ประชุมพงศาวดาร/ภาคที่ 18/เรื่องที่ 3

เรื่องทูตานุทูต
ของสมเด็จพระนารายน์ออกไปกรุงฝรั่งเศสครั้งสุดท้าย

ทูตานุทูตฝรั่งเศสที่มาเจริญทางพระราชไมตรีกรุงสยาม กับราชทูตสยาม มีคุณปานเปนต้นนั้น คือ ราชทูตฝรั่งเศส ชื่อ มองสิเออลาลูแปร์ ๑ อุปทูต ชื่อ มองสิเออร์เสเบเร ๑ ครั้นสิ้นราชการงานแล้ว อุปทูตฝรั่งเศสจึงทูลลากลับไปทางเมืองกุยบุรีโดยทางบกจนถึงเมืองมะริด แล้วลงกำปั่นรบฝรั่งเศสที่นั้นกลับไปกรุงฝรั่งเศส แต่ราชทูตฝรั่งเศสนั้นยังรอคอยทูตานุทูตสยามสำรับใหม่ซึ่งจะออกไปกรุงฝรั่งเศสด้วย จึงช้าอยู่หลายเวลา เพราะฉนั้น ราชทูตฝรั่งเศสจึงป่วยไม่สู้สบาย จึงได้ไปขอลาต่อท่านเสนาบดีสยามว่า ขอให้กราบบังคมทูลพระกรุณาด้วยจะรีบกลับไปกรุงฝรั่งเศสโดยเร็ว เสนาบดีสยามได้ขึ้นไปกราบบังคมทูลสมเด็จพระนารายน์ที่ทเลชุบศร กรุงลพบุรี ขณะนั้น สมเด็จพระนารายน์ก็ไม่สู้จะทรงสบายพระองค์ แต่ทรงทราบว่า ราชทูตฝรั่งเศสจะทูลลา จึงเสด็จเข้ามาทรงรับลาราชทูตฝรั่งเศสที่ในพระราชวังกรุงลพบุรี แล้วทรงฝากทูตานุทูตสยามสำรับใหม่ให้เชิญพระราชสาส์น ๒ ฉบับ กับเครื่องมงคลราชบรรณาการ ๒ สำรับ แลบาดหลวงล่ามผู้หนึ่ง ออกไปกับราชทูตฝรั่งเศสครั้งนี้ด้วย เครื่องราชบรรณาการที่ส่งไปกรุงฝรั่งเศสครั้งนี้เปนของวิเศษต่าง ๆ มีลูกช้างอย่างย่อม ๓ ช้าง พระราชทานไปเปนพาหนะพระที่นั่งสำหรับพระราชโอรสพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสทั้ง ๓ พระองค์ กับแรด ๒ แรด เปนต้น พระราชสาส์นถวายพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนั้นดำเนินความต้นว่า พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงเทพทวาราวดีมหานครมหิศราธิปตัยในสยามประเทศเจริญทางพระราชไมตรีมาถึงสมเด็จพระเจ้ากรุงฝรั่งกาแลเนาวะรามหาราชาธิราชในประเทศฝรั่งเศส ความในสุดท้ายมีว่า "เราผู้เปนมิตรสหายอันสุจริตแลเปนที่รักที่สุดของพระองค์ท่าน" แล้วทรงประทับพระราชลัญจกรสำหรับราชการแผ่นดินเปนรูปพระมหาอุณาโลมสถิตย์อยู่ในบุษบกมีฉัตรตั้งเคียงข้างละ ๒ คัน พระราชสาส์นส่งไปแต่พระราชวังกรุงลพบุรีลงณวันเดือนอ้าย ขึ้นสามค่ำ ปีเถาะ นพศก พุทธศักราช ๑๒๓๑ ตรงกับจุลศักราช ๑๐๔๙ ปี ในที่สุดท้ายในพระราชสาส์นนั้นลงชื่อว่า "โฟกอง" คือ (เจ้าพระยาวิชาเยนทร์)

พระราชสาส์นอิกฉบับหนึ่งส่งไปถวายโปปณกรุงโรม ดำเนินความต้นแลลงท้ายคล้าย ๆ กันกับฉบับถวายพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส

