูดโต้ตอบกับนายชิตให้นางสาวนิภา น้องสาว ฟังเป็นทำนองคุยกันตามธรรมดา ครั้นเกิดการสวรรคตขึ้น พันตำรวจตรี พจนาถ จันทรสุวรรณ เป็นผู้สอบสวนนางสาวจรูญ นอกจากข้ออื่น นางสาวจรูญก็ได้ให้การถึงความข้อนี้ด้วย ในชั้นกรรมการศาลกลางเมืองสอบสวน ก็ได้ให้การไว้เช่นเดียวกัน

สมเด็จพระราชชนนีก็ได้พระราชทานพระกระแสรับสั่งเป็นพยานว่า นางสาวจรูญเคยกราบทูลว่า มหาดเล็กคนหนึ่งพูดว่า ในหลวงจะเสด็จในวันที่ ๑๓ ไม่ได้ เขาบอกชื่อมหาดเล็กคนนั้นเหมือนกัน จะเป็นนายชิตหรือนายบุศย์คนใดคนหนึ่งในสองคนนี้เวลานี้ทรงจำไม่ได้เสียแล้ว

ฉะนั้น คำเบิกความของนางสาวจรูญจึงประกอบด้วยน้ำหนักหลักฐาน ควรฟังเป็นความจริงได้

นอกจากนี้ นายมี พาผล ยังเบิกความยืนยันว่า นายชิตได้พูดแก่นายมีทำนองเดียวกัน โดยเช้าวันหนึ่งก่อนเสด็จสวรรคต ขณะที่นายมีกำลังอยู่เวรบนพระที่นั่งชั้นบน นายชิตได้มาคุยด้วย ตอนหนึ่ง นายชิตพูดขึ้นว่า "แปลกใจ ทำไมในหลวงจึงจะเสด็จกลับในวันที่ ๑๓ ฝรั่งเขาถือ" นายมีตอบว่า "ท่านไม่ทรงถืออย่างฝรั่ง เพราะท่านเป็นไทย ท่านก็เสด็จได้" นายชิตว่า "ท่านจะไม่ได้เสด็จน่ะนา" นายมีว่า ก็โหรให้ฤกษ์แล้ว ท่านก็คงจะเสด็จ นายชิตพูดในที่สุดว่า ท่านจะไม่ได้เสด็จนา

หลังจากให้การที่ศาลกลางเมืองแล้วสักสองสามวัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันได้รับสั่งให้นายมีเข้าเฝ้า ทรงซักถามว่า ได้รู้เรื่องอะไร ให้เล่าถวาย นายมีจึ่งกราบบังคมทูลให้ทรงทราบถึงข้อความที่นายชิตพูดคุยกันดั่งที่กล่าวมาแล้ว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันได้พระราชทานพระกระแสรับสั่งเป็นพยานว่า ภายหลังสวรรคแล้ว ๒–๓ อาทิตย์ นายมี พาผล เคยกราบทูลว่า นายชิตพูดว่า วันที่ ๑๓ จะเสด็จกลับไม่ได้

ตามคำพยานหลักฐานที่กล่าวมานี้ เป็นอันฟังได้ว่า นายชิตได้พูดเช่นนั้นจริง เป็นการพูดยืนยันความรู้จริงอย่างใดอย่างหนึ่งมา ไม่ใช่เป็นการแสดงความคิดความเห็น พูดออกมาโดยความแน่ใจและอดใจไว้ไม่อยู่ เป็นข้อที่ส่อให้เห็นว่า เพราะนายชิตได้ล่วงรู้เหตุร้ายซึ่งจะบังเกิดขึ้นภายในระยะเวลาอันใกล้ มั่นใจในความสำเร็จตลอดปลอดโปร่ง ด้วยความอิ่มใจและทะนงใจ จึงกล้าเผยข้อความออกมาเป็นนัย เพื่อแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของตนว่า เป็นคนรู้ความสำคัญอันลี้ลับ

