พงศาวดารเหนือ (2474)/พงศาวดาร

สารบาญ
บานแผนก หน้า
เรื่องพระยาสักรดำตั้งจุลศักราช "
เรื่องสร้างเมืองสวรรคโลก "
เรื่องอรุณกุมารเมืองสวรรคโลก "
เรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก " ๑๗
เรื่องสร้างเมืองพิษณุโลก " ๑๙
เรื่องสร้างพระชินสีห์ พระชินราช " ๒๑
เรื่องสร้างเสนาราชนคร " ๒๔
เรื่องพระยากาฬวรรณดิศตั้งเมืองต่าง ๆ " ๒๕
เรื่องที่กัลปนา " ๒๖
ทำเนียบคณะสงฆ์ " ๒๖
เรื่องพระร่วงสุโขทัย " ๒๗
เรื่องพระยาแกรก " ๒๙
เรื่องพระนเรศวรหงษา " ๓๗
เรื่องพระเจ้าสายน้ำผึ้ง " ๔๒
เรื่องพระมาลีเจดีย์ " ๔๗
เรื่องพระยากง " ๕๕
เรื่องพระเจ้าอู่ทอง " ๖๐
เรื่องพระบรมราชาเมืองสวรรคโลก " ๖๙
เรื่องขุนสิงหฬสาคร " ๗๑

ศุภมัสดุ ลุศักราช ๑๒๓๑ สัปสังวัจฉร บุศยมาศ กาฬปักษ์ เอกาทศมีดิถี คุรุวาร ปริเฉทกาลกำหนด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงษ์ วรุตมพงษ์บริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชสังกาศ บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระเจ้าอยู่หัว อันเถลิงถวัลยราชบรมราชาภิเศกผ่านพิภพกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทรมหินทรายุทธยามหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสวริยพิมาน โดยสถานอุตราภิมุข พร้อมด้วยพระบรมราชวงษานุวงษ์แลข้าทูลลอองธุลีพระบาทผู้ใหญ่ผู้น้อยเฝ้าเบื้องบาทบงกชมาศ จึงพระบาทสมเด็จบรมนารถบพิตรพระเจ้าอยู่หัวมีพระบรมราชโองการมานพระบัณฑูรสุรสิงหนาทดำรัสสั่งพระเจ้าราชวรวงษ์เธอ กรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ จางวางกรมพระอาลักษณแลกรมอักษรพิมพ์ ให้จัดหาหนังสือเรื่องพระราชพงษาวดารลำดับกระษัตริย์ในประเทศต่าง ๆ สร้างไว้สำหรับทรงทอดพระเนตร เปนเครื่องประดับพระปัญญาแลสำหรับแผ่นดินสืบไป จึงพระเจ้าราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นอักษรสาสนโสภณ ได้จัดอาลักษณจำลองเรื่องพระราชพงษาวดารลำดับกระษัตริย์ในประเทศต่าง ๆ ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหลายภาษา แลเรื่องพระราชพงษาวดารฝ่ายประเทศสยามนี้ นักปราชแลผู้มีบันดาศักดิได้ฟังได้รู้เรื่องด้วยกันเปนอันมาก ก็กล่าวตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองเปนปฐมกระษัตริย์สร้างกรุงศรีอยุทธยา แล้วลำดับกระษัตริย์เนื่องกันลงมา จนกรุงเสียแก่พม่า แล้วขุนหลวงตากมาสร้างกรุงธนบุรี คือ กรุงอมรรัตนโกสินทรในที่อยู่กันทุกวันนี้ สืบกระษัตริย์กันลงมาจนถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่พระราชพงษาวดารเหนือกล่าวความตั้งแต่สร้างเมืองศรีสัชนาไลยแลเมืองศุโขไทย แล้วสืบกระษัตริย์กันลงมาเป็นอันมาก ก่อนแผ่นดินพระเจ้าอู่ทองขึ้นไปหลายสิบชั่วกระษัตริย์ ยังหาใคร่จะมีผู้ใดได้พบได้อ่านรู้เรื่องทั่วกันไปไม่ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า พระราชพงษาวดารเหนือนั้นก็ได้ตั้งกระษัตริย์ลำดับเนื่องกันลงมาเป็นอันมาก ควรที่นักปราชแลผู้มีบันดาศักดิจะรู้ไว้พอเปนเครื่องประดับปัญญาให้รอบรู้โดยธรรมเนียมที่ประพฤติการแลมีอุบายต่าง ๆ กัน ได้ตีพิมพ์ ณ โรงพิมพ์หลวงในพระบรมมหาราชวัง กล่าวความแต่ต้นดังนี้

พระราชพงศาวดารเหนือ

ศุภมัสดุ พระพุทธศักราช จำเดิมแต่องค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเจ้าเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน พระองค์ประดิษฐานบวรพุทธศาสนา ๕๐๐๐ พรรษา ณ วันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเส็ง สัมฤทธิศก พระพุทธเจ้านิพพาน พระอาจารย์เจ้าตั้งปีมะเมียเป็นเอกศกล่วงแล้ว ๔ เดือน พระยาอชาตศัตรู้ให้ชุมนุมพระอรหันต์ยกปฐมสังคายนายที่หนึ่ง แล้วล่วงไปได้ ๑๐๐ ปีระกา สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑ ปี จึงพระเจ้ากาลาโสกราชตั้งทุติยสังคายนายครั้งหนึ่ง แล้วล่วงไปได้ ๒๑๘ ปีมะแม อัฐศก จุลศักราช ๓๙ ปี จึงพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชตั้งตติยสังคายนายครั้งหนึ่ง แล้วล่วงไปได้ ๒๓๘ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๓ ปี พระมหินทเถรตั้งจตุตถสังคายนายครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธศาสนาล่วง ๔๓๓ ปี พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยในลังกาทวีปชุมนุมพระอรหันต์มากกว่า ๑,๐๐๐ ทำปัญจมสังคายนายยกขึ้นในในลานจารเป็นอักษรลังกา ปีหนึ่งสำเร็จ เมื่อพระพุทธศักราชล่วง ๙๕๖ ปี พระพุทธโฆษณาจารย์ไปแปลธรรมในลังกา แล้วได้อาราธนาพระแก้วมรกฎซึ่งสถิตอยู่เมืองลังกาเข้ามา เรือซัดไปเข้าปากน้ำบันทายมาศ

ศุภมัสดุ พระพุทธศักราช ๓๐๖ ปีกุน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงกษัตริย์เมืองตักกะสิลามหานคร ทรงพระนามชื่อ พระยาสักรดำมหาราชาธิราช ทรงอานุภาพมหิทธิฤทธิ์อันล้ำเลิศกว่ากษัตริย์ทั้งหลาย พระองค์เสวยราชสมบัติ พระองค์ออกยังพระที่นั่งเย็นเป็นที่รโหฐานพิมานจตุรมุขเบื้องอุดรทิศ จึงทรงพระดำริด้วยพระพุทธศาสนาเป็นฝ่ายข้างพระพุทธจักนั้นฝ่ายหนึ่ง จึงมีพระราชโองการสั่งแก่อดีตพราหมณ์ปุโรหิตว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจนสิ้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ ๕๐๐๐ พรรษา ให้ตั้งจุลศักราชไว้สำหรับกรุงกษัตริย์สืบไปเมื่อหน้า จึงให้ตั้ง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรมค่ำหนึ่ง จุลศักราชปีชวด เอกศก เป็นมหาสงกรานต์ไปแล้ว จึงให้ยกขึ้นเป็นจุลศักราชเดือนปีใหม่ ถ้าแลมหาสงกรานต์ยังมิไป ยังเอาเป็นใหม่ไม่ได้ ด้วยดิถีเดือนนั้นยังไม่ครบ ๓๖๐ วัน พระองค์ให้ตั้งพระราชกำหนดจุลศักราชแล้ว พระองค์สวรรคตในปีนั้น เสวยราชสมบัติ ๗๒ ปี จุลศักราชได้ศก ๑

จึงเจ้าฤๅษีสัชนาไลยแลเจ้าฤๅษีสิทธิมงคลทั้งสองพี่น้องมีอายุยืนได้ ๑๐๐ ปี แต่พระชินสีห์ยังดำรงสมบัติจนได้ตรัสแก่สัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์ทั้งหลาย ทสคาเม มีบ้านอันขึ้นแก่นางสารีอันเป็นมารดาพระสาริบุตรเถรเจ้า แลพราหมณ์ทั้ง ๑๐ บ้านย่อมเป็นลูกหลานเจ้าฤๅษีทั้งสอง มีอายุยืนได้ ๓๐๐ ปี สูง ๓ วา อายุได้ ๒๐๐ ปี สูง ๙ ศอก หมู่ชะพ่อชีพราหมณ์กินบวชแลทรงพรต บห่อนจะฆ่าสัตว์ จึงมีอายุยืน ผู้มีเวรจึงพลันตาย ผู้หาเวรมิได้อายุยืน เจ้าฤๅษีสัชนาไลยจึงว่าแก่เจ้าฤๅษีสิทธิมงคลว่า เราจะเข้านิพพานแล้ว เอ็นดูแก่ลูกหลานแห่งเราอันจะสืบไปในอนาคตกาล แล้วก็ให้โอวาทไว้ในพระพุทธศาสนากำกับไสยศาสตรให้ไว้ด้วยกัน แลเจ้าฤๅษีสัชนาไลยจึงให้ลูกหลานอันเป็นผู้เฒ่าผู้แก่กว่าชนทั้งหลาย จึงสั่งสอนว่า สูเจ้าทั้งหลายอันอยู่ทั้ง ๑๐ บ้าน อย่าประมาทลืมตน ทั้งฝั่งน้ำสมุทรก็หมดไปแล้ว เขาจะสร้างบ้านสร้างเมือง จะมีภัยเป็นอันมาก สูท่านจงชวนกันทำกำแพงกันตัว อย่าได้เมามัวแก่ตัณหา สาตราเร่งตกแต่งไว้ ผู้ใดถ้าเป็นใหญ่ให้ครอบครองกัน ชะพ่อชีพราหมณ์ภายหน้าจะเป็นคฤหัสถ์ตัดจุกเกล้า ฆ่าสัตว์ น้ำพิษพืชมูลชมพูจะกลายเป็นเหล้า ชะพ่อชีพราหมณ์จะมาทุกตำบล จะละคำพระทศพล จะเอาคำโทโสโลโภ มักได้ให้ท่านฉิบหาย ปู่จะสั่งเจ้าไว้ สูเจ้าจงเอาพนมเพลิงเข้าไว้ในเมืองเป็นที่สร้างพรตบูชากูณฑ์ ผู้เฒ่าจะสั่งสอน จงทำตามคำ ครั้นเจ้าฤๅษีสั่งสอนลูกหลานแล้ว ก็เหาะขึ้นไปถึงเขาใหญ่ชื่อ ภูเขาหลวง สร้างสมณธรรมภาวนาได้ปัญจมฌานสมบัติขาดจากตัณหาด้วยปัญญาแห่งตน

จึงบาธรรมราชให้หาชะพ่อชีพราหมณ์ทั้งหลายนายบ้านมาพร้อมกัน แล้วจึงปันหน้าที่ให้ชะพ่อชีพราหมณ์กำหนดกฎหมายเกณฑ์หน้าที่ ให้ทำกำแพงหนา ๘ ศอก สูง ๔ วา กว้าง ๕๐ เส้น ยาว ๑๐๐ เส้น จึงบาธรรมราชผู้รู้ฤกษ์พานาทีได้ยินในสำนักเจ้าฤๅษีผู้เป็นปู่ว่า ณ วันพฤหัสบดี เดือนอ้าย ขึ้น ๖ ค่ำ ปีมะโรง โทศก ภายหน้าจะได้ลูกนาคมาเป็นพระยา ตั้งแต่พระพุทธเจ้านิพพานได้ ๕๐๐ ปี พระฤๅษีเจ้าท่านทำนายไว้ ถ้าอัครสาวกแลสมณพราหมณ์ชีมิเป็นธรรมเมื่อใด อกเมืองจะหัก ๗ ภาค หาผู้จะยามิได้ ฝ่ายคฤหัสถ์จะเป็นฝ่ายชี ๆ จะเป็นฝ่ายคฤหัสถ์ รู้นักจะพลันตาย อย่าหมายใจต่างทาง ปู่รำคาญแต่เท่านี้จะมีไปภายหน้า แลมีบาธรรมราชเป็นประธาน ให้ชะพ่อชีพราหมณ์ตัดเอาแลงมาทำเป็นกำแพง มีบาธรรมเป็นผู้ใหญ่ว่า ท่านทั้งหลายย่อมบังคับบัญชากันให้เอาแลงมาทำเป็นแผ่นก่อเป็นกำแพง ถึง ๗ ปีจึงแล้ว บานประตูเป็นพนักงานเมืองใด ทำประตูสกัด ๕๐ เส้น ยาว ๑๐๐ เส้น ทำด้วยปูน สร้างวัดวาอารามกุฎีสถานให้เป็นทานแก่สงฆ์ทั้งหลายอันได้บรรลุโลกุตรธรรมเป็นพระโสดาบันแลสกิทาคามิอนาคามิ แล้วจึงชะพ่อชีพราหมณ์ตั้งวิหารพระอิศวรแลพระนารายณ์เป็นที่ตั้งพิธี ชวนกันอดอาหาร ๗ วัน กินบวช ๗ วัน จึงสระเกล้า จึงขึ้นโล้อัมพวายแก่พระอิศวรเป็นเจ้า อยู่ท่าพระดาบสอันจะมา