สำเนาพระราชสาส์นทั้ง ๒ ฉบับนั้น เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ได้แปลเปนภาษาโปรตุเกศ แลประทับพระราชลัญจกรลงชื่อเจ้าพระยาวิชาเยนทร์เหมือนต้นพระราชสาส์น

ครั้นณวันเดือนอ้าย ขึ้น ๑๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๔๙ ปีเถาะ นพศกนั้น ทูตานุทูตสยาม พร้อมด้วยราชทูตฝรั่งเศสที่รออยู่ ลงกำปั่นรบฝรั่งเศสที่คุณปานกลับมานั้นใช้ใบออกไปจากปากอ่าวสยาม ทูตานุทูตสยามสำรับใหม่นี้สามนาย มีออกขุนชำนาญเปนต้น มีบาดหลวงล่ามคน ๑ ชื่อ ตาชาต มีบุตรขุนนาง ๕ นายซึ่งพระเจ้ากรุงสยามทรงฝากออกไปเรียนหนังสือฝรั่งแลวิชาต่าง ๆ ในโรงเรียนหลวงสำหรับบุตรขุนนางแลบุตรผู้มีตระกูลสูงซึ่งตั้งอยู่ในกรุงฝรั่งเศส ชื่อ โรงเรียนพระเจ้าลูอิสมหาราช นั้น เดิมพระเจ้ากรุงสยามทรงพระราชดำริห์ไว้ว่า จะส่งบุตรขุนนางออกไปเปนนักเรียนณกรุงฝรั่งเศส ๑๒ นาย แต่เลือกคัดจัดส่งไปไม่ทัน ๗ นาย คงส่งไปแต่ ๕ นาย ผลัดเปลี่ยนเวียนกันส่งไปแลกลับเข้ามาเสมอทุกคราวที่ควรจะไปมาได้ ทั้งหวังพระราชหฤไทยว่า ถ้านักเรียนครั้งแรกกลับเข้ามาเล่าการดีให้บิดามารดาฟังแล้ว จะได้ไม่เปนที่หวั่นหวาดแก่บิดามารดาผู้จะยอมให้บุตรออกไปเปนนักเรียนนั้น ชาวสยามซึ่งไปราชการกรุงฝรั่งเศสในครั้งนี้ คือ ทูตานุทูต ๓ นาย นักเรียน ๕ นาย รวมเปน ๘ นาย กับขุนนางพนักงานแลคนใช้สอยตามสมควร

กำปั่นรบที่รับทูตานุทูตสยามใช้ใบไปประมาณ ๒ เดือนเศษจึงถึงน่าแหลมเข็ม ซึ่งกำปั่นรบโปรตุเกศได้มาแตกที่ตรงนี้ เมื่อออกขุนชำนาญได้เห็นแหลมนั้น ก็รฦกถึงการเก่าซึ่งได้มีความลำบากในที่นี้เปนอันมาก

ครั้นถึงณเดือนห้า ขึ้นหกค่ำ ปีมะโรง ยังเปนนพศก เวลาบ่าย ๕ โมง กำปั่นไปถึงอ่าวแหลมเคปออฟกุดโฮป ได้ทอดสมอในที่นั้น พักอยู่ ๑๐ วัน แล้วก็ใช้ใบต่อไป