๕.ได้ความตามคำพระพิจิตรราชสาส์น ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ ว่า ในวันเสด็จพระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ ตามหมายกำหนดการเวลา ๑๐.๐๐ นาฬิกา แต่งพระองค์ด้วยสายสพายนพรัตน์ พยานมีหน้าที่ตามเสด็จ ได้ไปถึงพระที่นั่งบรมพิมานเวลา ๙.๐๐ นาฬิกาเศษ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงกวักพระหัตถ์เรียกให้ขึ้นไปรับสั่งว่า ช่วยดูทีเถิด เขา (นายชิต จำเลย) ติดเหรียญตราให้แยะเชียว แล้วทรงนำพยานไปดูฉลองพระองค์ ขณะนั้น นายชิตกำลังจัดฉลองพระองค์ติดเหรียญอยู่แถบหนึ่งประมาณ ๑๐ กว่าเหรียญ พยานเห็นว่า ไม่ใช่เหรียญสำหรับพระองค์ ถามนายชิตว่า นี่เหรียญของใคร นายชิตว่า เหรียญของรัชกาลที่ ๖ พยานว่า ติดไม่ได้ ไม่ใช่เหรียญของท่าน ให้เอาออกเสีย พยานเห็นสอดสายสพายนพรัตน์ไว้ แล้วแต่ไม่มีดวงตราและดวงห้อย ถามนายชิตว่า ดวงตราอยู่ที่ไหน นายชิตว่า ยังให้คนไปเอาอยู่พอดี พอดีสมเด็จพระราชชนนีเสด็จมา รับสั่งถามว่า อย่างไรกัน พยานกราบทูลว่า ยังรอตรากับดวงห้อย สมเด็จฯ รับสั่งว่า พระพิจิตรฯ ช่วยดูให้ด้วยนะ ฉันจะล่วงหน้าไปก่อน พยานดูนาฬิกาเห็นจวนเวลาเต็มที จะไม่ทันฤกษ์ตามหมายกำหนดการ จึงสั่งให้เปลี่ยนเครื่องฉลองพระองค์ใช้สพายจักรีแทน ไม่ตรงตามหมายกำหนด ระหว่างเปลี่ยนสายสพายอยู่นั้น นายชิตทำไปพูดไป ในหลวงรับสั่งว่า ทำไป ไม่ต้องพูด พยานรู้สึกว่าทรงกริ้ว

การกระทำของนายชิตในข้อนี้ส่อให้เห็นว่า นายชิตดูหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มีเจตนาให้พระองค์ท่านทรงได้รับความอัปยศในงานพระราชพิธีท่ามกลางรัฐสภา ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม จะเป็นเหตุให้คนทั้งหลายเข้าใจผิดในพระราชจริยาวัตร

ส่วนนายบุศย์ จำเลย นั้น แม้โจทก์จะมิได้สืบถึงข้อพิรุธนานาประการอย่างเช่นนายชิต แต่การที่นายบุศย์มีหน้าที่อยู่เวรคอยเฝ้าอารักขาพระองค์ท่ายอย่างใกล้ชิดขณะยังไม่เสด็จจากพระแท่นบรรทม นับว่า เป็นหน้าที่อันสำคัญอย่างยิ่ง และผู้ร้ายเข้าออกจะต้องผ่านทางระเบียงหลังที่นั่งอยู่ แต่นายบุศย์มิได้ทำการขัดขวาง ป้องกัน หรือเอะอะโวยวายขึ้น หรือแม้จะสมมติว่า ผู้ร้ายจะเข้าออกทางห้องทรงพระสำราญได้ ก็ปรากฏว่า ทางห้องทรงพระสำราญติดกับเฉลียงด้านหลัง มีช่องโค้งสองช่อง ไม่มีบานประตู จากที่นายบุศย์นั่งอยู่ นายบุศย์ก็ย่อมแลเห็นได้ เพราะอยู่ในระยะใกล้ชิดกัน อีกประการหนึ่ง เมื่อเสียงปืนดังขึ้นในห้องพระบรรทมในขณะที่ทรงบรรทมอยู่ นายบุศย์ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรง ก็มิได้เข้าไปดูให้เห็นเหตุการณ์ว่า เป็นอย่างไร กลับอ้างในชั้นสอบสวนว่า ที่ไม่กล้าเข้าไป เพราะกลัวจะถูกหาว่า ยิงในหลวง

การกระทำหรืองดเว้นกระทำของนายชิต นายบุศย์ จำเลยทั้งสอง เช่นนี้ ไม่มีทางให้วินิจฉัยเป็นอย่างอื่น นอกจากจะฟังว่า จำเลยทั้งสองคนนี้อย่างน้อยก็เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดในการลอบปลงพระชนม์ด้วย

นายเฉลียว ปทุมรส จำเลย มีข้อที่ควรวิเคราะห์ ดั่งต่อไปนี้

(๑)เป็นคนสนิทชิดชอบของนายปรีดี เป็นคนหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงการปครอง พ.ศ. ๒๔๗๕ เดิมรับราชการอยู่ในกรมไปรษณีย์โทรเลข หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้โอนไปรับราชการกองตรวจคนเข้าเมือง กรมตำรวจ แล้วโอนไปรับราชการในกรมสรรพสามิตต์ จน พ.ศ. ๒๔๘๐ ลาออก ในปีนั้นเอง เข้ารับราชการในสำนักพระราชวัง ตำแหน่งหัวหน้าแผนกคลัง แล้วเลื่อนขึ้นเป็นเลขานุการสำนักพระราชวัง ต่อมา เลื่อนเป็นรองเลขาธิการพระราชวัง พ.ศ. ๒๔๘๗ ย้ายไปดำรงตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์ ทั้งนี้ เป็นด้วยทางการเมืองเข้าไปครอบงำราชการในพระราชสำนัก

นายเฉลียวนั้น นอกจากมีจิตใจฝักใฝ่อยู่กับนายปรีดีมาก่อนนานแล้ว เมื่อนายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สมบูรณ์ด้วยอำนาจตามรัฐธรรมนูญแตผู้เดียว นายเฉลียวก็ยิ่งมีอำนาจยิ่งขึ้น นายเฉลียวดำรงตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์ได้ ๓ เดือนแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติพระนคร นายทวี บุณยเกตุ รองนายกรัฐมนตรี มีคำสั่ง ลงวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๔๘๘ ว่า เพื่อให้มีความเรียบร้อยและเหมาะสม เป็นการสมควรจัดให้มีข้าราชการผู้ใหญ่ประจำพระองค์ เพื่อถวายพระราชกรณียกิจและรับกระแสพระบรมราชโองการต่าง ๆ ให้เป็นที่เรียบร้อย จึงให้นายเฉลียว ซึ่งดำรงตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์ มีหน้าที่ติดต่อใกล้ชิดพระองค์อยู่แล้ว ปฏิบัติหน้าที่ดั่งกล่าวประจำพระองค์อีกหน้าที่หนึ่งด้วย

ด้วยเหตุเหล่านี้ นายเฉลียวจึงตั้งสำนักงานขึ้นอีกแห่งหนึ่งที่ตึกหน้าพระที่นั่งพระบรมพิมานภายในประตูเหล็กกล้า ซึ่งน่าหวังว่า กิจการจะเป็นระเบียบเรียบร้อยและเป็นที่ปลอดภัย แต่กลับกลายเป็นสิ่งตรงกันข้าม นายฉันท์ หุ้มแพร มีความหวั่นหวาด และปรารภแก่บุคคลหลายคนว่า เกรงจะมีภยันตรายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เตรียมตัวระวังเหตุการณ์อย่างเต็มที่ แต่มาตายเสียก่อนเกิดกรณีสวรรคต

(๒)ว่าถึงในหน้าที่ราชการในพระราชสำนักแล้ว นายชิต และนายบุศย์ จำเลย อยู่ในบังคับบัญชาของนายเฉลียว

ส่วนนายชิตนั้น เป็นคนชอบพอคุ้นเคยกับนายเฉลียว เป็นกันเองอย่างสนิทอีกด้วย

(๓)เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัติพระนคร ทางราชการได้จัดรถเชฟโรเลตและรถแนชถวายเป็นรถพระที่นั่งส่วนพระองค์ ถ้าจะเสด็จเป็นพระราชพิธีหรือรัฐพิธีแล้ว ก็ใช้รถโรลสลอยด์และรถเดมเล่อร์