แลเจ้าฤๅษีคำนึงถึงตระกูล พอเข้าญานสมาบัติอันเป็นบาทแห่งอภิญญา เหาะมาในอากาศเวหา ก็เข้าถึงพนมภูผา ยังชะพ่อชีพราหมณ์ทั้งหลายก็มาให้บูชา แลบาธรรมราชเป็นประธานจึงถามว่า ข้าแต่ปู่เจ้าทั้งสอง ข้าพเจ้าก่อสร้างเมืองตามคำเจ้ากูบริบูรณ์แล้ว ขอพระนามกรเมืองแก่เจ้ากู แล้วเจ้าฤๅษีสัชนาไลยว่า วันนี้ เราขึ้นไปเยือนพระอินทรถึงสวรรคเทวโลก เราจึงลงมาวันนี้ ก็ให้ชื่อว่า เมืองสวรรคโลก มาจนถึงบัดนี้ แล้วเจ้าฤๅษีสัชนาไลยแลเจ้าฤๅษีสิทธิมงคลให้ประชุมชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลายแล้วก็ว่า ผู้ใดจะสมควรแก่เมืองนี้ พราหมณ์ก็ว่า แต่บาธรรมราชเป็นผู้เฒ่าผู้แก่กว่าตูข้าทั้งหลาย แลฤๅษีว่า ในแผ่นดินนี้จะเป็นพระยามี ๓ ตระกูล คือ กษัตริย์ แลเศรษฐี แลพราหมณ์ ประเสริฐในแผ่นดินนี้ แลเจ้าฤๅษีจึงตั้งบาธรรมราชให้เป็นพระยาชื่อ พระยาธรรมราชา จึงตั้งนางท้าวเทวีอันเป็นหลานสาวแห่งนางโมคคัลลีบุตรนายบ้านหริภุญไชยมาเป็นอัครมเหสีอยู่ในราชวังแล้ว แลเจ้าฤๅษีจึงได้คิดว่า ธาตุแลกระดูกนิ้วซ้ายตูหากไปเอามาเมื่อพระเจ้านิพพาน ตูก็เอามากับพระธาตุอันพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชแจกไว้ ยังฝังอยู่ที่ใต้ต้นไม้รัง มีแร้งตัวเมียหากอยู่เฝ้ารักษา แลท่านจงเอามาประดิษฐานไว้เถิด ครั้นเจ้าฤๅษีสั่งสอนลูกหลานแล้ว ก็เหาะไปในอากาศเวหาถึงภูผาหลวง ได้ ๗ วันก็นิพพาน

แลพระยาธรรมราชาเจ้าจึงให้หาชะพ่อชีพราหมณ์ชุมนุมกันพิภาษ เอาพระธาตุพระพุทธเจ้าขึ้นมาบรรจุไว้ในเมือง จึงให้ช่างก่อที่บรรจุพระธาตุ จึงให้บาพิศณุคนหนึ่ง บาชีพิศคนหนึ่ง บาฤทธิรจนาคนหนึ่ง บาอินท์คนหนึ่ง บาพรหมคนหนึ่ง บาทั้ง ๕ คนนี้ย่อมเป็นช่างคิดอ่านด้วยกันว่า เราทำให้ดูงามดูหลากกว่าช่างทั้งหลายในแผ่นดินนี้ ครั้นคิดด้วยกันแล้ว จึงให้ตัดเอาแลงมาทำเป็นแผ่นยาว ๓ ศอก กว้างศอก ๑ ยาว ๕ ศอก กว้าง ๒ ศอก ทำเป็นบัวหงาย แลหน้ากระดาน แลชานทรงมัน ให้งาม จึงขุดเป็นสระกรุด้วยแลงทำด้วยปูน จึงตั้งฐานชั้นหนึ่ง แลสมเด็จพระเจ้าธรรมราชาธิราชเสด็จไปด้วยชะพ่อชีพราหมณ์ทั้งหลายถึงต้นไม้รังซึ่งแร้งทำรังนั้น แล้วจึงขุดเอาผอบแก้วใหญ่ ๕ กำใส่พระธาตุนั้นขึ้นมา จึงบูชานมัสการด้วยดอกไม้ธูปเทียน แล้วเชิญพระธาตุมาถึงเมือง แล้วพระธรรมราชาเจ้าจึงป่าวร้องแก่คนทั้งหลายผู้ศรัทธา ก็เอาทองมาประมวลกันได้ ๒,๕๐๐ ตำลึงทอง ให้ช่างตีเป็นสำเภาเภตรา จึงใส่พระธาตุพระพุทธเจ้าลอยอยู่ในน้ำบ่อ จึงก่อเป็นพระธาตุเจดีย์สวมขึ้น ปีหนึ่งจึงแล้วแต่องค์ ยอดยังไม่มี แลพระสงฆ์เจ้าทั้งหลายจึงนมัสการ อันว่าชะพ่อชีพรามหณ์ทั้งหลายอันอยู่ในปัญจมัชฌคามอันเป็นหลานเหลนแห่งนางโมคคัลลีอันเป็นพระมารดาพระโมคคัลลาน์ แลนางสารีเป็นพระมารดาพระสาริบุตรอันอยู่ในปัญจมัชฌคาม ก็กลายมาเป็นเมืองสวรรคโลก แลพระธาตุพระสาริบุตรเจ้าก็บรรจุไว้ในเจดีย์พระธาตุข้างเหนือ แลธาตุพระโมคคัลลาน์เจ้าก็บรรจุไว้ในบ้านนางโมคคัลลี แลนางทั้งสองนี้ก็เป็นญาติแก่กัน แลบ้านอุตรคามินีเดิมแต่ล้วนชะพ่อชีพราหมณ์ไปค้าขายแก่กันกินบวชถือศีลด้วยกัน แลเจ้าธรรมกุมารลูกพระธรรมราชาแลเจ้าอุโลกกุมารเป็นเจ้าภิกษุทรงไตรปิฎก แลออกจากพระศาสนาพระบิดามารดาแลเผ่าพันธุ์ให้เป็นพระยา จะได้ช่วยป้องกันอันตรายศัตรูอันจะมาแต่ทิศต่าง ๆ ครั้นคิดแล้วจึงให้พระสาส์นนั้นไปแก่ชาวบ้านปัญจมัชฌคาม ให้ทำกำแพงล้อมบ้านให้รอบคอบแล้ว ให้ตั้งเรือนหลวงแล้ว จึงให้มารับเอาเจ้าอุโลกกุมารราชาภิเษกให้เป็นพระยาศรีธรรมาโสกราชในเมืองหริภุญไชยด้วยนางพราหมณี แล้วให้ชาวบ้านอุตรคามทำกำแพงล้อมบ้านให้มั่นคง แล้วจึงชะพ่อชีพราหมณ์ผู้ใหญ่มารับเอาธรรมกุมารไปราชาภิเษกด้วยนางพราหมณี ก็ได้ชื่อว่า กัมโพชนคร คือ เมืองทุ่งยั้ง แลให้สาส์นนั้นไปถึงบ้านบุรพคาม ตกแต่งกำแพงแลคู ให้ทำพระราชวังให้บริบูรณ์ แล้วจึงให้ชะพ่อชีพราหมณ์ผู้ใหญ่มารับเอาเจ้าสีหกุมารไปราชาภิเษกด้วยนางพราหมณีนั้น จึงให้ชื่อ เมืองบริบูรณ์นคร อันว่าเมืองทั้ง ๔ เมืองนี้ก็เป็นกษัตริย์ซื่อตรงต่อกัน แล้วจะได้มีใจโลภแก่ราชสมบัติหามิได้ ต่างกันต่างก็อยู่ ครั้นถึงเทศกาล ก็ถวายบังคมลาแล้วก็ไป แลจะได้มีใจชังแลมีจิตริษยาแก่กันหามิได้ แต่กษัตริย์สืบ ๆ กันมาได้ ๓ ชั่วตระกูล

พระพุทธศักราชได้ ๕๐๐ ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช ๘๖ ปีกุน พระยาอภัยคามินีศีลาจารย์บริสุทธิ์อยู่ในเมืองหริภุญไชยนครย่อมออกไปจำศีลอยู่ในเขาใหญ่ จึงร้อนถึงอาสน์นางนาคอยู่มิได้ ก็ขึ้นมาในภูเขาใหญ่นั้น ก็มาพบพระยาอยู่จำศีล เธอก็มาเสพเมถุนด้วยนางนาค ๆ อยู่ได้ ๗ วันแล้วจะลาไป พระยาจึงให้ผ้ารัตตกัมพลแลพระธำมรงค์ไปแก่นางนาคให้ชมต่างพระองค์ นางนาคก็กลับลงไป พระยาก็เข้ามาเมืองดังเก่า แลนางนาคก็มีครรภ์แก่ แลนางนาคก็ว่า ลูกตูนี้มิใช่เป็นไข่ แลจะเป็นมนุษย์ทีเดียว แลจะคลอดในเมืองนี้มิได้ แล้วจึงขึ้นมาถึงภูเขาที่อาสน์แห่งพระยานั้น ก็ประสูติกุมาร ผ้าแลแหวนนั้นนางก็ไว้แก่ลูกตน แล้วก็หนีลงไปเมืองนาค

แลมีพรานพเนจรคนหนึ่งออกไปหาเนื้อในป่า ได้ยินเสียงกุมารร้องไห้ แลพรานเข้าไปก็เห็นกุมาร แล้วพรานก็สัญญาว่า ลูกท้าวหลานพระยา แลเห็นตูมากลัวตู แลซัดลูกเสีย พรานจึงเอากุมารนั้นไปให้ภรรยาตนเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม

แลสมเด็จพระเจ้าอภัยคามินีราชใช้ให้เสนาอำมาตย์สร้างพระมหาปราสาท จึงให้เกณฑ์เอาชาวบ้านมาถากไม้ตั้งเสาพระมหาปราสาท แลพรานนั้นก็ต้องเกณฑ์มาถากไม้ จึงเอากุมารนั้นเข้ามาไว้ด้วย แลร้อนด้วยรัศมีพระอาทิตย์ พรานนั้นจึงเอากุมารนั้นเข้ามาไว้ในร่มพระมหาปราสาท ๆ ก็โอนไปเป็นหลายที พระยาเห็นก็หลากพระทัย จึงให้เอาพรานนั้นเข้ามาถามดู แลพรานจะพรางมิได้ ก็บอกว่า ลูกเขาซัดเสียในป่า แลข้าพเจ้าเอามาเลี้ยงไว้เป็นลูก พระยาจึงถามว่า มีอันใดอยู่ด้วยกุมารนั้นบ้าง จึงกราบทูลว่า มีแหวนแลผ้าอยู่ด้วยกัน แลพระยาจึงให้พรานเอามาดูก็รู้ว่า เป็นราชบุตรแห่งตน พระองค์จึงให้รางวัลแก่พรานนั้น แล้วพระองค์จึงให้หาชะแม่นมรับเอากุมารนั้นมาเลี้ยงไว้ แล้วพระองค์ให้ชื่อกุมารนั้นว่า เจ้าอรุณราชกุมาร

แล้วยังมีกุมารผู้หนึ่งอันเกิดร่วมชาติมนุษย์ด้วยนางอัครมเหสีชื่อว่า เจ้าฤทธิกุมาร เป็นน้องเจ้าอรุณราชกุมาร แลเจ้าพี่น้องทั้งสองร่วมใจกัน แลเจ้าอรุณราชกุมารได้พุทธทำนายพระพุทธเจ้าเมื่อไปฉันเพลนอกบ้านปัญจมัชฌคาม แลพระยาอภัยคามินีมาคิดแต่ในพระทัยว่า เมืองใดจะสมควรแก่ลูกแห่งกูนี้ จึงเห็นแต่เมืองสัชนาไลยยังแต่พระราชธิดาแลพระราชบุตรหามิได้ แลพระยาอภัยคามินีจึงเอาเจ้าอรุณราชกุมารเป็นพระยาในเมืองสัชนาไลย ก็ได้นามชื่อ พระยาร่วง แลพระองค์จึงให้สร้างพระวิหารทั้ง ๕ ทิศ สร้างพระจำลองไว้แทนพระองค์ติดพระมหาธาตุแลพระระเบียงทั้ง ๒ ชั้นแล้ว เอาแลงทำเป็นค่ายแลเสาโคมรอบพระวิหาร แลพระองค์ก็ให้หาช่างทองมาทุกบ้านทุกเมือง จึงให้เอาทองแดงมาทำเป็นลำพระขรรค์ยาว ๘๘ ศอกกึ่ง ต้น ๕ ศอกกึ่ง ปลาย ๓ ศอก แลแก้วใส่ยอด ๑๕ ใบ แลบัลลังก์แท่นรองยอดใหญ่ ๙ กำ ตระกูลทองดี ๑๐ ชั้น แลหุ้มทองแดง ขลิบขนุน ลงมาถึงตีนคูหา แลสร้างอุโบสถให้เป็นทานแก่พระสงฆเจ้า แลให้สร้างที่ต้นรังพระธาตุเป็นวิหารแลพระเจดีย์ จึงให้ชื่อว่า วัดเขารังแร้ง แลพระเจ้าอรุณราช คือ พระยาร่วง นั้น แลท้าวพระยาประเทศเมืองใด ๆ จะทนทานอานุภาพพระองค์ก็หามิได้ มาถวายบังคมทั่วสกลชมพูทวีป เพราะพระองค์ต้องพุทธทำนายพระพุทธเจ้า แลอายุพระองค์เจ้าได้ ๕๐ ปี พอคำรบพระพุทธศักราชได้ ๑๐๐๐ ปี จุลศักราช ๑๑๙ ปีมะโรง นพศก จึงคนอันเป็นใหญ่กว่าทั้งหลายนำเอาช้างเผือกงาดำกับเขี้ยวงูมาถวายแก่พระองค์ ด้วยบุญที่พระองค์ทำหุ่นช้างใส่ดอกไม้ถวายแก่พระพุทธเจ้าแต่ชาติก่อน แลเมื่อพระองค์จะลบศักราชพระพุทธเจ้า จึงให้นิมนต์พระอชิตเถร แลพระอุปคุตเถร แลพระมหาเถรไลยลาย คือ พราหมณ์เป็นเชื้อมาแต่พระรามเทพ แลพระอรหันต์เจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์ ทั้งพระพุทธโฆษาจารย์วัดรังแร้ง แลชุมนุมพระสงฆเจ้าทั้งหลาย ณ วัดโคกสิงคารามกลางเมืองสัชนาไลย แลท้าวพระยาในชมพูทวีป คือ ไทย แลลาว มอญ จีน พม่า ลังกา พราหมณ์เทศเพศต่าง พระองค์เจ้าให้ทำหนังสือไทยเฉียง มอญ พม่า ไทย แลขอมเฉียงขอมมีมาแต่นั้น