ถึงณเดือน ๘ ขึ้นสิบห้าค่ำ ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๐๕๐ กำปั่นไปถึงอ่าวเมืองบเรศต์ ทูตานุทูตสยามได้ขึ้นจากกำปั่นรบที่ไปนั้น แล้วเปลี่ยนไปลงกำปั่นรบเล็ก ๆ ลำใหม่ ใช้ใบต่อไปจนถึงเมืองรุเอ็น แล้วขึ้นรถเทียมม้าต่อไปหลายวันจนถึงกรุงปารีศ ได้พักอยู่ที่ตึกรับแขกเมืองหลายวัน คอยว่าเครื่องราชบรรณาการจะไปถึงจึ่งจะเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ ครั้นเครื่องราชบรรณาการซึ่งเจ้าพนักงานฝรั่งเศสขนส่งไปถึงกรุงปารีศแล้ว ทูตานุทูตสยามได้ขอต่อเสนาบดีฝรั่งเศสว่า จะขอเข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศส ๆ หาได้ประทับอยู่ในกรุงปารีศไม่ เสด็จไปประทับแรมอยู่ที่พระราชวังในเมืองฟอนเตนโปล นอกกรุงปารีศ ครั้นพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสได้ทรงทราบว่า ราชทูตสยามมาถึงแล้ว จึงมีรับสั่งกำหนดว่า จะเสด็จออกรับราชทูตสยามที่พระราชวังณเมืองเวอร์ไซล์ เปนที่ทรงพระประพาศนอกกรุงปารีศ ณเดือนอ้าย ขึ้นเจ็ดค่ำ ปีมะโรง สัมฤทธิศก ตรงกับวันที่ ๑๕ เดือนดีแซมเบอร์ คือ เดือนธันวาคมข้างน่านั้น ครั้นได้ทรงทราบว่า ราชทูตสยามจะต้องไปถวายพระราชสาส์นต่อโปปกรุงโรมด้วย จึงมีพระราชดำรัสสั่งเสนาบดีให้มาแจ้งความแก่ราชทูตสยามว่า ถ้าจะรอคอยเฝ้าตามวันกำหนดนั้น ก็จะไม่ทันไปเฝ้าโปปกรุงโรม แลจะไม่ทันฤดูลมที่จะกลับไปกรุงสยามได้ เพราะฉนั้น ให้ทูตานุทูตสยามรีบไปเฝ้าโปปณกรุงโรมก่อน แล้วจึงกลับมากรุงฝรั่งเศส จึงจะได้เข้าเฝ้าพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสพร้อมกัน แล้วจะได้กลับไปกรุงสยามให้ทันฤดูลม

ครั้นทูตานุทูตสยามได้ทราบพระราชดำรัสพระเจ้ากรุงฝรั่งเศสนั้นแล้ว เมื่อถึงวันที่ ๕ เดือนโนเวมเบอร์ คือ เดือนพฤศจิกายนตรง กับเดือน ๑๑ แรม ๑๑ ค่ำในปีนั้น ทูตานุทูตสยามก็ขึ้นรถออกจากกรุงปารีศพร้อมด้วยบาดหลวงล่ามผู้กำกับแลชาวสยามคนใช้ ๒ นายไปจนถึงเมือง (กัน) อันอยู่ชายทเล ได้ลงเรือใบ ๒ ลำซึ่งเสนาบดีผู้ว่าราชการต่างประเทศสั่งให้จัดมารับ ใช้ใบออกจากเมืองนั้นต่อไปจนถึงปากอ่าวเมืองเยนูวา ประเทศอิตาลี พักอยู่ที่นั้นสองสามวัน ก็ใช้ใบเลียบฝั่งต่อไปอิก ได้พักตามหัวเมือง (จิวิตา เวกเกีย) รายทางใน ทเลหลายเมือง ถึงปากอ่าวเมืองชีวิตเวกวียะซึ่งเปนปากอ่าวของกรุงโรม ในวันที่ ๒๐ เดือนธันวาคม ตรงกับเดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ในปีนั้น เรือสองลำได้เข้าไปในลำน้ำวัน ๑ ก็ถึงน่ากรุงโรม ได้ขึ้นรถเล่ม ๑ เทียมม้า ๓ คู่ ซึ่งท่านมหาสังฆราชผู้ว่าราชการต่างประเทศกรุงโรมได้จัดมารับทูตานุทูตสยาม ๆ ได้พักในที่ตึกใหญ่โตระโหฐานเปนที่สำราญมาก ซึ่งท่านมหาสังฆราชจัดไว้รับรอง แลมีการเลี้ยงอย่างบริบูรณ์วันละ ๒ เวลา มีทหารรักษาพระองค์ของโปปมาประจำรักษาประตูที่พักนั้นด้วย

ครั้นถึงวันที่ ๒๓ เดือนธันวาคมในปีนั้น กำหนดวันที่ทูตานุทูตสยามพร้อมกันจะได้เข้าเฝ้าโปปนั้น ฝ่ายโปปได้ทรงทราบว่า ทูตานุทูตสยามถือสาสนาต่างกัน จะมีความรังเกียจในธรรมเนียมที่ต้องจูบพระบาทซึ่งแสดงความนับถือต่อโปปตามจารีตประเพณีของโรมันแต่โบราณสืบมา เพราะฉนั้น จึงโปรดให้ยกเลิกธรรมเนียมที่ราชทูตจะต้องจูบพระบาทนั้นเสีย โปรดให้เข้าเฝ้าตามธรรมเนียมปรกติ มิได้ต้องจูบ