วันหนึ่ง หลังจากเสด็จกลับจากหัวหิน สมเด็จพระราชชนนีจะเสด็จไปทรงซื้อของ นายฉันท์ หุ้มแพร จึงสั่งให้นายระวิ ผลเนื่องมา หัวหน้าแผนกพระราชพาหนะ จัดรถยนต์ถวาย นายระวิขัดข้องว่า รถไม่มี ทั้งนี้ เป็นเพราะก่อนเสด็จหัวหิน รถสองคนนี้ยังอยู่ แต่เมื่อเสด็จกลับจากหัวหินแล้ว ปรากฏว่า รถเชฟโรเลตนั้น นายเฉลียวจัดส่งไปให้นายปรีดีใช้ ส่วนรถแนช สำนักพระราชวังส่งไปกรมพาหนะทหารบกเพื่อซ่อมไว้ให้แขกเมืองใช้ จึงเป็นอันว่า รถพระที่นั่งสำหรับทรงใช้ส่วนพระองค์ไม่มี นอกจากนี้ ก็มีแต่รถที่ใช้งานพระราชพิธี กับรถมอร์ริส เป็นรถประทุนทาสีน้ำเงิน ใช้สำหรับท้าวนางหรือหม่อมเจ้า นายฉันท์ดูรถนั้นแล้วว่า น่าจะไม่โปรด จะกลับไปกราบบังคมทูลก่อน สักครู่หนึ่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จไปทอดพระเนตรและรับสั่งถามว่า รถคันนี้หรือที่จะจัดถวายพระราชชนนี แล้วเสด็จไปทอดพระเนตรที่โรงรถ ไม่ทรงโปรดรถคันใด ต่อมา นายฉันท์จึงไปสั่งนายระวิว่า ให้หารถที่เคยทรงมาถวายในตอนบ่ายให้ได้ นายระวิจึงติดต่อไปทางกรมพาหนะทหารบก ได้ความว่า ยังไม่ได้รื้อเครื่อง ตอนบ่าย จึงนำเอาไปจอดถวายที่มุขหน้าพระที่นั่งบรมพิมาน พอสมเด็จพระราชชนนีเสด็จลง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เสด็จตามมาส่ง และทรงรับสั่งว่า "รถที่ไหน ๆ ไม่มีแล้วหรือ จึงมาเอารถของฉันไปเสียหมด" นายระวิกราบบังคมทูลว่า ทางราชการสั่งให้เอาไป ก็ขัดไม่ได้วันนั้นเอง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชกระแสรับสั่งกับพระยาชาติเดชอุดมว่า เมื่อเช้านี้ สมเด็จพระราชชนนีจะเสด็จไปซื้อของ เรียกรถไม่ได้ ถามเขา เขาว่า นายเฉลียวจัดเอาไปให้นายปรีดีใช้ เพราะรถของนายปรีดีเสีย ในที่สุด ทรงรับสั่งว่า "ทำไมของอื่นจึงขาดไม่ได้ แต่ของฉันขาดได้ ถ้าเช่นนั้น ไฟไหม้ทำเนียบท่าช้าง ฉันมิต้องเอาวังให้อยู่หรือ เรื่องผู้คนก็เหมือนกัน เอาไปจากราชเลขาก็มี สำนักพระราชวังก็มี เมื่อต้องการจะมี ทำไมไม่ตั้งขึ้นเอง"

เมื่อเกิดเรื่องรถยนต์ที่กล่าวมานี้ นายปรีดีไม่มีหน้าที่เกี่ยวกับสำนักพระราชวังแล้ว การจึงเป็นว่า นายเฉลียวได้ใช้อำนาจหน้าที่ซึ่งตนปกครองอยู่สั่งให้จัดไปเพื่อประโยชน์ของนายปรีดี เป็นขาดความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

พฤติการณ์เรื่องรถพระที่นั่งนี้ ต่อมา ได้เกิดปฏิกิริยา คือ หลังจากวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชกระแสรับสั่งกับนายระวิประมาณ ๑๕–๒๐ วัน รถแนชพระที่นั่งคันนั้นหายไปจากโรงเก็บรถในพระบรมมหาราชวังในเวลากลางคืน ทั้ง ๆ มีเวรยามเฝ้ารักษา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะผู้ร้ายแสดงอำนาจเหยียดหยามพระองค์ท่านในการที่ทรงสนพระทัยในรถคันนี้ แต่ทั้งนี้ ใครเป็นผู้กระทำหรือสั่งการนั้น เป็นเรื่องยังไม่กระจ่าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวข้องพระราชหฤทัยมาก มีพระราชประสงค์จะพบนายปรีดี แต่พระยาชาติเดชอุดมกราบบังคมทูลว่า ได้ให้พระรามอินทรา อธิบดีกรมตำรวจ จัดการสืบหาคนร้ายอยู่แล้ว ถึงกระนั้น ยังทรงพระราชอุตสาหะไปทรงตรวจสถานที่ในคืนวันหนึ่งว่า เก็บอย่างไร และยามอยู่ตรงไหน หลังจากนั้น ก็ยังได้ทรงเตือนถามพระยาชาติฯ อีก ๒–๓ ครั้งว่า ได้ความอย่างไรหรือยัง และได้เคยทรงถามพระรามอินทรา ในที่สุด ก็หาได้ตัวผู้ร้ายไม่

เหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นในพระราชสำนักเกี่ยวแก่พระราชกรณียกิจแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดังนี้ น่าที่นายเฉลียวจะจัดการให้ได้เรื่องราว เพราะมีสมัครพรรคพวกเป็นอันมากตลอดทั้งคนรถ แต่หาปรากฏว่า ได้นำพาเป็นกิจธุระประการใดไม่

ส่วนเรื่องที่นายเฉลียวกระด้างกระเดื่องต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น พึงเห็นได้จากอาการที่แสดงออกต่าง ๆ หลายประการ ดั่งเช่นจะกล่าวต่อไปนี้

(ก)นายเฉลียวนั่งรถยนต์ล่วงล้ำไปถึงพระที่นั่งบรมพิมานซึ่งเป็นพระราชฐานภายในเวลาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงประทับ ฝืนระเบียบประเพณี บางครั้งนั่งไขว่ห้างเข้าไป ทรงทราบถึงพระเนตรพระกรรณแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระราชชนนีเนือง ๆ

(ข)เวลานายเฉลียวนำหนังสือไปทูลเกล้าฯ ถวาย สรวมแว่นดำและสูบบุหรี่พรวดพราดขึ้นไป ไม่ได้บอกมหาดเล็กไปกราบบังคมทูลเสียก่อนตามระเบียบ ต่อเมื่อเห็นพระองค์ท่าน จึงถอดแว่นและทิ้งบุหรี่ บางทีเมื่อถึงชั้นบนแล้ว จึงถอดพลางเดินพลาง ชั้นบนไม่มีกระโถน นายเฉลียวก็โยนบุหรี่ทิ้งลงกับพื้น มหาดเล็กต้องคอยรีบเก็บ เพราะเกรงจะไหม้พรม

ขณะทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือ นายเฉลียวไม่ปฏิบัติตามระเบียบประเพณี แทนที่จะคุกเข่ากลับยืน

ระเบียบประเพณีการเข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายหนังสือราชการ ถ้าราชเลขาฯ อ่านหนังสือราชการถวาย ตามธรรมดาจะต้องหมอบอ่าน ถ้าพระองค์ท่านประทับอยู่บนพระเก้าอี้ทรงพระอักษร ผู้อ่านก็จะต้องคุกเข่าเข้าไปใกล้ ๆ โต๊ะทรงพระอักษรแล้วจึงอ่านหนังสือราชการนั้น ส่วนนายเฉลียวเข้าไปยืนอ่านใกล้ ๆ โต๊ะทรงพระอักษร

เมื่ออ่านถวายแล้วก็จะต้องกราบบังคมทูลว่า เรื่องต่าง ๆ ที่เคยปฏิบัติมานั้นจะควรสั่งอย่างไร ถ้าทรงพระราชดำริเห็นชอบด้วย ก็หมอบเขียนบันทึกในหนังสือราชการเป็นพระราชกระแสรับสั่งของพระองค์ถวายให้ทรงลงพระบรมนามาภิไธย แต่นายเฉลียวคงยืนเขียนบันทึกบนโต๊ะทรงพระอักษรนั้นเอง แล้วเลื่อนหนังสือให้ทรงลงพระบรมนามาภิไธย

(ค)นายเฉลียวเปิดวิทยุที่ตึกที่ทำงานซึ่งอยู่ตรงข้ามกับพระที่นั่งบรมพิมาน ถึงเวลาบรรทมก็ยังหาหยุดเปิดไม่ จนมีพระราชกระแสรับสั่งถามว่า ที่นั่นเขาทำอะไรกันอยู่จนดึกดื่น