พระยาร่วงมีพระราชโองการตรัสแก่เจ้าฤทธิกุมารว่า พระยากรุงจีนเหตุใดจึงมิมาช่วยลบศักราช มาเราพี่น้องจะไปเอาพระยากรุงจีนมาเป็นข้าเราให้ได้ ครั้นพระยาทั้งสองพี่น้องคิดด้วยกันแล้ว จึงบังคับอำมาตย์ทั้งหลายให้แต่งเรือลำหนึ่งยาว ๘ วา ปากกว้าง ๔ ศอก ครั้นได้ฤกษ์วันอาทิตย์ เสด็จออกไปด้วยกำลังน้ำ แลอันเป็นชาติแห่งนางช้างวลาหกเทวบุตร แลนอกนั้นเทวบุตรไปด้วย พระองค์ทั้งสองมีแต่พระขรรค์ธนูศิลป์ ทั้งพระภูมิ์แลพระพายเจ้าก็พัดพาไป แลนางเมขลาเจ้าสมุทรก็ยินดีรักษามิให้เป็นอันตราย แลไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงกรุงจีน แลวันเมื่อไปถึงนั้น บังเกิดเป็นอัศจรรย์ให้เป็นหมอกตกมิให้เห็นพระจันทร์พระอาทิตย์ แลจีนทั้งหลายให้ขนลุกหนังหัวพองทั้งเมือง สะท้านสะเทือนหวั่นไหวนักหนา แลพระยากรุงจีนจึงให้หาเสนาอำมาตย์มาชุมนุมในท้องพระโรงแลพิพากษาด้วยกัน แล้วจึงใช้ให้ขุนแก้วการจีนพิจารณาดูให้ท้องมหาสมุทร แลขุนแก้วการจีนไปข้างใต้ข้างเหนือ มิได้เห็นสำเภาลำหนึ่งในท้องทะเลมิได้ แลเห็นแต่เรือน้อยลำหนึ่งมีไทย ๒ คนขี่ลอยมา แลขุนแก้วการจีนได้เห็นแล้วจึงกลับไปทูลพระเจ้ากรุงจีน ๆ ก็รู้ในพระทัยแห่งพระองค์ ด้วยมีพระพุทธทำนายไว้แต่ก่อนอยู่ในเมืองแห่งกูว่า มีไทย ๒ คนพี่น้องจะข้ามทะเลมาแสวงหาเมีย แลชายผู้หนึ่งจะเป็นเจ้าแก่ชาวชมพูทวีป แลจะลบศักราชพระพุทธเจ้า แล้วแลมาถึงกูนี้เที่ยงแท้แล้ว ครั้นพระยากรุงจีนรู้ในพระทัยแล้ว จึงใช้พลจีนออกมารับพระองค์ขึ้นมาถึงเรือนหลวง แล้วจึงให้นั่งบนแท่นแก้ว แลพระยากรุงจีนจึงถวายบังคมแล้วจึงชวนเจรจา แลพระยาร่วงก็ทรงภาษาได้ทุกประการ แลพระเจ้ากรุงจีนจึงนำเอาพระราชธิดามาถวายให้เป็นพระอัครมเหสี ด้วยเหตุว่านางนั้นได้ทำบุญไว้ด้วยพระองค์แต่ชาติก่อนมา ได้สร้างพระไตรปิฎกทั้งสามไว้ในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้ากกุสนธ์ แลเมื่อพระพุทธเจ้าเราไปนั่งฉันจังหันในบ้านปัญจมัชฌคาม เป็นนาคให้น้ำเป็นทานแก่พระพุทธเจ้าเรา ๆ ก็ทำนายไว้ว่า นาคนี้จะได้ลบศักราชพระตถาคตเมื่อถ้วน ๑๐๐๐ ปี ได้แก่พระยาร่วงเจ้านี้ แลพระยากรุงจีนก็รู้ทุกประการ จึงตามพระทัยพระยาร่วงทุกประการ อันจะขัดนั้นมิได้ จึงให้นางราชกัลยาณีแก่พระองค์เจ้า แลพระยากรุงจีนใช้ให้อำมาตย์แต่งสำเภาเภตราลำหนึ่งกับเครื่องบรรณาการ แลพระเจ้ากรุงจีนจึงผ่าตรามังกรออกเป็น ๒ ภาค แลข้างหางให้มาแก่พระราชธิดา ถ้าแลเมื่อหน้าไป จะมีราชสาส์นถึงกันแล้ว ให้เอาตราประกับกันดู ถ้าแลเป็นดวงเดียวกัน จึงสันทัดว่า ราชสาส์นพระราชธิดา พระเจ้าร่วงจึงมาสู่สำเภากับด้วยนางพสุจเทวี แลเจ้าฤทธิราชกุมาร แลฝูงจีนทั้งหลาย ๕๐๐ เป็นบริวาร ใช้สำนักไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงด้วยอานุภาพแห่งเทพยดา ครั้นถึงเมืองสัชนาไลยแล้ว ขณะนั้น น้ำทะเลขึ้นมาถึงเมืองสัชยนาไลย จึงใช้สำเภาไปมาหากันได้ พระองค์เสด็จขึ้นถึงเรือนหลวงแห่งพระองค์เจ้า แล้วแลท้าวพระยาทั้งหลายกราบถวายบังคม แลจีนทั้งหลายก็ทำถ้วยชามถวาย จึงมีเกิด ถ้วยชามแต่นั้นมา ท้าวไททั้งสองก็อยู่เย็นเป็นสุข ตั้งแต่ทำบุญให้ทานรักษาศีลแลถือความสัจอยู่มิให้พลาดพลั้ง จึงมีตบเดชะ ว่าสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้นทุกอัน แลพระองค์ก็จึงให้เอาพสุจกุมารผู้เป็นน้องตั้งพระราชวังอยู่นอกเมือง แลเจ้าพสุจกุมาร เจ้าฤทธิกุมาร เป็นอันรักใคร่กันเป็นอันนักหนา มิได้ฉันทาโทษาแก่กัน ไปมาด้วยกัน เข้าไปถวายบังคมด้วยกันมิได้ขาดในพระราชวัง

แลเมืองพิไชยเชียงใหม่มีแต่พระราชธิดาแลหาพระราชบุตรมิได้ แต่อำมาตย์เมืองพิไชยเชียงใหม่จึงกราบทูลขอพระราชทานเจ้าฤทธิกุมารจะให้เสวยราชสมบัติสืบตระกูลมิให้ขาดเสียได้ แลสมเด็จพระอรุณราชจึงพระราชทานเจ้าฤทธิกุมารผู้เป็นน้องเสด็จขึ้นไปด้วยกัน แลให้เจ้าพสุจกุมารอยู่รักษาเมืองกับนางพสุจเทวี พระองค์ทรงช้างเผือกงาดำมีฤทธิ์ยิ่งนักหนา กับด้วยอำมาตย์เสนาเสด็จประพาสตีนพนมใหญ่กึ่งกลางหน แลจึงเจ้าฤทธิกุมารผู้น้องผันหน้าช้างเข้าต่อกัน แล้วพระองค์จึงจับเอาคนทีทองเต็มไปด้วยน้ำ ทรงอธิษฐานให้เป็นแว่นแคว้นแห่งเจ้าแต่วันนี้ไป พระองค์จึงทรงเทน้ำในคนทีทองลงไปเป็นสำคัญ แล้วจึงเอาตะปูทองแดงใหญ่ ๓ กำ ๓ วา ๓ ตัว ปักไว้เป็นประธาน ครั้นพระองค์ปักแดนไว้ให้แล้ว ก็เสด็จขึ้นถึงเมือง แล้วนางมลิกาลูกเจ้าเมืองเชียงใหม่มาต้อนรับเสด็จเข้าไปในเรือนหลวง แล้วท้าวพระยาอำมาตย์เสนาทั้งหลายก็กราบตีนพนมใหญ่กึ่งกลางหน แลจึงเจ้าฤทธิกุมารผู้น้องผันหน้าช้างเจ้าต่อกัน แล้วพระองค์จึงจับเอาคนทีทองเต็มไปด้วยน้ำทรงอธิษฐานให้เป็นแดนแว่นแคว้นแห่งเจ้าแต่วันนี้ไป พระองค์จึงทรงเทน้ำในคนทีทองลงไปเป็นสำคัญ แล้วจึงเอาตะปูทองแดงใหญ่ ๓ กำ ๓ วา ๓ ตัวปักไว้เป็นประธาน ครั้นพระองค์ปักแดนไว้ให้แล้วก็เสด็จขึ้นถึงเมือง แล้วนางมลิกาลูกเจ้าเมืองเชียงใหม่มาต้อนรับเสด็จเข้าไปในเรือนหลวง แล้วท้าวพระยาอำมาตย์เสนาทั้งหลายก็กราบถวายบังคมแก่พระองค์เจ้าแล้ว

แลขณะนั้น พระอรหันต์เจ้านับได้เป็นหลายพระองค์แลพระมหากษัตริย์เจ้าจึงให้ไปว่า นางมลิกาเทวีผู้นี้เป็นไฉน อำมาตย์จึงให้ไปถามพระอรหันต์เจ้า ๆ จึงเล็กด้วยทิพยจักษุรู้แล้วจึงบอกแก่อำมาตย์ว่า อุบาสิกาเขาได้ให้ทานข้าวบิณฑบาตอันรายไปด้วยดอกมะลิแลทานเชื่อเองแล้ว อำมาตย์จึงไปทูลแก่พระองค์ ก็ชื่นชมยินดีนักหนา จึงราชาภิเษกเจ้าฤทธิกุมารให้เป็นพระยาลือกับด้วยนางมลิกาเทวี เมืองพิไชยเชียงใหม่จึงคิดกตัญญูแต่นั้นมา แลลาวผู้หญิงจึงสู่ขอเอาผัวเป็นจารีตสืบมา แลพระยาร่วงจึงกลับคืนลงมาเมืองพระองค์ดังเก่า

แลพระยาร่วง ขณะนั้น คะนองนัก มักเล่นเบี้ยแลเล่นว่าว ไม่ถือตัวว่าเป็นท้าวเป็นพระยา เสด็จไปในก็ไปคนหนึ่งคนเดียว แลพระองค์เจ้าก็รู้ทั้งบังเหลื่อมรู้จักไตรเพททุกประการ ว่าให้ตายก็ตายเอง ว่าให้เป็นก็เป็นเอง อันหนึ่ง ขอมผุดขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นหินแลง แลขอมก็ขึ้นไม่ได้ ด้วยวาจาสัจแห่งพระองค์ ๆ ได้ทำบุญแต่ชาติก่อนมา แลเดชะแก้วอุทกประสาทพระยากรุงจีนหากให้มาแก่พระองค์ ๆ จะไปได้ ๗ วันน้ำมิเสวยก็ได้

ในกาลวันหนึ่ง พระองค์ก็ทรงว่าวคว้าลงขาดลอยไปถึงเมืองตองอู แลพระยาตองอูนั้นเป็นข้าพระร่วงเจ้า แต่ก่อนชื่อ นายอู ไปคล้องลิงเผือกให้แล้วจึงเอาบ้านเมือง ด้วยเดชะคล้องลิงเผือกอันเป็นทิพย์จึงได้เป็นพระยานั้น แลว่าวพระยาร่วงเจ้าขาดลอยไปตกอยู่บนปราสาท พระยาร่วงเจ้าตามไปถึงเมืองตองอู แลพระยาร่วงเจ้านั่งอยู่ในบรรณศาลานอกเมือง ครั้นค่ำ พระองค์ก็ลอบเข้าไปทำชู้ด้วยธิดาพระตองอูอยู่ในปราสาทอันแล้วไปด้วยเหล็กดาดลงมาทุกชั้น แต่เมื่อพระร่วงเจ้าเจ้าจะขึ้นเอาว่าวนั้น พระองค์เจ้าให้พระยาตองอูยืนขึ้น พระองค์ก็เหยียบบ่าพระยาตองอูขึ้นเอาว่าว ครั้นเอื้อมหยิบมิถึงพระหัตถ์ พระองค์ก็เหยียบศีรษะขึ้นเอาว่าว ด้วยพระองค์คิดว่า เป็นข้า มิได้ถือความ แลพระองค์เอาว่าวได้แล้ว พระองค์ก็หนีมา แลลูกสาวจึงบอกแก่พระยาตองอูผู้บิดา ๆ จึงรู้ จึงให้ไปตามเอาตัวพระองค์คืนมาแลสาวไส้พระองค์ออกใส่พานทองไว้ จึงส่งตัวพระองค์มาจากเมือง แลพระองค์ก็ไม่รู้ว่า เขาเอาไส้ไว้ ด้วยกรรมที่พระองค์เป็นกาแลพระยาตองอูเป็นปลา แลกาลากไส้ออกไว้จะกินก็บมิกิน แต่นั้นมา ลาวมักเป็นผีกินไส้กินพุงคนทั้งหลาย ครั้นพระร่วงเจ้ามาถึงเมืองสัชนาไลย แลมายังพระอัครมเหสีพระสนมทั้งหลาย ถวายบังคมแล้วก็เปลื้องอาภรณ์ออกจากพระองค์ไว้แล้ว แลเจ้าพสุจกุมารก็เข้าไปถวายบังคม จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งเจ้าพสุจกุมารว่า กูจะไปอาบน้ำ มิเห็นกูมา เจ้าเป็นพระยาแทนพี่เถิด แลเจ้าพสุจกุมารก็ไม่รู้แลสำคัญว่า ๆ เล่น ครั้นพระองค์ลงไปอาบน้ำที่กลางแก่งเมือง ก็อันตรธานหายไปไม่ปรากฏ ในพุทธศักราช ๑๒๐๐ พระยาร่วงสิ้นทิวงคต จุลศักราช ๑๕๗ ปีชวด สัปตศก