ครั้นถึงเวลากำหนดนั้น ท่านมหาสังฆราชผู้ว่าราชการต่างประเทศจัดให้ขุนนางที่ ๒ ของเสนาบดีคน ๑ กับบาดหลวง ๑ คุมรถที่นั่งของโปป ๒ รถ ไปรับทูตานุทูตสยามตามธรรมเนียมราชทูตใหญ่ฝ่ายเมืองเอกราช รับราชทูตสยามมาในรถ ๆ มาตามถนน มีชาวกรุงโรมมาคอยดูราชทูตสยามตามถนนเปนอันมากเหลือที่จะประมาณ รถทูตานุทูตสยามถึงประตูพระราชวังโปปนั้น มีพลทหารรักษาพระองค์เปนอันมากมายยืนรับสองข้างถนนตั้งแต่ประตูพระราชวังจนถึงในพระราชวัง รถทูตานุทูตสยามเข้าในพระราชวังจนถึงเชิงบันไดท้องพระโรง จึงลงจากรถ ขณะนั้น มหาสังฆราช ชื่อ จีโบ เปนตำแหน่งอรรคมหาเสนาบดีผู้ใหญ่ มายืนคอยรับราชทูตสยามอยู่ที่เชิงบันไดท้องพระโรงด้วย เวลานั้น มีพระสังฆราช แลบาดหลวงผู้ใหญ่ แลข้าราชการฝ่ายฆราวาศเปนอันมาก ยืนอยู่ตามท้องชาลาน่าท้องพระโรง แลสองข้างบนท้องพระโรงเต็มแน่นอัดแอกันไม่มีช่องจะเดินได้ เพราะฉนั้น นายทหารรักษาพระองค์ที่นำน่าราชทูตสยามจึงไล่คนที่ยืนตามบันไดให้หลีกเปนช่องทางให้ราชทูตสยามเดินขึ้นไปได้ ในท้องพระโรงนั้น ราชทูตเชิญพานแว่นฟ้าทองคำรับราชสาส์น ๆ จารึกลงในแผ่นสุพรรณบัตรกว้าง ๖ นิ้ว ยาวศอกเศษ ม้วนบรรจุไว้ในผะอบทองคำลงยาราชาวดีอย่างใหญ่ พระสุพรรณบัตรกับผะอบรวมน้ำหนักประมาณทอง ๒ ชั่ง มีถุงตาดเทศดวงทองหุ้มผะอบ แลมีสายรัดผูกปากถุง มีภู่ทองสองภู่ติดที่ปลายสายรัดด้วย ผะอบนั้นตั้งอยู่ในหีบถมตะทอง ๆ ตั้งอยู่บนพานแว่นฟ้าทองคำ