(๔)การที่นายเฉลียวจำต้องพ้นจากตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์ เพราะปฏิบัติตนไม่ต้องด้วยพระราชประสงค์ ย่อมเป็นเหตุข้อที่นายเฉลียวว่า ไม่เสียใจ เพราะไปได้รับตำแหน่งใหม่เป็นสมาชิกวุฒิสภานั้น ข้อนี้ไม่เป็นเหตุผลที่จะให้เห็นว่า นายเฉลียวจะหายโกรธเคืองพระองค์ท่าน

(๕)ได้วินิจฉัยมาแล้วว่า บุคคลผู้ที่ไปประชุมที่บ้านพลเรือตรี กระแส มีนายชิตกับนายเฉลียวด้วย

นายชิตเป็นผู้สมคบร่วมมือกับผู้ร้ายในการกระทำการปลงพระชนม์ ส่วนนายเฉลียวก็เป็นผู้ขาดความจงรักภักดี มีสาเหตุไม่พอใจในการที่ถูกออกจากตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์ โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไม่พอพระราชหฤทัยที่จะให้ดำรงอยู่ และนายชีตเป็นผู้ที่สนิทชิดชอบและคุ้นเคยกันเป็นอันมาก คนทั้งสองนี้กับพวกได้มาประชุมกันที่บ้านพลเรือตรี กระแส โดยไม่ปรากฏชัดว่า ประชุมกันด้วยเรื่องอะไร เป็นข้อน่าสังเกตตประการหนึ่ง

(๖)โหรถวายพระฤกษ์และทางราชการได้กำหนดนัดหมายแล้วว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จต่างประเทศในวันที่ ๑๓ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ต้องเป็นที่เข้าใจกันว่า ในหลวงจะเสด็จตามกำหนดในวันนั้นแน่ เพราะมีกำหนดเป็นทางราชการแล้ว และการกำหนดเช่นนี้มิใช่เพียงวงราชการในประเทศไทย ยังเกี่ยวข้องแก่ต่างประเทศซึ่งเป็นประเทศที่จะเสด็จไปพำนักนั้นด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา เป็นต้น ซึ่งจะต้องเตรียมการต้อนรับ เพราะจะเสด็จไปในฐานะพระมหากษัตริย์องค์ประมุขแห่งชาติตามซึ่งต่างประเทศได้ทูลเชิญเสด็จไว้ ฉะนั้น การกำหนดนัดหมายจึงจำเป็นต้องเป็นการแน่นอน

แต่มีคนบางหมู่รู้ความจริงอย่างเที่ยงแท้ว่า ในหลวงจะไม่ได้เสด็จในวันที่ ๑๓ นั้น

ผู้ที่ได้พูดออกมาให้ปรากฏความข้อนี้ ก็คือ

๑.นายชิต

๒.นายเฉลียว

เป็นที่น่าประหลาดว่า บุคคลผู้รู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างแม่นยำได้เกิดมีขึ้นพร้อม ๆ กันถึง ๒ คน และบุคคลทั้งสองนั้นก็สนิทชิดชอบกันเป็นอันมากด้วย

สำหรับนายชิต ได้กล่าวความข้อนี้แก่ใครที่ไหนบ้าง ได้ยกขึ้นกล่าวมาแล้ว ต่อไปนี้ จะได้กล่าวถึงนายเฉลียว

(ก)กำหนดพระราชทานเพลิงพระศพพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ทรงพระประชวร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันเสด็จแทนพระองค์ตอนกลางคืน ๒๐.๐๐ นาฬิกาเป็นเวลาเผาจริง พันเอก ประพันธ์ กุลพิจิตร ได้พบนายเฉลียว ณ ที่นั้น ระหว่างนั่งรออยู่ที่เก้าอี้หน้าพลับพลา ได้พูดจาวิสาสะกัน พันเอก ประพันธ์ ได้ถามนายเฉลียวว่า "ทำไมจึงไปกำหนดวันเสด็จวันที่ ๑๓" ทั้งนี้ เพราะพันเอก ประพันธ์ ข้องใจ โดยที่ฝรั่งเขาถือ นายเฉลียวตอบว่า "ไม่ได้ไปหรอก" พันเอก ประพันธ์ ถามว่า "เพราะเหตุใด" นายเฉลียวตอบว่า "คอยดูไปก็แล้วกัน"