เสนาอำมาตย์ท้าวพระยาทั้งหลายก็ร้องไห้ร่ำไรไปมา ทั้งพระสนมชาวแม่ทั้งหลายเป็นทุกข์นักหนา แลเจ้าพสุจกุมารจึงให้ราชทูตถือข่าวสาส์นขึ้นไปทูลพระยาลือกุมารราชนครเมืองพิไชยเชียงใหม่ผู้เป็นน้องพระองค์ พระยาลือรู้แล้วจึงลงมาราชาภิเษกเจ้าพสุจกุมารให้เป็นพระยาในเมืองสัชนาไลยแล้ว ครั้นพระร่วงเจ้าทิวงคตวันหนึ่งแล้ว ช้างอันเกิดร่วมชาตินั้นก็ตายคนละวัน แลพระยาลือกุมารขึ้นไปเมืองพิไชยเชียงใหม่ดังเก่า

แลมีเสนาคนหนึ่งชื่อ ไตรภพนารถ คิดอ่านราชการณรงค์สงครามรอบคอบนัก จึงทูลแก่พระยาพสุจราชว่า เมืองเรานี้พระเจ้าข้าหาผู้มีบุญมิได้แล้ว แลอันตรายจะบังเกิดมีไปเมื่อภายหน้า ขอพระองค์ให้แต่งกำแพงแลหอรบไว้ให้มั่นคง แล้วจึงมีพระราชโองการตรัสสั่ง ขุนไตรภพนารถรับพระราชโองการตรัสสั่งแล้ว จึงให้เสนาอำมาตย์ซ้ายขวาแลตำรวจนอกในไพร่พลโยธาทั้งหลายให้ย่อกำแพงเข้าไปเป็นป้อมให้รอบเมือง แลให้ย่อชาลาถมไว้ แลที่ถมนั้นให้ไว้ปืนใหญ่ทุกแห่งทุกตำบลแลค่ายชั้นในแลค่ายชั้นนอก แลตั้งค่ายเชิงเรียงพนมแห่งหนึ่ง พนมหัวช้างแห่งหนึ่ง พนมบ่อนเบี้ยแห่งหนึ่ง แลให้แต่งพระนครราชธานี แล้วตั้งป้อมแลช่องปืนใหญ่ แล้วให้ตกแต่งหัวเมืองเอก ๕ หัวเมือง เมืองโท ๘ หัวเมือง แต่งสรรพยุทธทั้งปวงไว้สำหรับต่อสู้ข้าศึก แล้วให้แต่งคนเร็วม้าใช้แล่นหากันจงฉับพลันทุกหน้าด่าน

แล้วให้กำหนดกฎหมายไว้ทุกหน้าด่าน แล้วให้กำหนดกฎหมายไปถึงเมืองกัมโพชนคร ให้กำหนดกฎหมายสืบ ๆ กันไปถึงเมืองคิรี เมืองสวางคบุรี เมืองยางคิรี นครคิรี เมืองขอนคิรี แลเมืองเหล็ก เมืองสิงเทา เมืองทั้งนี้ขึ้นแก่เมืองกัมโพชนคร ท้าวพระยาตกแต่งบ้านเมืองทุกแห่ง แลเมืองพิบูลย์นคร อันขึ้นแก่เมืองหริภุญไชย คือ เมืองลำพูนทุกวันนี้ แลเมือง ๘ หัวเมืองนั้นให้แต่งเครื่องสาตราวุธแลตรวจด่านทางให้แต่งคนเร็วม้าใช้ไปฟังข่าวแก่กันให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวทุกเมือง แลเจ้าพสุจราชให้พาพานิชพ่อค้าสำเภาลำหนึ่งให้ถือราชสาส์นไปถึงเมืองกรุงจีนถึงพระเจ้ากรุงจีนผู้เป็นตา[1] ทูลขอช่างหล่อปืน ๑๐ คน แลพระเจ้าตาก็ให้มาตามพระเจ้าหลานทูลขอ มาได้ ๗ เดือนก็ถึงเมืองสัชนาไลย เจ้าพสุจราชให้ช่างหล่อปืนใหญ่ ๑๒๐ บอก ปืนนกสับ ๕๐๐ บอก จึงมีช่างหล่อสำริดถมปัดแต่นั้นมา พระองค์จึงให้ตั้งคนทั้งหลายรักษาไว้ตามช่องทั้งดินแลลูกเป็นอันมาก ลูกนั้นให้เอาดินปั้นเผาเป็นเฉลียงให้เป็นลูกปืน

ครั้นถึงเดือนอ้าย ขึ้นค่ำหนึ่ง พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกพระเจ้าเชียงแสนให้เสนาอำมาตย์แลมหาอุปราชตรวจจัดรี้พลโยธาช้างม้าเครื่องสาตราวุธทุกท้าวพระยาปืนหอกดาบโล่ธนูหน้าไม้เกราะเหล็กเกราะเขา แล้วจึงตั้งพระยาเชียงราย พระยาเชียงลือ เป็นแม่ทัพหน้า ตั้งพระยาเชียงเงิน พระยาเชียงตุง เป็นปีกขวา ตั้งพระยาเชียงน่าน พระยาเชียงฝาง เป็นปีกซ้าย

เจ้าพสุจราชจึงให้อุปทูตขึ้นไปฟังข่าวได้รู้อาการทั้งปวงแล้ว จึงกลับมาทูลแก่พระยาพสุจราช ๆ จึงให้กฎหมายไปแก่พระยาพิไชยเชียงใหม่อันเป็นพระญาติแห่งพระองค์แล้ว พระยาลือธิราชถึงทิวงคต ยังแต่บุตรชายผู้เป็นหลานแห่งพระองค์ชื่อ พระพรหมวิธี จึงให้ขับพลเมืองนคร เมืองแพร่ เมืองน่าน เข้าเมืองเชียงใหม่สิ้นเชิง ท้าวพรหมวิธีจึงให้ทหารอาสานั่งด่านทางให้รู้ว่า ถึงตำบลใด พระยาพสุจราชจึงให้ขับครัวเข้าเมืองสัชนาไลยสิ้นเชิง แต่ครัวชายฉกรรจ์นั้นให้อยู่ตั้งรบถอยหลังเข้ามาหาค่าย พระยาศรีธรรมไตรปิฎกจึงให้ขับพลเข้าในเมืองสัชนาไลย ให้ตั้งค่ายหลวงใกล้เมืองสัชนาไลยทาง ๕๐ เส้น จึงให้พลทหารโยธาล้อมเมืองสัชนาไลยเข้าไว้ จะเข้ามิได้ ด้วยข้างในปืนใหญ่ปืนน้อยมาก จะเข้าข้างหัวเมือง พลโยธาอาสาสู้ตายลงเป็นอันมาก พระยาพสุจราชจึงให้พลโยธาโห่ร้องตีกลองใหญ่ทุกประตู ข้าศึกสะท้านสะเทือนด้วยกลองแลปืนใหญ่ อาสาข้างนอกตายเปลือง

พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าวัดเขารังแรงรู้อาการแล้ว จึงชุมนุมพระสงฆ์ทั้งหลายว่า เราทั้งหลายอย่าให้เขาทั้งหลายรบกัน ไพร่พลทั้งปวงจะตายเป็นอันมาก ครั้นคิดด้วยกันแล้ว พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าจึงไปถวายพระพรแก่สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ๆ ก็ฟังอำนาจพระอรหันต์เจ้า แล้วพระพุทธโฆษาจารย์เจ้าจึงเข้าไปห้ามพระยาพสุจราช ๆ ก็ฟังคำพระอรหันต์เจ้า ด้วยพระยาศรีธรรมไตรปิฎกเป็นคู่กันกับนางประทุมเทวีแต่ชาติก่อน ให้ทานมิร่วมใจกัน จึงมาเกิดไกลกัน จึงให้รบกัน พระยาพสุจราชรู้แจ้งเพราะพระอรหันต์เจ้าแล้ว จึงมายังชาวเจ้าชาวแม่นางเถ้านางแก่ทั้งหลายให้ประดับประดานางประทุมเทวี แล้วพสุจราชไปถวายบังคม แล้วก็เวนพระราชธิดาให้แก่พระยาศรีธรรมไตรปิฎก ๆ ก็ยินดีนักหนา แล้วอนุญาตแก่กัน แล้วพระยาศรีธรรมไตรปิฎกก็ให้ยกทัพถึงเมืองเชียงแสน แล้วท้าวพระยาก็ต่างคนต่างไปบ้านเมืองตน

พระยาศรีธรรมไตรปิฎกก็ได้พระราชกุมารในสำนักนางประทุมเทวี ๒ คน ผู้หนึ่งชื่อ เจ้าไกรสรราช ผู้หนึ่งชื่อ เจ้าชาติสาคร เจ้ากุมารทั้งสองประกอบด้วยอานุภาพ ทั้งรูปทรงก็งาม ทั้งใจก็เป็นกุศล

แต่ชาติก่อน พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นภิกษุ ได้สร้างพระไตรปิฎกเมื่อศาสนาพระกกุสนธ์เจ้า ครั้นพระองค์เกิดมาตรัสรู้ในไตรปิฎกทั้งสาม พระองค์จึงรู้ในพระทัยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาตทางตะวันตกตะวันออก แล้วเสด็จไปอาศัยฉันจันหันใต้ต้นสมอ แลควรจะไปสร้างเมืองไว้ในสถานที่นั้น พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกคิดแล้วจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งจ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ ให้ทำเป็นพ่อค้าเกวียนไปด้วยคนละ ๕๐๐ เล่ม เต็มไปด้วยทุนทรัพย์ทั้งหลาย

จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ รับพระราชโองการแล้วทูลลา พวกพานิชพ่อค้าตามส่ง แล้วจ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ จึงมาจากเมืองเชียงแสน มาถึงเมืองน่าน แล้วก็มาเมืองลิหล่ม พักพวกไหว้พระบาทธาตุพระพุทธเจ้า แล้วจึงข้ามแม่น้ำตรอมตนิม แล้วจึงข้ามแม่น้ำแก้วน้อย แล้วจึงถึงบ้านพราหมณ์ที่พระพุทธเจ้าไปบิณฑบาต บ้านพราหมณ์ข้างตะวันออก ๑๕๐ เรือน ข้างตะวันตก ๑๐๐ เรือนมีเศษ

จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ คิดอ่านกันว่า พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเจ้าเราใช้เรามาที่นี้ ชะรอยจะเป็นปริศนามาแก่เราทั้งสองนี้แล้วมีอาญา ฐานทีนี้ก็เป็นอันราบคาบนักหนาทั้ง ๒ ฟาก มีบ้านพราหมณ์ก็อยู่ทั้ง ๒ ฟาก มาเราจะสร้างเมืองถวายแก่เจ้าเราเถิด ครั้นเจ้า ทั้งสองคิดกันแล้ว จ่านกร้องจึงให้พ่อค้าเกวียน ๕๐๐ เล่มข้ามไปข้างตะวันตก ก็ตั้งทับประกับเกวียนไว้ แล้วจึงทำสารบาญชีชะพ่อพราหมณ์แลไพร่ของตนรวมกันเป็นคน ๑,๐๐๐ ทำอิฐ จ่าการบุรณ์ทำบาญชีชะพ่อพราหมณ์แลไพร่ของตนรวมกันเป็นคน ๑,๐๐๐ เท่ากัน ทำอิฐ ได้เป็นอันมาก แล้วจึงให้หาชะพ่อพราหมณ์อันเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ตามไสยศาสตร์ จึงให้ชะพ่อพราหมณ์กินบวชถือศีลเขนง ๗ วัน แล้วสระเกล้า แล้วขึ้นโล้ถีบอัมพวายแก่พระอิศวรเป็นเจ้า จึงเอาพระอิศวรออกไปเลียบที่ตั้งเมือง จึงให้พราหมณ์ชักรอบทิศตั้งเมือง แล้วจึงปันหน้าที่ยาว ๕๐ เส้น สกัด ๑๐ เส้น ๑๐ วา ปันหน้าที่ไว้แก่พราหมณ์จะได้เท่าใด ไทยจะได้เท่าใด ลาวจะได้เท่าใด ครั้นปันหน้าที่แล้ว พอได้ ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๓ ขึ้นค่ำหนึ่ง ปีฉลู ฉศก เวลาเช้า ต้องกับเวลาเมื่อพระพุทธเจ้าฉันจันหันใต้ต้นสมอ วันนั้น พระอุบาฬีเถรแลพระคิริมานน์ก็นิพพานในที่นั้น แต่ก่อนก็เรียกว่า พนมสมอ บัดนี้ ก็เรียกว่า เขาสมอแครง เขาบรรจุพระธาตุเจ้าทั้งสองไว้ในที่นั้น แลครั้นพระสงฆ์องค์ใดเข้ามาอยู่ที่นั้น ก็ย่อมเรียกตามที่นั้นมาเป็นอรัญวาสี จ่านกร้องสร้างข้างตะวันตก จ่าการบุรณ์สร้างข้างตะวันออกแข่งกัน ทำปีหนึ่งกับ ๗ เดือนจึงแล้วรอบบ้านพราหมณ์ทั้งหลาย ทั้งคูก็รอบกัน หนทางเด็กเลี้ยงวัวลูกชาวบ้านหริภุญไชยไปมา ปั้นพระนอนเล่นทั้ง ๒ ฟาก เป็นประตู ๘ อันตามอันดับกัน เจ้าทั้งสองจะให้ชื่อประตู ก็ถามคนอันเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลายจึงว่า ทั้งสองสิเป็นมหาเสนา การทั้งนี้ตามแต่ปัญญาเจ้าทั้งสองเถิด สร้างเมืองปีหนึ่งกับ ๗ เดือนจึงแล้ว ดังนี้แล ครั้นจ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ ทำเมืองแล้วทั้ง ๒ ฟาก ทั้งทวารบานประตูบริบูรณ์แล้ว จึงสั่งชีพ่อพราหมณ์ให้รักษาเมือง ครั้นได้ฤกษ์ดี จึงนำเอาเกวียนแลคน ๕๐๐ เล่มขึ้นไป ๒ เดือนจึงถึงเมืองเชียงแสนราชธานี จ่าทั้งสองเข้าไปถวายบังคม จ่าทั้งสองจึงกราบทูลพระกรุณาว่า พระองค์เจ้าใช้ตูข้าไปถึงที่พระพุทธเจ้าฉันจันหันใต้ต้นสมอ สถานที่นั้นเป็นอันสนุกนักหนา ข้าพเจ้าชวนกับชะพ่อพราหมณ์ทั้งหลายสร้างเมืองถวายแก่พระองค์เจ้าแล้ว

พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกยินดีนักหนา จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ให้ชุมนุมท้าวพระยาทั้งหลาย พระองค์จึงให้จ่าทั้งสอง ไปก่อนเปนทัพน่าท้าวพระยาทั้งหลายเปนปีกซ้ายขวา เจ้าไกร สรราช เจ้าชาติสาคร พระราชโอรสทั้งสองเปนกองรั้งหลังตามเสด็จพระราชบิดาพระราชมารดาออกจากพระนคร ณวันอาทิตย์เดือนอ้ายแรมหกค่ำเพลาเช้าไปได้สองเดือนจึงถึง พระองค์ให้ตั้งทับพลับพลาทองริมน้ำ ไกลเมืองประมาณ ๑๐๐ เส้น สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก จึงให้ท้าวพระยาทั้งหลาย แลเจ้าไกรสรราช เจ้าชาติสาคร ตามเสด็จเข้าไปในเมือง แล้วจึงให้ชื่อเมือง จึงมีพระราชโองการตรัสถามชะพ่อพราหมณ์ว่าเราจะให้ชื่อเมืองอันใดดี พราหมณาจารย์จึงกราบทูลตอบพระราชโองการว่าพระองค์เจ้ามาถึงวันนี้ได้ยามพิศ ณุ พระองค์ได้ชื่อเมืองตามคำพราหมณ์ว่าเมืองพิศณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้ามาบิณฑบาต ก็ชื่อว่าโอฆบุรีตวันออก ตวันตกชื่อจันทบูร พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงมีพระราชโองการตรัสสั่งท้าวพระยาทั้งหลายว่า เราชวนกันสร้างพระธาตุแลพระวิหารใหญ่ ตั้งพระวิหารทั้งสี่ทิศ ครั้นสร้างของพระยาแล้ว ต่างคนต่างก็สร้างคนละองค์

พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก จึงรำพึงในพระไทยจะใคร่สร้างพระพุทธรูปให้แล้วด้วยสำริด ครั้นพระองค์รำพึงแล้วจึงให้หาช่างได้บาพิศณุคนหนึ่ง บาพรหมคนหนึ่ง บาธรรมราชคนหนึ่ง บาราชกุศลคนหนึ่ง ได้ช่างมาแต่เมืองสัชนาไลย ๕ คน มาแต่เมืองหริภุญไชยคนหนึ่ง เปนช่าง ๖ คน จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งช่างทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายให้ชวนกันรักษาศีล ๕ ประการอย่าให้ขาด ครั้นสั่งช่างแล้วจึงพระราชทานรางวัลแก่ไพร่ทั้งหลาย ให้ขนดินแลแกลบให้แก่ช่าง ๆ จึงประสมดินปั้นเปนรูปพระพุทธเจ้าสามรูป ตามมีพระราชโองการตรัสสั่งนั้น ให้เหมือนพิมพ์เดียวแลใหญ่น้อยเท่ากัน ครั้นปั้นเบ้าคุมพิมพ์แล้วท้าวพระยาทั้งหลายก็นำเอาทองสำริดมาถวายแก่ พระองค์เจ้า ชวนกันหล่อพระพุทธรูปเปนอันมาก แลช่างหล่อชวนกันกินบวชเจ็ดวัน ก็ทำพลีกรรมแก่เทวดาทั้งเจ็ดทิศ ครั้นได้ฤกษ์ดีจึงเอาพิมพ์เข้าเตา วันเธอหล่อนั้นวันพฤหัศบดีเพ็ญเดือนสี่ปีจอ ชุม นุมพระสงฆ์ทั้งหลายมีพระอุบาฬี แลพระคิริมานนท์เปนประธาน แลพระสงฆเจ้าทั้งหลาย หล่อให้พร้อมกันทั้งสามรูป แลรูปพระศรีศาสดาพระชินสีห์ทั้งสองพระองค์นั้นทองแล่นเสมอกันบริบูรณ์ ยังแต่พระชินราชเจ้านั้นมิได้เปนองค์เปนรูปหามิได้ แต่ช่างหล่อถึงสามทีก็มิได้เปนองค์ แลพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ก็เกิดเปนทุกข์ยิ่งนักหนา แลพระองค์ก็ตั้งสัจจาธิษฐานว่า ด้วยบุญเดชะอันกูได้เรียนพระไตรปิฎกแลได้ทำพิธีกรรมฐานสอนสงฆ์ทั้งหลายให้ อยู่ทางมรรคผลแก่พระสงฆเจ้าอนึ่งจะปราถนาเปนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาล นับมิได้ แต่พระองค์เจ้ารักษาศีลแลถือความสัจมิได้ขาดแลมีใจกรุณาแก่คนแลสัตวทั้งหลาย ครั้นพระองค์ตั้งสัจอธิษฐานแล้ว จึงมีพระราชโองการว่าแก่เจ้าประทุมเทวี ให้ตั้งสัจอธิษฐานบ้างเถิด ครั้นนางตั้งสัจอธิษฐานแล้ว ก็ร้อนถึงอาศนพระอินทรเจ้า ๆ จึงนฤมิตรเปนตาปขาว ลงมาช่วยทำรูปพระคุมพิมพ์ปั้นเบ้า ถ้าจะนฤมิตรเปนไปทีเดียวก็จะได้ แต่ว่าจะให้ปรากฎแก่ตาคนทั้งหลาย ช่วยทำเปนช่าง น้ำก็มิกินเข้าก็มิกินตาก็มิหลับ ใจก็แขงหาที่จะกลัวมิได้ แลมีรูปอันแก่กว่าคนทั้งหลายแต่เทียวไปมาช่วยสองวันทีหนึ่งสามวันทีหนึ่ง จึงทำตรีศูลไว้ในพระภักตรให้เปนสำคัญ ให้รู้ว่าพระอินทรเจ้าสุราไลยลงมาช่วย ครั้นถึงเดือนหนึ่งพิมพ์พระพุทธรูปแห้งแล้ว จึงให้ช่างทั้งหลายตั้งเตาจะหล่อพระชินราช แต่ณวันพฤหัศบดีเดือนหกขึ้นแปดค่ำ ปีกุญตรีศก เพลาเช้า พุทธศักราช ๑๕๐๐ ปีกุญสัมฤทธิศก ด้วยอานุภาพพระอินทราธิราชเจ้า ทองก็แล่นรอบคอบบริบูรณ์ทุกประการหาที่ติมิได้ ครั้นบริบูรณ์แล้วพระอินทรเจ้าเสด็จออกจากเมืองอำมาตย์จึงเข้าไปกราบทูลแก่ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ให้รู้อาการว่าตาปขาวที่มาช่วยกันนั้นไปแล้ว พระองค์เจ้าจึงให้ไปตามแลดูให้รู้เหตุ อำมาตย์ตามไปถึงกลางหนทาง ก็อันตรธานหายไปในที่นั้น อำมาตย์จึงเอาไม้ไปปักไว้เปนสำคัญ จึงเข้ามาทูลให้พระองค์เจ้ารู้เปนอันแม่นมั่นว่าพระอินทรเจ้ามาช่วย พระองค์เจ้าจึงให้ตีดินนั้นออก จึงเห็นตรีศูลในพระภักตรแห่งพระพุทธรูปนั้น พระองค์เจ้าจึงให้ช่างทั้งนั้นช่วยกันขุดเกษาพระพุทธรูปนั้น ก็เปนรูปอันงามบริบูรณ์แล้วทั้ง ๓ พระองค์ ๆ หนึ่งชื่อพระชินราช องค์หนึ่งชื่อพระชินสีห์ องค์หนึ่งชื่อพระศรีศาสดา พระองค์ฝากชื่อไว้ว่าราชด้วย ชื่อพระเจ้าพระองค์หนึ่ง ให้เอาไปตั้งไว้ในสถานสามแห่งไว้เปนที่เสี่ยงทาย ไว้ท่ามกลางเมืองพิศณุโลก แล้วพระองค์เจ้าจึงให้ตั้งพระราชวังฝ่ายตวันตกบริบูรณ์แล้วจึงให้เอาเจ้าสุ ลเทวีลูกพระยาสัชนาไลยมาแล้ว พระองค์จึงให้ราชาภิเศกกับด้วยเจ้าไกรสรราชณเมืองลโว้ แลพระองค์เจ้ากับท้าวพระยาทั้งหลาย ช่วยกันฉลองวัดวาอารามแลพระพุทธรูปเจ็ดวันแล้ว พระองค์ให้ตั้งบ้านส่วยสัดพระพุทธรูปทั้ง ๓ พระองค์นั้นบริบูรณ์แล้ว พระจึงตั้งจ่านกร้องแลจ่าการบุรณ์ ให้เปนมหาเสนาซ้ายขวาคนทั้งสอง ครั้นได้ฤกษ์วันดีเปนวันอาทิตย์พระองค์เจ้าจึงให้ยกพลเสนาท้าวพระยา ตามลำดับมาจากวัง ทั้งนั้นหาไภยอันตรายมิได้ พระองค์เจ้าเสด็จไปสถานที่ใด ย่อมมีเงินแลทองเกิดทุกราวทาง ครั้นว่าอันใดก็เปนเงินเปนทอง ทุกแห่งทุกหนทุกตำบล เสด็จขึ้นไปได้เดือนหนึ่งจึงถึงนครบุรีรมย์ แลเจ้าชาติสาครข่มเหงท้าวพระยาทั้งหลาย มิได้ให้ยิ่งกว่าตนได้ ย่อมรักษาตระกูลแห่งตนอยู่ด้วย

สมเด็จพระเจ้าไกรสรราช จึงสั่งอำมาตย์เสนาในให้สร้างเมืองหนึ่งใกล้เมืองลโว้ทาง ๕๐๐ เส้น จึงแต่งพระราชวังแลคูหอรบเสาใต้เชิงเรียงบริบูรณ์แล้ว จึงให้อำมาตย์รับเอาดวงเกรียงกฤษณราชกับพระราชเทวี ไปราชาภิเศกร่วมเมืองนั้น ชื่อว่าเสนาราชนครแต่นั้นมาแต่พระพุทธสาสนาล่วงแล้วได้ ๑๕๐๐ ปี พงษาวดารนี้มีแต่เมืองสัชนาไลยมาเปนโบราณมายังไม่สิ้น ท้าวพระยาจะมีมาน่านี้ก็ยังมาก แลพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ให้แต่งเจ้าชาติสาครไปกินเมืองเชียงรายแลพระองค์มีพระชนม์ได้ ๑๕๐ ปี (ก็ทิวงคต) พระพุทธศักราช ๑๕๐๐ แลอำมาตย์ทั้งหลายจึงให้สาสนนั้นไปบอกแก่เจ้าชาติสาครผู้เปนลูกพระ องค์นั้น ก็เสด็จลงมาจากเมืองเชียงรายแห่งตน ก็ส่งสการศพพระบิดาแล้ว แลจะได้บอกไปมาหากันญาติผู้เปนพี่น้องให้รู้มิได้ แต่นั้นมาเมืองใคร ๆ อยู่ มิได้ไปมาหากันก็เปนอันไกลกันแล้ว เจ้าชาติสาครก็ได้เสวยราชสมบัติ แทนสมเด็จพระราชบิดาเมืองพิไชยเชียงแสน แต่ตระกูลกระษัตริย์ทิวงคต มาได้เจ็ดชั่วกระษัตริย์ไปแล้ว พุทธศักราช ๑๕๐๑ ปี

(อนึ่งเมื่อ) พระพุทธศักราช ๑๐๐๒ ปี จุลศักราช ๑๐ ปีรกาสัมฤทธิศก จึงพระยากาฬวรรณดิศราช บุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติเมืองตักกะสิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลลงไปสร้างเมืองลโว้ได้ ๑๙ ปี เมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๐๑๑ พรรษา จุลศักราชได้ ๑๐ ปีรกาสัมฤทธิศก แล้วพระยากาฬวรรณดิศราช ให้พระยาทั้งหลายไปตั้งเมืองอยู่ทุกแห่ง แลขุนนางขึ้นไปถึงเมืองทวารบุรี เมืองสันตนาหะ แลเมืองอเส เมืองโกสัมพีแล้วมานมัสการที่พระพุทธเจ้าตั้งบาตรตำบลบ้านแม่ซ้องแม้วนั้น พระ ยากาฬวรรณดิศราช ก็ถอยลงมาเมืองสวางคบุรี ที่บรรจุพระรากขวัญของพระพุทธเจ้าไว้แต่ก่อนนั้น แล้วพระยากาฬวรรณดิศราช จึงอาราธนาพระรากขวัญกับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามา ว่าจะบรรจุไว้เมืองลโว้ จึงพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาทำพระอริยปาฏิหาริย์ลอยกลับขึ้นไปเหนือน้ำถึง เมืองสวางคบุรี แล้วก็อาราธนาลงมาแล้ว กลับขึ้นไปถึงเจ็ดครั้ง พระรากขวัญกับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าไม่อยู่ได้ในเมืองลโว้ จนพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๐๑๕ พรรษา จุลศักราชได้ ๑๗ ปีมโรงสัปตศก แล้วพระยากาฬวรรณดิศราช กลับขึ้นไปทำนุบำรุงเมืองนาเคนทรแล้ว กลับลงมาเมืองสวางคบุรี จึงอาราธนาพระรากขวัญกับพระบรมธาตุ กับข้อพระกรของพระพุทธเจ้าที่บรรจุไว้ในพระเจดีย์แต่ครั้งพระอานนท์ แลพระอนุรุทธเถรเจ้า กับพระยาศรีธรรมาโสกราช ท่านชุมนุมกันบรรจุไว้แต่ครั้งก่อนนั้นลงมาบรรจุไว้ในพระเจดีย์เมืองลโว้ สิ้นสองปี พระองค์สวรรคต เมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๐๔๓ พรรษา จุลศักราชได้ ๔๐ ปีเถาะสัมฤทธิศกลำดับนั้นพระยาพาลีราช ได้ครองเมืองศุโขไทยสืบมา