อุปทูตเชิญเครื่องมงคลราชบรรณาการ มีถุงตาดตาตั๊กกะแตนหุ้มตั้งบนพานทองคำชั้นเดียว ตรีทูตเชิญของถวาย เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ อรรคมหาเสนาบดีกรุงสยาม มีถุงเข้มขาบพื้นเขียวหุ้ม๑ ถุงตั้งบนพานถมตะทองสำหรับถวายโปป ทูตานุทูตสยามทั้ง ๓ นายแต่งกายเต็มยศตามธรรมเนียมสยาม คือ นุ่งยกทองพื้นเขียว สวมเสื้อสักหลาดแดงขลิบทอง คาดเข็มขัดสายทองคำนอกเสื้อ เหน็บกระบี่ฝักแลด้ามทองคำ สวมพอกเกี้ยวกระจังทองคำสูงสามนิ้วปักดอกไม้ไหวเพ็ชร มีสายสร้อยทองคำผูกนอกรัดคาง เหมือนกันทั้ง ๓ นาย เดินเข้าไปในท้องพระโรงพร้อมด้วยบาดหลวงล่ามผู้กำกับไปจากกรุงสยามนั้น ฝ่ายโปปทรงพระนามว่า พระเจ้าอินนอเซนต์ที่ ๑๑ เอกอรรคมหาชนกาธิปตัยในกรุงโรม เสด็จออกประทับบนพระแท่นในท้องพระโรง มีมหาสังฆราชนั่งบนเก้าอี้ต่อน่าพระที่นั่งออกมาสองข้าง ๆ ละ ๔ รูป ราชทูตสยามเชิญพานพระราชสาส์นเดินตรงเข้าไปตั้งไว้บนโต๊ะตรงน่าพระแท่น แล้วเดินถอยหลังออกมาพักนั่งที่เฝ้า ขณะนั้น บาดหลวงล่ามผู้กำกับจึงเดินเข้าไปตรงพระแท่นในน่าท้องพระโรง ก็คุกเข่าลงถวายคำนับครั้งหนึ่ง แลลุกเดินเข้าไปถึงกลางท้องพระโรง ก็คุกเข่าลงถวายคำนับเปนครั้งที่ ๒ แล้วลุกเดินเข้าไปถึงน่าพระแท่น คุกเข่าลงถวายคำนับเปนครั้งที่ ๓ แล้วจึงจูบพระบาทยุคล ฝ่ายโปปจึงโปรดให้บาดหลวงล่ามนั้นยืนขึ้น ๆ แล้วจึงก้มศีศะถวายคำนับ แล้วก็เดินถอยหลังออกมาห่างจากน่าพระแท่น แต่พอถึงที่สุดท้ายเก้าอี้มหาสังฆราชทั้ง ๘ ท่านนั้น จึงถวายคำนับอิกครั้งหนึ่ง แล้วทูลเบิกทูตานุทูตสยามเข้ามาเฝ้า กล่าวด้วยพระราชดำริห์ของสมเด็จพระนารายน์มหาราชเจ้าทรงพระปรารภจะใคร่เจริญทางพระราชไมตรีต่อกรุงโรมเปนข้อต้น แลการที่ทรงพระมหากรุณาทำนุบำรุงบาดหลวงทั้งหลายที่สั่งสอนคฤสตสาสนาอยู่ในกรุงสยามด้วย แลกล่าวการที่เปนมงคลอิกหลายประการ

ฝ่ายโปปจึงตรัสตอบทรงแสดงความชื่นชมยินดีเปนอันมาก บาดหลวงล่ามจึงเชิญพานพระราชสาส์นไปจากโต๊ะนำไปถวายต่อพระหัดถ์โปป โปปทรงรับพระราชสาส์นนั้นแล้วก็ทรงคลี่ออกทอดพระเนตรทราบสิ้นทุกประการ