พันเอก ประพันธ์ ผู้นี้ เป็นราชองครักษ์ประจำกรมราชองครักษ์มาช้านาน ระหว่างเวลาที่นายปรีดีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็ยังเป็นอยู่ ขณะนั้น นายเฉลียวดำรงตำแหน่งราชเลขานุการในพระองค์ จึงมีความชอบพอกัน เมื่อนายเฉลียว ปทุมรส จะพ้นจากตำแหน่ง พันเอก ประพันธ์ ยังเตือนนายเฉลียวด้วยความหวังดีว่า "ไม่ขึ้นไปเฝ้าทูลลาพระเจ้าอยู่หัวหรือ" นายเฉลียวตอบว่า "ไม่ขึ้นไปละ ทำให้ท่านลำบากใจเปล่า ๆ เดี๋ยวจะหาว่า ขึ้นไปยิงท่านเข้า" ทำให้พันเอก ประพันธ์ รู้สึกในขณะนั้นว่า เคยมีเรื่องที่โคราช นายทหารคนหนึ่งถูกออกแล้วเข้าไปยิงผู้บัญชาการตาย

ความสนิทสนมซึ่งนายเฉลียวแสดงต่อพันเอก ประพันธ์ มีอยู่ต่อกัน เช่น เมื่อพันเอก ประพันธ์ อุปสมบท นายเฉลียวนิมนต์ไปฉันที่บ้าน

นายเฉลียว จำเลย อ้างตนเป็นพยาน ก็ยังรับว่า ได้พูดคุยปรารภกันว่า ในหลวงประชวรลงเช่นนี้ จะเสด็จตามกำหนดหรือไม่ ไม่มีใครพูดว่า วันที่ ๑๓ จะไม่เสด็จ เป็นอันว่า คำของนายเฉลียว จำเลย ก็มีเค้าความว่า ได้พูดจากันในข้อนี้จริง ไม่มีเหตุอันใดที่จะสงสัยว่า พันเอก ประพันธ์ ป้ายร้ายใส่ความ

(ข)วันเดียวกัน ในงานพระราชทานเพลิงศพพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ ตอนบ่าย เจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีไปถึงก่อนในหลวงพระองค์ปัจจุบันเสด็จ นายเฉลียวเรียกเจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีเข้าไปหา นั่งเก้าอี้เคียงกันกับนายเฉลียว พระพิจิตรราชสาสน์นั่งขวาเจ้าหมื่นเจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดี นายเฉลียวถามถึงการทำมาหากินของเจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีในฐานที่ออกจากราชการไปแล้ว คุยกันสัก ๑๕ นาฑี ในหลวงพระองค์ปัจจุบันก็เสด็จถึง เจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีถามขึ้นว่า ทำไมในหลวงจึงไม่เสด็จ ซึ่งหมายถึง ในหลวงรัชกาลที่ ๘ พระพิจิตรฯ ตอบว่า ประชวร เจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีถามว่า ประชวรอะไร พระพิจิตรฯ ตอบว่า เกี่ยวกับพระนาภี ต่อมาอีกสัก ๒ นาฑี นายเฉลียวขึ้นบ้าง ประโยคแรก ๆ จะว่ากระไรฟังไม่ได้ศัพท์ ฟังได้แต่ประโยคท้ายว่า "ไม่ได้กลับ" นายเฉลียวพูดขึ้นเบา ๆ แต่ไม่ใช่กระซิบ เวลาพูดเอียงตัวยื่นปากมาใกล้ ๆ ทางเจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดี ๆ เข้าใจว่า หมายถึง ในหลวงรัชกาลที่ ๘ ไม่ได้กลับไปเมืองนอก ที่เข้าใจเช่นนี้ก็โดยพูดกันถึงในหลวงประชวร จึงเข้าใจว่า ในหลวงคงประชวรหายไม่ทันกำหนดเสด็จกลับเมืองนอก

รุ่งขึ้นเป็นวันสวรรคต เจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีทราบเมื่อเวลาบ่าย ๓ โมงเศษ วันแรกทราบว่า ถูกปืนโดยแอ๊กซิเดนท์ วันหลังได้ยินโจษกันว่า ปลงพระชนม์เองบ้าง ถูกลอบปลงพระชนม์บ้าง ทำให้นึกถึงคำพูดของนายเฉลียวในวันนั้นที่ว่า "ไม่ได้กลับ" ซึ่งเดิมเข้าใจว่า ในหลวงคงหายประชวรไม่ทันจึงไม่ได้กลับ ไฉนมากลายเป็นสวรรคตเสียจึงไม่ได้กลับ เรื่องช่างมาตรงกันเข้า เมื่อเจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีคิดถึงคำพูดของนายเฉลียวแล้วก็คิดสงสัยวกเวียนไปมาและคิดว่า ถ้าในหลวงถูกลอบปลงพระชนม์จริงแล้ว นายเฉลียวคงเกี่ยวข้องรู้เห็นด้วยจึงได้พูดขึ้นเช่นนั้น