อนึ่งพระยาร่วงพระราชทานที่ไร่แลนาสัดวัดวาอารามไว้เปนพระ กัลปนาอุทิศไว้ สำหรับวัดโคกสิงคารามตำบลนา ๕๐๐ ไร่ ตำบลโอทาน้ำ ๒๕๐ ไร่ ตำบลคลองวัดกูปไปถึงป่าปูน ๑๕๐ ไร่ ตำบลนาดอนได้ ๔๖๐ ไร่ อันนี้ขึ้นแก่วัดโคกสิงคาราม แลที่ไร่แลนาสัดขึ้นแก่วัดแก้วราชประดิษฐาน ตำบลนาตะแคงได้ ๒๕ ไร่ ตำบลทุ่งขาลาได้ ๗๖๐ ไร่ ตำบลศีศะกระบือได้ ๗๕๐ ไร่ อันนี้ขึ้นแก่วัดแก้วราชประดิษฐาน แลที่ไร่แลนาสัดขึ้นแก่วัดอุทยานใหญ่ ตำบลบ้านป่าอ้อยเหลืองได้๑๒๕๐ไร่ ตำบลม่วงถวายด่านระกาเปนแดนไปถึงปู่เจ้าศาลตลุงได้ ๕๒๐ ไร่ ขึ้นแก่วัดเขาหลวง แต่นาวัดเจ้าจันทร์มาถึงบ่อหิน มีคันนาใหญ่กลางทุ่งเปนแดนได้ ๑๕๐ ไร่ ตำบลนามาได้ไร่แลนา ๓๕๐ ตำบลบ้านหนองจรเข้ได้ไร่แลนา ๕๖๐ ไร่ อันนี้ขึ้นแก่วัดเขาหลวง ที่ไร่แลนาสัดขึ้นแก่วัดเขาอินทร์อรัญวาสี จันหันพระธรรมไตรโลก แต่โพธิ์เถ้านอกวัดป่าแก้วมาถึงถนนหลวงได้ไร่แลนา ๕๐๐ ไร่ แต่เชิงพนมน้อยมาถึงบ่อแก้วได้ไร่แลนา ๔๐ ไร่ ตำบลนามะกอกปมได้ไร่แลนา ๕๖๐ ไร่ ตำบลตาลต้นเดียวทุ่งยั้งได้ไร่แลนา ๒๕๐ ไร่ อันนี้ขึ้นแก่วัดเขาอินทร์ แลที่ไร่แลนาสัดไว้สำหรับวัดไตรภูมิ์ป่าแก้ว ตำบลบ้านเชียงขางคชได้ไร่แลนา ๒๔๐ ไร่ ตำบลบ้านหนองอินทร์ได้ไร่แลนา ๕๗ ไร่ ตำบลบ้านพระยานนทภักดีได้ไร่แลนา ๖๐๐ ไร่ ตำบลบ้านฝ้ายต้นได้ไร่แลนา ๘๗๐ ไร่ มีเข้าเดือนเปนแดน

อันนี้ขึ้นแก่วัดไตรภูมิ์ป่าแก้วแลอันนี้คณะวัดพระมหาธาตุหนขวา ถ้าหาพระครูธรรมไตรโลกวัดเขาอินทร์แก้วมิได้ ให้พระครูยาโชดวัดอุทยานใหญ่ ขึ้นเปนพระครูธรรมไตรโลกวัดเขาอินทร์แก้ว ถ้าหาพระครูธรรมเสนามิได้ ให้เอาพระครูธรรมไตรโลก เปนพระครูธรรมเสนา ถ้าหาพระสังฆราชามิได้ ให้เอาพระครูธรรมเสนาเปนพระสังฆราชาวัดพระมหาธาตุ แต่คณะคามวาสีคณะฝ่ายซ้ายวัดไตรภูมิ์ป่าแก้ว ถ้าหาพระครูญาณไตรโลกมิได้ ให้เอาพระครูญาณสิทธิเปนพระครูญาณไตรโลก ถ้าหาพระครูธรรมราชามิได้ ให้เอาพระครูญาณไตรโลกเปนพระครูธรรมราชา ถ้าหาพระสังฆราชามิได้ ให้เอาพระครูธรรมราชาเปนพระสังฆราชาวัดไตรภูมิ์ป่าแก้ว อันนี้ฝ่ายซ้ายเปนประเวณีแต่โบราณมา

ขณะนั้นบุตรพระยาร้อยเอ็ดเปนนายส่วยน้ำถึงแก่พิราไลย ขณะนั้นนายคงเคราเปนส่วยน้ำเสวยเมืองลโว้ไปส่งเมืองกัมพูชาธิบดีสามปีส่งที หนึ่ง แต่นั้นมานายคงเคราคุมไพร่ ๓๐๐ คนรักษาน้ำเสวยอยู่ในทุ่งทเลชุบศร มีเรือเล็กร้อยหนึ่ง นายคงเครามีบุตรคนหนึ่งอายุ ๑๑ ขวบ ชื่อนายร่วง แต่ชาติก่อนเอาผลมะทรางทำน้ำอัฐบาน ถวายพระโกนาคมพุทธเจ้า จึงว่าไรเปนนั้น ครั้นอยู่มาน้ำมากเอาเรือพายเล่นในท้องพรหมมาศเหนื่อยแล้วขึ้นมา จึงว่าน้ำลงเชี่ยวนัก ให้ไหลกลับไปถึงเรือนเราเถิด พอตกคำลงน้ำก็ไหลกลับมาส่งถึงบ้าน นายร่วงเห็นดังนั้นก็นิ่งอยู่ ครั้นอยู่มานายคงคุมไพร่เปนนายกองนั้นตาย ไพร่ทั้งปวงจึงยกนายร่วงบุตรนายกอง เปนนายกองบังคับไพร่ต่อมา

ครั้นอยู่มาครบคำรบ นักคุ้มคุมเกวียน ๕๐ เล่มกับไพร่ ๑๐๐๐ หนึ่งมาบรรทุกน้ำเสวยพระเจ้าพันธุมสุริยวงษ์สืบมา ลุ้งน้ำเล่มละ ๒๕ ใบ ครั้นมาถึงที่สระน้ำนั้นก็จอดเกวียนพร้อมกัน จึงให้หานายกองให้เปิดประตูจะตักน้ำ หาพบนายกองไม่ ถามไพร่ ๆ บอกว่านายร่วงบุตรนายคงเปนนายได้รักษา จึงบอกนาย ๆ ก็มาพูดจากับนักคุ้มว่าลุ้งน้ำเอามาหนักเสียเปล่า ครั้งนี้ไขว่ชลอมใส่ไปเถิด จะได้มากได้พอนานจึงมาตัก นักคุ้มก็ตอบว่าตาห่างจะขังน้ำได้ฤๅ นายร่วงว่ากลัวจะไม่มีที่ใส่อิก นักคุ้มกลัวก็รับ จึงเกณฑ์สานชลอมเล่มละ ๒๕ ใบ ให้นักคุ้มนำกราบทูลพระเจ้าลแวกเถิด ครั้นกำหนดจะกลับจึงเปิดประตู เอาชลอมลงจุ้มน้ำยกขึ้นใส่เกวียนบรรทุกลงแล้ว นักคุ้มกลัวก็ยกไปจากที่นั้น ครั้นแรมร้อนมาถึงแดนด่าน คนคุมน้ำมาสงไสยในใจอยู่ว่าชลอมจะขังน้ำจะได้ฤๅ บันดาลให้น้ำในเล่มเกวียนนั้นไหลลงเห็นทั่วกันจึงสรรเสริญ ฉนั้นจึงจาฤกลงไว้ ที่นั้นจึงเรียกว่าด่านพระจาฤก จึงยกไปทางตึกโช ครั้นถึงเมืองเข้าแล้วผู้คนก็เล่าฦๅกันว่าเอาชลอมบรรทุกมาไม่มีน้ำ พระเจ้ากัมพูชาจึงเอานักคุ้มนายกองคุมเกวียนไปถาม ก็ทูลทุกประการ ยกชลอมน้ำแกล้งเทลงในพเนียงจนไม่มีที่ใส่ เสนาอำมาตย์จึงกราบทูลพระเจ้ากัมพูชา ๆ ตกพระไทยว่าผู้มีบุญเกิดแล้ว เราคิดว่าจะจับตัวฆ่าเสียให้ได้ เสนาพฤฒามาตย์ราชปโรหิตพระยาพระเขมรก็เห็นด้วย จึงเกณฑ์ทัพเมืองขอมไปตามจับขอมรับอาสาตามจับ นายร่วงรู้ข่าวดังนั้นก็หนีไปถึงแดนเมืองพิจิตรไปอาไศรยเขาอยู่ริมวัดขอเข้า ชาวบ้านกินชาวบ้านเอาเข้ามาให้แก่นายร่วงกับปลาหมอตับหนึ่งนายร่วงอดอาหารมา ก็กินหยิบปลาข้างละแถบแล้วโยนลงไปในสระให้ปลาเปนว่ายไป จนคุ้มเท่าบัดนี้ นายร่วงก็หนีไปจากที่นั้นไปอาไศรยอยู่วัดเมืองศุโขไทย พอได้อุปสมบทสมภารจึงเรี่ยรายชาวบ้าน เอานายร่วงอุปสมบทเปนภิกขุ จึงเรียกพระร่วงขอมดำดินมาถึงเมืองลโว้ที่สระน้ำเสวยนั้น ถามชาวบ้านว่านายร่วงนายกองส่วยน้ำอยู่ฤๅ ชาวบ้านบอกกว่าขึ้นไปเมืองเหนือ ขอมรู้ดังนั้นก็ยกแยกกันไป ครั้นไปถึงเมืองสวรรคโลกถามชาวบ้านว่านายร่วงมาแต่เมืองใต้มาอยู่นี่ฤๅ ชาวบ้านบอกว่าเขาเล่าฦๅกันว่าไปอยู่เมืองศุโขไทยบวชเปนภิกขุอยู่ ขอมได้ความดังนั้นก็ไปเมืองศุโขไทย ผุดขึ้นกลางวัด พอพระร่วงมากวาดวัดอยู่ ขอมจึงถามว่าพระร่วงอยู่ไหน พระร่วงบอกว่าอยู่นี่เถิดจะบอกให้ ขอมก็อยู่ที่นั้นเปนหินอยู่คุ้มเท่าบัดนี้

พระพุทธศักราช ๑๕๐๒ ปี เจ้าเมืองศุโขไทยทิวงคต เสนาบดีประชุมกันว่า วงษานุวงษ์ไม่มีแล้วเราจะเห็นผู้ใดเล่า เห็นแต่พระร่วงบวชอยู่วัด ก็เห็นด้วยอยู่พร้อมกัน จึงเสนากรมการพร้อมกันไปวัดอัญเชิญพระร่วงเจ้าลาผนวชแล้ว รับพระร่วงเข้ามาครองกรุงศุโขไทย พระยาศรีจันทราธิบดี จึงยกพลขึ้นไปเมืองสาวัตถี จึงเอาอ่างแก้วที่วัดสวรรค์ทารามไปลูกหนึ่งกับพระไตรปิฎก ครั้นไปถึงเมืองฉเชียงหลวง จึงให้เอางาช้างเผือกงาดำมาแกะเปนรูปพระร่วง กับเขี้ยวงูใหญ่ ทั้งพระไตรปิฎก กับพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ทั้งอ่างแก้วมาบรรจุไว้ที่หินปูนใช้ได้ ๑๐๒ ปี พระองค์สวรรคต

พระมหาพุทธสาครเปนเชื้อมา ได้เสวยราชสมบัติอยู่ริมเกาะหนองโสนจึงเรียกวัดเดิมกัน จึงมีพระมหาเถรไลยลายองค์หนึ่ง เปนเชื้อมาแต่พระรามเทพมาแต่ก่อน ได้พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ๖๕๐ พระองค์ กับทั้งพระศรีมหาโพธิ์สองต้น มาแต่เมืองลังกาสีหฬเธอจึงพาพระมหาสาครไปเมืองสาวัตถี จึงถ่ายเอาอย่างวัดเชตุวนารามมาสร้างไว้ต่อเมืองรอ แขวงบางทานนอกเมืองกำแพงเพ็ชร ชื่อวัดสังฆคณาวาศหนึ่ง แล้วจึงเอาพระศรีมหาโพธิ์ใส่อ่างทองคำมาปลูกไว้ที่ริมหนองนากะเล นอกวัดเสมาปากน้ำ จึงเชิญพระบรมธาตุบรรจุไว้ด้วย ๓๖ พระองค์ จึงให้ชื่อวัดพระศรีมหาโพธิ์ลังกา แล้วจึงบรรจุไว้ในพระเจดีย์บ้าง ในพระพุทธรูปใหญ่บ้าง ในพระปรางบ้างเปนพระบรมธาตุ ๓๖ พระองค์ด้วยกัน แล้วบรรจุไว้ในพระพุทธไสยาศน์วัดป่าโมกนั้น ๓๖ พระองค์ ในพระปาเลไลยนอกเมืองพันธุมบุรีนั้น ๓๖ พระองค์ ในพระปรางค์วัดเดิมกันเมืองหนองโสนนั้น ๓๖ พระองค์ ที่พระพุทธบาท ๓๖ พระองค์ ในถ้ำเขานครสวรรค์ ๓๖ พระองค์ ในถ้ำขุดคะสรรค์ ๓๖ พระองค์ ในเขาหินตั้งเมืองศุโขไทย ๓๖ พระองค์ ในเขาตุ้มแก้ว ๓๖ พระองค์ ในเมืองชองแก้ว ๓๖ พระองค์ ในพระเจดีย์วัดเสนาศน์ ๓๖ พระองค์ ในพระเจดีย์วัดคณะทาราม ๓๐ ในพระมหาธาตุ ๓๐ พระองค์ สามวัดนี้อยู่ในเมืองพิศณุโลก สิ้น ๙๗ ปีสวรรคต ศักราชได้ ๓๓๖ ปี พระยาโคดมได้ครองราชสมบัติอยู่ ณวัดเดิม ๓๐ ปี สวรรคตมีพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อพระยาโคตรตะบอง ได้ครองราชสมบัติแทนพระราชบิดา ทรงอานุภาพยิ่งนัก