บัดนี้ จะขอกล่าวข้อความในพระราชสาส์นแต่ย่อ ๆ พอเปนสังเขปใจความว่า "พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยามหาขัติยราช ขอเจริญทางพระราชไมตรีมาถึงสมเด็จพระมหาสังฆราชาธิราชเจ้ากรุงโรม ทรงพระนามว่า โปปอินนอเซนต์ที่ ๑๑ ทรงทราบด้วย ตั้งแต่เราได้ขึ้นครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุทธยามหานครแล้ว ได้มีความปรารภปราถนาจะใคร่ได้รู้จักกับพระเจ้าแผ่นดินใหญ่ทั้งหลายในประเทศยุโรป แลจะได้ผูกพันทางพระราชไมตรีมีพระราชสาส์นไปถึงกันแลกัน เพื่อความประสงค์ของเราจะชักนำสรรพวิทยาคุณในประเทศยุโรปมาทำนุบำรุงกรุงสยามให้เปนความสว่างรุ่งเรืองแก่อาณาประชาชนทั้งปวง ด้วยฝ่ายเรารำพึงอยู่อย่างนี้แล้ว แต่ยังไม่ทันจะแต่งพระราชสาส์นให้ราชทูตออกมายังท่าน (เฮลิโยโปลิส์) ท่านก็ใช้บิชอบออฟเอลิออโปลิสเชิญพระราชสมณสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการส่งเข้ามาถึงก่อน เราได้รับโดยความชื่นชมยินดีเปนอย่างยิ่ง แล้วได้แต่งทูตานุทูตสยามสำรับหนึ่งเชิญพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการของเราออกไปถวายท่านเปนการแสดงความสนองโดยคลองพระราชไมตรีของท่านให้สนิทดุจดังเนื้อสุวรรณธรรมชาติในแผ่นเดียวกัน แต่เรามีความเสียใจเปนอย่างยิ่งที่ทูตานุทูตของเราไปหาถึงท่านไม่ เปนเหตุด้วยกำปั่นแตกที่แหลมเคปออฟกุดโฮป พระราชสาส์นกับเครื่องมงคลราชบรรณาการจมน้ำเสียในกลางทเลทั้งสิ้น ทูตานุทูตของเราที่แต่งไปในครั้งนั้นจึงไปไม่ถึงท่าน เพราะฉนั้น ในกาลบัดนี้เราจึงได้ให้บาดหลวง ชื่อ ตาชาต นำทูตานุทูตสยามเชิญพระราชสาส์นแลเครื่องราชบรรณาการครั้งที่ ๒ ออกมาถวายท่านครั้งนี้ เปนการแสดงความสามัคคีรศที่เราจะใคร่ได้ผูกพันทางพระราชไมตรีสืบเนื่องราชทูตของเราที่เสียไปในครั้งก่อน ทั้งจะได้ทูลท่านให้ทราบว่า เราตั้งหฤไทยจะใคร่ทำนุบำรุงพวกบาดหลวงที่เขามาตั้งสั่งสอนคฤสตสาสนาอยู่ในประเทศสยามแลชนทั้งปวงที่นับถือคฤสตสาสนาด้วย ในข้อนี้ เราขอรับเปนภาระธุระเอง ขอท่านอย่าได้มีความปริวิตกเลย แลเราได้สั่งบาดหลวงตาชาตให้ทูลความต่าง ๆ ในกรุงสยามให้ท่านทรงทราบทุกประการ ขอท่านจงรับเครื่องราชบรรณาการของเราที่มีความยินดีส่งออกไปถวายโดยการแสดงทางพระราชไมตรีอันสนิทเสนหาถาวรชั่วฟ้าแลดิน

อนึ่ง เราขออำนาจสิ่งซึ่งเปนใหญ่เปนประธานในสกลโลกนี้จงโปรดให้ท่านมีพระชนมายาวยืน จะได้ทำนุบำรุงพระสาสนาของท่านโดยช้านาน ให้รุ่งเรืองแผ่ไพศาลทั่วพิภพโลกทั้งปวง ความปราถนาอันสุจริตของเรามีดังนี้เปนต้น

  • เราเปนมิตรที่สัตย์ซื่อของท่าน
  • (ที่ประทับพระราชลัญจกร)
  • (ลงชื่อ โฟกอง คือ เจ้าพระยาวิชาเยนทร์)

พระราชสาส์นส่งมาแต่พระราชวังลพบุรีณเดือนอ้าย ขึ้นสามค่ำ ปีเถาะ นพศก พุทธศักราช ๒๒๓๑"

ครั้นโปปทรงทอดพระเนตรพระราชสาส์นของพระเจ้ากรุงสยามเสร็จแล้ว จึงพระราชทานคืนกลับให้แก่บาดหลวงตาชาต ๆ มอบส่งให้บาดหลวงเจ้าพนักงานกรมวัง ๆ เชิญพระราชสาส์นนั้นไปเก็บไว้ในห้องทรงพระอักษรของโปป แล้วบาดหลวงตาชาตจึงไปรับเครื่องราชบรรณาการสิ่งสำคัญที่อุปทูต แลของถวายออกยาวิชาเยนทร์ที่ตรีทูตนำมาถวายต่อพระหัดถ์โปป ๆ ทรงรับไว้ ราชบรรณาการในถุงที่อุปทูตถือมานั้น คือ หีบทำด้วยลวดทองคำถัก เปนฝีมือช่างชาวสยามอย่างละเอียดงามที่สุด หนักทองสามตำลึง

ของออกยาวิชาเยนทร์ฝากมาถวายนั้น คือ หีบเงินหนักประมาณ ๕ ชั่ง เปนฝีมือช่างชาวยี่ปุ่นทำจำหลักลายกุดั่นเปนรูปนกไม้แลลายต่าง ๆ มีพานเงินรองหีบหนักประมาณ ๕ ชั่ง เปนฝีมือช่างจีนด้วยลวดถักอย่างงามดี