วันหนึ่ง เจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีได้ไปพบกับพระยาชาติเดชอุดมในงานบำเพ็ญกุศลพระบรมศพในพระบรมมหาราชวัง ได้เล่าคำพูดของนายเฉลียวที่พูดในวันงานพระราชทานเพลิงศพพระองค์เจ้าอาทิตย์ฯ นั้นให้พระยาชาติเดชอุดมฟัง ซึ่งความข้อนี้ พระยาชาติเดชอุดมก็เบิกความรับรองว่า เป็นความจริง

เห็นว่า ตามที่เจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีเข้าใจความหมายในถ้อยคำของนายเฉลียวตามที่กล่าวมานั้น สมเหตุสมผล ไม่มีทางจะหมายความไปอย่างอื่น เมื่อระลึกว่า นายเฉลียวเคยพูดความข้อนี้แก่พันเอก ประพันธ์ อย่างชัด ๆ ได้แล้ว ทำไมจะพูดแก่เจ้าหมื่นสรรเพ็ชรภักดีเช่นนั้นไม่ได้

การที่นายเฉลียวพูดความข้อนี้ น่าจะเป็นเพราะความกระหยิ่มอิ่มใจและมั่นใจในความสำเร็จ ไม่เห็นมีทางเป็นภัยประการใด

คำที่นายเฉลียวพูดนี้เป็นการยืนยันเหตุการณ์ภายหน้าอย่างแน่ชัด มิใช่เป็นการแสดงความคิดความเห็นโดยอาศัยเหตุใดเหตุหนึ่ง จึงมิอาจตีความเป็นอย่างอื่นไปได้ นอกจากว่า เพราะนายเฉลียวรู้เหตุการณ์แห่งความจริงเรื่องที่พูดนั้น จึงพูดได้ถูกต้องตรงต่อความจริง

เมื่อประมวลเหตุทั้งหลายที่เกี่ยวแก่ตัวนายเฉลียว จำเลย มาวนิจฉัยประกอบกัน ก็จะเห็นได้ถนัดชัดว่า นายเฉลียวได้รู้อยู่แล้วว่า มีผู้คิดจะกระทำการปลงพระชนม์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลฯ หมดโอกาสที่จะเสด็จไปต่างประเทศตามกำหนดนัดหมายนั้นได้ นายเฉลียวช่วยปกปิดไม่เอาความนั้นไปร้องเรียนขึ้น จนมีเหตุบังเกิดการประทุษฐร้ายแก่พระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวถึงแก่กาลสวรรคต

อาศัยคำพยานหลักฐานและเหตุผลทั้งหลายในท้องสำนวนตามที่กล่าวมาแล้วแต่เบื้องต้น ศาลนี้เห็นว่า นายเฉลียว ปทุมรส นายชิต สิงหเสนี และนายบุศย์ ปัทมศริน จำเลยทั้ง ๓ ได้กระทำความผิดจริงดั่งโจทก์ฟ้อง ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

จึงพร้อมกันพิพากษาแก้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่า นายเฉลียว ปทุมรส จำเลย มีความผิดตามกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา ๙๗ ตอน ๒ ให้ลงโทษประหารชีวิต นอกจากที่แก้นี้ คงให้ยืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฎีกาของจำเลย.


  • พระยาเลขวณิชธรรมวิทักษ์

  • พระยาธรรมบัณฑิตสิทธิศฤงฆาร

  • พระดุลยพากย์สุวมัณฑ์

  • พระศิลปสิทธิ์วินิจฉัย

  • พระนาถปริญญา
  • พิทักษ์ คัด
  • ทาน

  • พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ชัยฤทธิ์ อาคาร ๖ ถนนราชดำเนิน
  • นายสมบุญ แย้มกลีบบัว ผู้พิมพ์และผู้โฆษณา พ.ศ. ๒๔๙๘