อยู่มาโหราทำฎีกาถวายทำนายว่า ผู้มีบุญจะมาเกิดในเมืองนี้ พระยาโคตรตะบองจึงสั่งให้จับหญิงมีครรภ์มาฆ่าเสีย ทั่วขอบเขตรทุกแห่ง ครั้นมานานโหรากราบทูลว่าผู้มีบุญเกิดแล้ว พระยาโคตรตะบองสั่งให้ป่าวร้องเอาทารกมาคลอกเสียให้สิ้น แต่ทารกผู้นั้นไฟคลอกไม่พอง ด้วยเทวดารักษาอยู่จึงมิตาย ครั้นเพลาเช้าสมณะไปบิณฑบาต พบทารกเอามาเลี้ยงไว้

ครั้นอยู่นานมาราษฎรมาป่าวร้องกันว่า โหรทูลว่าผู้มีบุญจะมาก็ตื่นกันเปนโกลาหลจะไปดูผู้มีบุญ พระยาโคตรตะบองจึงตรัสแก่เสนาบดีว่า ถ้าเดินมาจะสู้ ถ้าเหาะมาจะหนี ชาวเมืองชวนกันไปดูผู้มีบุญ ทารกที่เพลิงคลอกนั้นอยู่วัดโพธิ์ผีไห้อายุได้ ๑๗ ปีก็ถัดไปดูผู้มีบุญ สมเด็จอำมรินทราแปลงตัวลงมาเปนคนชราจูงม้ามาถึงที่ทารกผู้นั้นอยู่ จึงถามทารกว่าจะไปไหน ทารกตอบว่าจะไปดูผู้มีบุญ เจ้าของม้าจึงว่าจะถัดไปเมื่อไรจะถึง ฝากม้าไว้ด้วยเถิดจะมาเล่าให้ฟัง ทารกก็รับเอาม้าไว้ เจ้าของม้าจึงว่าถ้าอยากเข้าเอาเข้าของเราในแฟ้มกินเถิด อนุญาตให้แล้ว เจ้าของม้าก็ไป แต่ทารกคอยนานอยู่แล้วหารู้ว่าตัวเปนผู้มีบุญไม่ จึงเปิดแฟ้มดูเห็นของกินแล้วก็หยิบกินเข้าไป ด้วยเปนเครื่องทิพย์ก็มีกำลังขึ้น จึงเห็นน้ำมันในขวดก็เอาทาตัวเข้า แขนขาที่ไฟคลอกงออยู่นั้นก็เหยียดออกได้หมดหายบาดแผลสิ้น จึงแลเห็นเครื่องกกุธภัณฑ์ ก็คิดในใจว่ากูนี้ผู้มีบุญฤๅ เอาเครื่องกกุธภัณฑ์ใส่เข้าเผ่นขึ้นหลังม้า ม้าก็เหาะมาพอถึงที่พระตำหนัก พระยาโคตรตะบองแลเห็นก็หวาดหวั่นไหวตกใจ จึงหยิบตะบองขว้างไปหาถูกพระองค์ไม่ ไปตกลงเมืองล้านช้างพระยาโคตรตะบองก็หนีไป พระยาแกรกครองราชสมบัติ ชะพ่อพราหมณ์ถวายพระนามชื่อพระเจ้าสินธพอำมรินทร์ราษฎรเปนศุขยิ่งนัก

พระยาโคตรตะบองตามตะบองไปเมืองล้านช้างเจ้าเมืองสัจจนาหะกลัวบุญญาธิการ พระยาโคตรตะบอง จึงยกพระราชบุตรให้เปนอรรคมเหษี เจ้าเมืองสัจจนาหะรำพึงคิดแต่ในพระไทยว่า ที่ไหนคงจะคิดขบถต่อกูเปนมั่นคง จะจับฆ่าเสีย มารำพึงคิดแต่ในใจว่าทำไฉนจะรู้แยบคาย จึงให้ไปหาลูกสาวมา ให้ลอบถามดูว่าจะทำอย่างไรจึงจะตาย นางก็รับคำพระราชบิดาแล้ว ก็กลับมาอ้อนวอนพระราชสามีว่า พระองค์ก็ทรงมหิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศไม่มีผู้ใดจะเสมอทำไมพระองค์จึงจะตาย แต่นางร่ำไรอ้อนวอนเปนหลายครั้ง พระยาโคตรตะบองจึงบอกว่า อันตัวเรานี้มีกำลัง หามีผู้ใดจะอาจเข้ามาทำร้ายเราได้ จะฆ่าด้วยอาวุธอันใดมิได้ตาย ถ้าเอาไม้เสียบทวารหนักจึงจะตาย นางปลอบประโลมถามได้ความดังนั้นแล้ว จึงบอกแก่พระราชบิดา ๆ ได้ฟังดังนั้นดีพระไทยนัก จึงคิดแก่เสนาบดีทำกา จับหลักไว้ที่พระบังคน เอาหอกขัดเข้าไว้ทำสายใย ครั้นพระยาโคตรตะบองเข้าที่พระบังคน อุจาระตกลงไปถูกสายใยเข้า หอกก็ลั่นขึ้นมาสวนทวารเข้าไป พระยาโคตรตะบองมานึกแต่ในใจว่าเสียรู้ด้วยสัตรี จะอยู่ทำไมในเมืองนี้ จะกลับลงไปในแดนเมืองเราเถิดพระองค์ดำริห์ดังนั้นก็หนีไป พอเข้าแดนกรุงพระนครแล้ว ก็ข้ามไปถึงที่นั้นก็สิ้นพระชนม์ลง เสนาบดีกราบทูลพระเจ้าสินธพอำมรินทร์ว่าพระยาโคตรตะบองมาสิ้นพระชนม์ลงที่ หลังวัด

ฝ่ายพระเจ้าสินธพอำมรินทร์ สั่งให้ทำการศพพระราชทานเพลิงเสีย ที่พระราชทานเพลิงนั้นสถาปนาเปนพระอารามขึ้น ให้นามชื่อวัดศพสวรรค์จนทุกวันนี้

พระพุทธศักราช ๑๘๕๐ ปีมโรงสัปตศก พระเจ้าสินธพอำมรินทร์เสวยราชสมบัติได้ ๓ ปี เสด็จออกยังพระที่นั่งสังเขตรปราสาทจัตุรมุขเบื้องบุรพทิศ ณวันอาทิตย์เดือนห้าขึ้นสามค่ำ เปนวันประชุมเจ้า พระยาแลพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย มารับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์สัจจาแต่ณวันพุฒแรม ๑๓ ค่ำ ตามเมืองใกล้ไกล

ยังมีพระไทยเถรองค์หนึ่งเปนเชื้อมาแต่พระนาคเสน เอาเลข กะหํ ปายา มาถวาย จึงลบพระพุทธศักราช ๑๘๕๗ เปนจุลศักราช ๓๐๖ ปีมโรงฉศก เปนจุลศักราชใหม่สำหรับอาณาจักรจะได้ใช้สืบไปกว่าจะสิ้นพระพุทธสาสนาพระ พุทธเจ้า ๕๐๐๐ พรรษา แล้วพระองค์สร้างวัดวิหารแกลบไว้ เปนหลักพระพุทธสาสนา พระเจ้าสินธพอำมรินทร์เสวยราชสมบัติ ๕๙ ปี พระองค์สวรรคต

(ต่อนี้กล่าวถึงบุพกรรมแห่งพระยาสุทัศนซึ่งครองเมืองอินทปัต แล มีเรื่องพระยาแกรกความซ้ำกันกับที่กล่าวมาแล้ว)

ยังมีบุรุษผู้หนึ่งทำบุญให้ทานแลรักษาศีล แลได้สร้างพระเชตุพนถวายแก่พระพุทธเจ้า ทั้งน้ำอาบแลน้ำฉันไม้สีฟันแลน้ำบ้วนพระโอษฐทั้งดอกไม้แลเข้ากระยาคู เข้าบิณฑบาตเปนอาหาร แลใจบุรุษผู้นั้นไม่รู้จักฉันทาโทษาแก่ท่านผู้อื่น ตั้งแต่ให้ทานรักษาศีลมิให้ขาด แต่ในสาสนาพระพุทธกัสสปทศพลเปนเจ้า แลบุรุษผู้นั้นครั้นตายได้ไปเกิดในสวรรค์ แล้วก็มีมาเกิดในสาสนาพระพุทธเจ้าเรานี้ ในตระกูลเศรษฐีมีในบ้านอโรชคาม มีเศรษฐี ๕๐๐ เปนบริวาร ชื่อเจ้าสุทัศนกุมาร จำเริญใหญ่ขึ้นมา แลเศรษฐีผู้บิดาให้มีเรือน จึงร้อนถึง อาศนพระอินทราธิราช แลพระอินทรเจ้าจึงให้พระวิศุกรรม มานฤมิตรเปนปราสาททองมีพื้นได้ ๗ ชั้น ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ทั้งโรงช้างม้าแลเรือนหลวง กำแพงแก้ว ๗ ชั้น สวนอุทยานและสระโบก ขรณีเต็มไปด้วยบัว ๕ ประการ และกำแพงเมืองย่อมและ้วด้วยทอง ชื่อว่าเมืองอินทปัตนคร และเศรษฐีทั้งหลายจึงราชาภิเศกเจ้าสุทัศนเป็นกษัตริย์ แต่พระพุทธเจ้ายังทรมานอยู่โปรดสัตวทั้งหลาย และเที่ยวมาบิณฑบาตณเมืองนั้น และยังมีพรรณิพกพิการผู้หนึ่ง ถือกระลาขอทานเขากินในกลางถนนกลางตลาด ก็มาพบพระพุทธเจ้าในหนทางจึงเอาเข้าที่ในกระลานั้นใส่บาตรด้วยมืออันเน่า ห้อยอยู่ และ้วนิ้วมือนั้นขาดลงไปในบาตรพระพุทธเจ้า ครั้นพระพุทธเจ้ามาถึงที่ฉันจันหัน พระพุทธเจ้าก็ยกเอานิ้วมืออันตกลงนั้นออกเสีย จึงฉันจันหัน ครั้นฉันและ้วพระพุทธเจ้าจึงแย้มพระโอษฐ และพระอานนท์ทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ พรรณิพกพิการอันให้บิณฑบาตเป็นทานแก่ตถาคตและ้วจะได้เป็นพระยาในเมืองนี้ จะได้ลบศักราชตั้งไสยสาตร ครั้นพระพุทธเจ้าทำนายและ้วเท่านั้น และพระยาสุทัศนแต่ได้เป็นพระยาในเมืองอินทปัตนคร และมีพระชนมายุได้ ๑๕๐ ปี ก็ทิวงคตเดือน ๖ แรม ๖ ค่ำวัน ๕ ปีมเสงพุทธศักราชได้ ๑๖๐๐ ปี ยังแต่บุตรหลานสืบ ๆ กันมา ปรางคปราสาทอันและ้วไปด้วยทองก็หายสิ้นทุกสิ่งทุกอัน ก็อันตรธานเป็นศิลาทุกประการ และจำเดิมแต่นั้นมา พระยาโคตมเทวราชผู้หลาน ได้เป็นพระยาในเมืองนั้น และชาวบ้านเล่าฦๅว่าผู้มีบุญมาเกิดและ้ว และบ้านเมืองเราสนุกสบายยิ่งนัก