ครั้นโปปทรงรับเครื่องราชบรรณาการแลของถวายแล้ว จึงรับสั่งให้บาดหลวงเรียกทูตานุทูตสยามเข้ามาใกล้พระองค์ ขณะนั้น ทูตานุทูตสยามคลานมาสองสามก้าวก็หยุดถวายบังคม ๓ หนครั้ง ๑ แล้วก็คลานเข้าไปอิกสองสามก้าวก็หยุดถวายบังคม ๓ หนอิกครั้ง ๑ แล้วคลานเข้าไปอิกสองสามก้าวใกล้พระแท่น แล้วจึงถวายบังคม ๓ หนอิก ครั้ง ๑ ในครั้งที่สุดท้ายนั้น ราชทูตถวายบังคมก้มศีศะลงให้ยอดลำพอกจดชายฉลองพระองค์ทั้งสามครั้ง แล้วคลานถอยหลังออกมาห่างพระแท่นถึงท้ายเก้าอี้มหาสังฆราชทั้ง ๘ รูป แล้วอุปทูตตรีทูตก็ผลัดกันคลานเข้าไปทำเช่นราชทูตนั้นทุกคน แล้วจึงคลานออกมาเรียงอยู่ตามลำดับตำแหน่งยศทูตานุทูตในกลางท้องพระโรงนั้น

ฝ่ายบาดหลวงตาชาตจึงเข้าไปคุกเข่าตรงน่าพระแท่น แล้วจึงก้มศีศะลงจูบที่ฉลองพระบาทยุคล แล้วเดินถอยหลังออกมายืนเฝ้าอยู่หลังราชทูตสยามตามเดิม

ในขณะนั้น มหาสังฆราชผู้หนึ่งเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ตรงน่าพระแท่น แล้วจึงปลดพระภูษาที่คล้องพระสอทับนอกฉลองพระองค์นั้นออกแล้ว โปปจึงตรัสพระราชทานพระพรแก่ทูตานุทูตสยามตามธรรมเนียมเสร็จแล้วจึงเสด็จขึ้น

ฝ่ายทูตานุทูตสยามกับบาดหลวงล่ามผู้กำกับพร้อมกันถวายคำนับแล้วเดินออกจากท้องพระโรง แลมหาสังฆราชอรรคมหาเสนาบดี ชื่อ ชิโบ ก็นำทูตานุทูตสยามลงไปยังห้องที่พักแห่งตน เชิญให้นั่งเก้าอี้มีพนัก แล้วจัดการต้อนรับโดยความยินดีเปนอันมากแลสนทนากับทูตสยามตามสมควรแล้ว ทูตานุทูตสยามก็ลาออกจากห้องนั้นมาขึ้นรถพระที่นั่งดังเดิมกลับไปยังที่พักของราชทูต ขณะนั้น ทหารแตรก็เป่าแตรทำเพลงสรรเสริญรับรองราชทูตสยามตามธรรมเนียม

ขณะเมื่อราชทูตานุทูตสยามพักอยู่ในกรุงโรมนั้น ได้ไปเที่ยวชมถิ่นฐานบ้านเมือง แลตึกใหญ่น้อย แลวัดวาอารามทุก ๆ แห่งในจังหวัดกรุงโรม แลได้ไปดูสิ่งของโบราณ มีตึกแลโบถวิหารเปนต้น หลายแห่ง เปนที่พิศวงน่าชมล้วนประหลาดยิ่งนัก

ครั้นถึงวันที่ ๒๔ เดือนธันวาคม ในปีนั้น ซึ่งเปนวันจ่ายตรุษฝรั่ง คือ วันก่อนวันพิธีคฤศตมาศ เปนวันประสูตรพระเยซูเจ้า ทูตานุทูตสยามก็ได้ไปดูพวกบาดหลวงสวดบูชานมัสการพระเปนเจ้าฝ่ายฝรั่งในโบถพระอารามหลวงในพระราชวังของโปป ซึ่งเปนพิธีใหญ่แลเปนการประชุมของมหาชนที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในพระคฤศตสาสนาโรมันกาทอลิกเปนอันมาก

ครั้นวันที่ ๔ เดือนมกราคม คฤศตศักราช ๑๖๘๙ ปี เปนกาลขึ้นปีใหม่ของชาวประเทศยุโรป ตรงกับจุลศักราช ๑๐๕๐ ปีมะโรง สัมฤทธิศก ทูตานุทูตสยามพร้อมด้วยบาดหลวงล่ามผู้กำกับขึ้นรถไปเฝ้าโปปถวายบังคมลาในท้องพระโรงเหมือนเมื่อแรกเฝ้านั้น โปปจึงพระราชทานพระราชสาส์นสนองพระเจ้ากรุงสยามฉบับหนึ่ง พระราชสาส์นนั้นเชิญลงสถิตย์ในหีบทองคำหนาแขงแรงหีบ ๑ แล้วพระราชทานเครื่องราชบรรณาการตอบแทนต่อพระเจ้ากรุงสยาม คือ ประคำทองคำประดับเพ็ชรสายหนึ่ง กับทองคำเหรียญ ๑ น่าหนึ่ง จำหลักเปนพระราชฉายาลักษณของโปป แลมีเพ็ชรใหญ่ ๒ เม็ดราคามากประดับในดวงขอบเหรียญนั้น อิกน่าหนึ่งจำหลักเปนรูปพระวิญญาณ สมมติว่าพระมหากรุณา แลรอบขอบเหรียญนั้นมีอักษรเปนภาษาละติน

"นน เกวริด แกว ซูอา ซูนต์"
แปลก็เปนใจความว่า ไม่ได้ไถ่ถามว่าผู้ใด

อธิบายขยายข้อความว่า "ความกรุณาของพระผู้เปนเจ้ามีแก่สัตว์ทั้งปวงทุกชาติทุกภาษา เมื่อพระผู้เปนเจ้าทรงพระกรุณาแก่สัตว์ทั้งหลายไม่เลือกหน้าเปนสาธารณะพระมหากรุณาแก่ชนทั้งปวงทั่วไป" แล้วพระราชทานประคำทองคำสองสายกับเหรียญทองคำสองเหรียญสำหรับพระราชทานตอบแทนเจ้าพระยาวิชาเยนทร์แลภรรยาเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ด้วย แลพระราชทานเหรียญทองคำแลเหรียญเงินแก่ทูตานุทูตสยามทั้งสามนาย ๆ ละ ๒ เหรียญ คือ เหรียญทองเงินเหมือนกับที่ถวายพระเจ้ากรุงสยาม เว้นแต่ไม่ได้ประดับเพ็ชร์ อนึ่ง พระราชดำรัสสั่งให้พระราชทานเหรียญเงินดังเช่นพระราชทานแก่ราชทูตนั้นให้แจกแก่ชาวสยามที่มาด้วยราชทูตทั่วทุกนาย ๆ ละ ๓ เหรียญ แลทรงพระราชปฏิสัณฐารปราไสแก่ทูตานุทูตสยามตามสมควร แล้วก็เสด็จขึ้น

ครั้นถึงวันที่ ๗ เดือนมกราคม ทูตานุทูตสยามก็ออกจากกรุงโรม มีความยินดีที่โปปทรงรับรองแขงแรงสมแก่เกียรติยศดังนั้น แล้วก็โดยสานลงเรือไปวันหนึ่ง จึงถึงเมืองชีวิตะเวกกิยะ หัวเมืองปากอ่าวชายทเลของกรุงโรม ผู้รักษาเมืองนั้นก็ออกมาต้อนรับพร้อมด้วยกรมการแลพลทหารที่ประจำเมืองทั้งปวง แลกำปั่นของโปปที่ทอดสมอในอ่าวนั้นจึงยิงปืนใหญ่คำนับทูตานุทูตสยามเปนการเอิกเกริกใหญ่ยิ่ง ผู้รักษาเมืองก็พาทูตานุทูตสยามไปพักในจวนเมืองนั้น แล้วจัดการเลี้ยงราชทูตสยามที่บนทำเนียบตามสมควร

รุ่งขึ้น วันอาทิตย์ เปนวันที่ ๙ เดือนมกราคม ทูตานุทูตสยามกับบาดหลวงล่ามผู้กำกับพร้อมกันลงเรือกำปั่นใบชาวเกาะมระตา ใช้ใบไปยังกรุงฝรั่งเศส

(เซ็น)เยรินี
แปลแลเรียบเรียง.