ยังมีบุตรพรรณิพกผู้หนึ่ง เกิดมามีรูปอันลามก หลังขดเอวคดแข้งโกง เป็นคนเน่าทั้งตัว เหตุมิได้รักษาศีลและให้ทานดุจอานนทเศรษฐี และบุตรพรรรณิพกผู้นั้นคลานเข้าไปจะดูผู้มีบุญ และสมเด็จพระอินทรเจ้าลงมาแต่สวรรค์ ทำเพศเป็นมนุษย์ขี่ม้าข้ามหนทางมา เห็นพรรณิพกนั้นจึงถามว่า ท่านจะคลานไปไหน พรรณิพกจึงขานว่าข้าจะอุส่าห์คลานไปไหว้ท่านผู้มีบุญ และพระอินทรเจ้าจึงว่าดูกรท่าน เราฝากม้าและเครื่องทั้งนี้ไว้แก่ท่านบัดเดี๋ยวหนึ่งเถิด พรรณิพกจึงว่าท่านไปอย่าช้า และพระอินทรเจ้าจึงส่งม้าและเครื่องทั้งนั้นไว้ให้และ้วจึงสั่งว่าถ้าเรานานมา และของทั้งนี้เป็นของท่านเถิด ครั้นสั่งและ้วพระอินทรเจ้าก็ไปจากที่นั้น พรรณิพกจึงคิดว่าบุรุษผู้นี้เอาม้าและเครื่องมาฝากเราไว้ จะมีอันใดบ้าง จึงและดูเห็นขวดน้ำมันยาทิพย์ จึงเอามาทาที่คดคอกก็เหยียดออกดูตรงเป็นอันดี และจึงทาทั้งตัวก็รงับดับหายโทษสิ้น ทั้งตัวก็งามดังทอง จึงคิดใจใหญ่ว่าชรอยตูนี้เป็นผู้มีบุญเที่ยงแท้ จึงเปลื้องผ้าเก่าที่ตนนุ่งห่มไปนั้นเสีย จึงทรงเครื่องทิพย์และมงกุฏพระขรรค์งามดุจดังเทวดา และพระยาโคตมเทวราชรำพึงว่า ถ้าผู้มีบุญมาในแผ่นดินจะต่อด้วยกัน ถ้ามาในอากาศจะเอาตัวหนีไปอื่น ครั้นพรรณิพกทรงม้าแก้วม้าก็พาเหาะไปในอากาศเวหา ครั้นพระยาโคตมเทวราชและเห็นผู้มีบุญเหาะมาในอากาศ ก็สดุ้งตกใจกลัวจึงพานางอรรคมเหษีและบุตรี ทั้งเสนาอำมาตย์ไพร่พลโยธา พลช้างม้าออกจากพระนครในวันนั้นทั้งแปดหมื่น ไปข้างปาจิณทิศได้ ๑๕ วันและ้วแสวงหาที่จะตั้งเมือง และพระอินทราเจ้าจึงเอาพรรณิพกอันงามนั้นตั้งเป็นพระยา ได้ชื่อว่าพระยาแกรก ยกนางอันเป็นเผ่าพันธุ์ของพระยาโคตมเทวราชให้เป็นนางอรรคมเหษี และพอจุลศักราชถ้วน ๑๐๐๐ พระอินทรเจ้าเป็นประธาน ให้ลบศักราชในเมือง และมีลูกหลานสืบ ๆ กันมา ถอยจากตระกูลกษัตริย์แต่นั้นมา

และพระยาโคตมเทวราช เสด็จมาถึงบ้านโกณฑัญญคามพราหมณ์ชื่อโกณฑัญญพราหมณ์ เป็นใหญ่กว่าพราหมณ์ทั้งหลายได้ ๕๐๐ ครั้นเห็นพระยาแต่ไกล โกณฑัญญพราหมณ์ทั้งหลายก็ไปต้อนรับพระมหากษัตริย์ ๆ จึงมีพระราชโองการตรัสถามว่า ดูราชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย บ้านท่านนี้ชื่อใด ชีพ่อพราหมณ์ทูลว่าบ้านนี้ชื่อโกณฑัญญคาม แต่ตูข้าเป็นชีพ่อพราหมณ์ได้ ๕๐๐ คน จึงมีพระราชโองการว่า เราจะสร้างเมืองในสถานที่นี้ ท่านทั้งหลายจะยินดีฤๅไม่ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยินดีด้วยกันทั้งสิ้น พระเจ้าโคตมเทวราช จึงถามพราหมณ์และเศรษฐีทั้งหลายว่า บ้านนี้เป็นโบราณมาฤๅสร้างขึ้นใหม่ เศรษฐีทูลว่าบ้านนี้เป็นบ้านโบราณมาได้สองชั่วสามชั่วผู้เถ้าผู้แก่ พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จเข้ามาบิณฑบาตในบ้านนี้พระยาได้ฟังดังนั้นยินดี ให้เสนาอำมาตย์ตั้งพลับพลาทอง และ้วให้ชีพ่อพราหมณ์ผู้เถ้าผู้แก่ กับเศรษฐีประชุมพร้อมกัน จึงให้ชีพ่อพราหมณ์ตั้งพิธีกินบวชสิ้น และรำเขนงเจ็ดวันและ้วสระเกล้าขึ้นโล้อัม พวาย ถวายแก่พระอิศวรพระนารายณ์ และ้วไปเลียบที่จะตั้งพระราชวัง ให้พราหมณ์ป่าวเทวดา เป่าสังข์ทั้งสามรอบ และปักไม้และเส้นสรวงให้พราหมณ์เสียจรรไร และจ่ายน่าที่ไว้อำมาตย์เสนาและคนทั้งหลายขุดคูและพูนกำแพงถึงเจ็ดเดือน ทั้งพระราชวังและเมือง ทั้งบ้านเศรษฐีและบ้านพราหมณ์ เข้าอยู่ในเมืองสิ้น ไพร่พลอยู่ชั้นนอกสามชั้นรอบเมือง พระเจ้าโคตมเทวราช ก็เอาบ้านพราหมณ์เป็นเมือง และโกณฑัญญพราหมณ์มีบริวาร ๕๐๐ โกณฑัญญเศรษฐีมีบริวาร ๕๐๐ สมเด็จพระเจ้าโคตมเทวราชเสด็จอยู่สำราญเป็นศุขพุทธสาสนาได้ ๑๖๐๐ ปี จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ท่านจงเคารพผู้เถ้าผู้แก่ทั้งหลาย และอำมาตย์นั้นหูหนักไม่ได้ยินถนัดได้ยินไปว่าพระมหากษัตริย์สั่งว่า ท่านทั้งหลายสร้างพลาโอจงทุกคน ๆ เถิด เสนาบดีจึงทูลว่า พระองค์เจ้าสั่งให้ตูข้าพเจ้าสร้าง พลาโอจงทุกคน พระองค์เจ้าจะต้องพระราชประสงค์อันใด จึงมีพระราชโองการว่า เราสั่งให้ท่านทั้งหลายเคารพผู้เถ้าผู้แก่ สั่งสอนเท่านั้นสิว่าให้สร้างพลาโอเล่า และมีพระโองการตรัสห้ามมิให้เอาเป็นอำมาตย์แต่นั้นมา และพระยาโคตมเทวราช มีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อเจ้ากาญจนกุมาร เป็นพระยาแทนพระบิดา นานมาจึงชื่อเจ้าไวยยักษา ครั้นใหญ่มาชื่อเจ้าโคตรตะบอง ไปสร้างเมืองพิจิตร จึงมีชื่อพระยาโคตรตะบอง เจ้าไวยยักษาไปสร้างเมืองพิไชย จึงได้ชื่อพระยามือเหล็ก

จุลศักราช ๒๑๕ ปีเถาะเบญจศก พระเจ้าจันทโชติกับเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ ขึ้นไปครองเมืองลโว้ ทั้งพระพี่นางทรงพระนามชื่อเจ้าฟ้าแก้วประพาฬขึ้นไปด้วย พระยาจันทโชติ เสวยราชสมบัติได้ ๕ ปี สร้างวัดกุฎีทองถวายพระอาจารย์ พระอรรคมเหษีสร้างวัดคงคาวิหาร

ศักราช ๒๒๐ ปีมแมสัมฤทธิศก พระเจ้าอโนรธามังฉ่อเจ้าเมือง สเทิม ปฤกษาเสนาบดีว่าเราจะยกไปตีเมืองลโว้ เดือนสิบสองให้เกณฑ์ช้าง ๓๐๐๐ ม้า ๕๐๐๐ พลแสนหนึ่ง สรรพไปด้วยเครื่องสรรพสาตราเสร็จ ให้พระยาเริงจิตรตองเป็นทัพน่า ช้างเครื่องร้อยหนึ่ง ม้า ๑๕๐ พลหมื่นหนึ่ง นันทะกะยอซูเป็นปีกขวา ช้างร้อยหนึ่งม้า ๑๕๐ พลหมื่นหนึ่ง นันทะกะยอทางปีกซ้าย ช้างร้อยหนึ่ง ม้า ๑๕๐ พลหมื่นหนึ่ง โปวิจารำทัพหลัง ช้าง ๗๐๐ พลสองหมื่น ครั้นได้พิไชยฤกษ์ วันอังคารเดือนสิบสองขึ้น ๑๓ ค่ำ ยกทัพหลวงออกจากพระนคร มาทางกลาง ๓๙ วันถึงเมืองลโว้นั้น ณวันเดือนอ้ายแรม ๑๓ ค่ำ พระเจ้าอโนรธามังฉ่อ สั่งให้นายทัพนายกองเข้าล้อมเมืองไว้สี่ด้านถึง ๗ วัน หามีผู้ใดออกมารับทัพไม่ พระเจ้าจันทโชติจึงปฤกษาเสนาบดีว่า ทัพมาล้อมครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก เสนาบดีจะคิดประการใดดี เสนาบดีก็นิ่งอยู่ หมื่นจะสูกราบทูลว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก คิดจะใคร่เป็นไมตรี ด้วยทหารเรายังมิชำนาญศึก พระเจ้าจันทโชติก็เห็นด้วย จึงเข้าไปปฤกษาเจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ ว่าศึกครั้งนี้ยกมามิรู้ตัว ไพร่บ้านพลเมือง สท้านสเทือนอยู่ เราจะถวายพระพี่นางไปเป็นทางพระราชไมตรีเห็นศึกจะอ่อนลง เจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ก็เห็นด้วย เสด็จออกสั่งให้เสนาบดีแต่งวอกับนางกำนัลร้อยหนึ่ง วันศุภมงคลฤกษ์ จึงเชิญเจ้าฟ้าแก้วประพาฬขึ้นสู่สีวิกากาญจนอลงกฎ กับข้าสาว ออกไปกับพระราชสาสน ถวายพระพี่นางเป็นทางพระราชไมตรี จึงให้เสนามุขมนตรีนำเอาพระเจ้าพี่นางมาถวาย ครั้นถึงค่ายพระเจ้า อโนรธามังฉ่อ เสนาอำมาตย์นำขึ้นเฝ้า ถวายพระราชสาสนทราบและ้วก็ดีพระไทย สั่งให้รับนางมาตำหนักใน ทอดพระเนตรศิริวิลาศงามยิ่งนัก มีควมประดิพัทธในนางยิ่งนัก จึงให้จัดทองสิบชั่ง ช้างร้อย ม้าร้อย ให้เสนาบดีนำกลับลงไปถวายพระเจ้าจันทโชติ แต่นั้นมาเมืองลโว้กับเมืองสเทิม เป็นสุวรรณปถพีเดียวกัน พระราช สาสนไปมาหากัน

ครั้นณวันพุฒเดือนสามแรมสามค่ำ ยกทัพกลับไปถึงพระนครจึงแต่งการพิธี จึงอภิเศกเจ้าฟ้าแก้วประพาฬ เป็นพระอรรคมเหษีเอกทั้งสองพระนครไพศาลสมบูรณ์ทั่วทุกหญิงชาย เจ้าฟ้าแก้วประพาฬทรงพระครรภ์ถ้วนคำรบประสูตรพระราชกุมาร พระราชบิดาเสน่หายิ่งนัก ครั้นจำเริญใหญ่ขึ้น พระราชบิดาให้เอาช่างมาทำลูกขลุบให้พระราชกุมารเล่นเป็นนิจจนใหญ่ห้ากำ พระราชบิดาถวายพระนามพระราชกุมารชื่อพระนเรศวร ทุกประเทศธานีเกรงบุญสมภารยิ่งนัก

เจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์ มีพระราชกุมารองค์หนึ่ง ครั้นพระชนม์ได้ ๑๔ ปี ลาพระราชบิดาจะขึ้นไปเยี่ยมเยียนพระเจ้าป้าณเมือง สเทิม พระราชบิดาจัดแจงพลทหารให้และ้วลายกไปถึง พระเจ้า อโนรธามังฉ่อให้รับพระราชนัดดาเข้ามา ก็ชื่นชมโสมนัศ พระกุมารทั้งสองก็รักใคร่กัน

ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พากันขึ้นไปเล่นบนปราสาท พระเจ้าอโนรธา มังฉ่อเสด็จออกอยู่ที่พระแกล ทอดพระเนตรเห็นเจ้ากุมารทั้งสองขึ้นไปบนปราสาท เห็นพระราชนัดดาเป็นสี่กร จึงคิดแต่ในพระไทยว่า อ้ายลูกคนนี้มันจะเอามอญเป็นข้ามันเสียหมด ดำริห์ว่าฉนั้นและ้วก็นิ่งอยู่ ครั้นอยู่มาพี่น้องวิวาทกันด้วยขี่ม้าตีคลีที่สนามเล่น พระนเรศวรแพ้พระราชกุมารเป็นหลายครั้ง คิดแค้นจะใคร่ฆ่าพระราชกุมารนั้นเสีย พระราชกุมารรู้จึงคิดกันกับพี่เลี้ยงจะหนีไป ให้เกลี้ยกล่อมมอญจะพามาด้วย ครั้นพี่เลี้ยงไปเกลี้ยกล่อม พวกพลก็เข้ามา ครั้นพร้อมเสร็จให้ผูกพลายทองแดงออกเล่นทุกวัน ได้ทีเพลาค่ำประมาณยามเศษยกหนี พวกพลนั้นยกไปก่อนห้าวันหกวัน และ้วทำทีเป็นเที่ยวหากิน เพลารุ่งเช้าชาวพระนครพูดจากันแซ่ไปว่า พระราชกุมารหนีไป พาชาวเมืองไปด้วยเป็นอันมาก ทราบถึงพระนเรศวร ๆ เอากิจการกราบทูลพระราชบิดาว่า พระราชกุมารพาพลชาวเมืองไป จะขออาสาออกไปจับพระราชบิดาห้ามว่าอย่าไปเลยสู้เขาไม่ได้ พระนเรศวรก็มิฟัง ให้เกณฑ์ทัพ พระนเรศวรทรงช้างต้นพลายตุ่นสูง ๖ ศอกยกตามมาแดนไทยทัน ศักราช ๔๓๑ ปี จะเข้าชนพลายทองแดง ๆ เล็กทานมิได้ถอยมา พระนเรศวรได้ทีจับเอาลูกขลุบเงื้อขึ้น จะทิ้งเอาพระราชกุมาร ๆ ร้องว่าเจ้าพี่เล่นเป็นทารกหาควรไม่ พระนเรศวรได้ยินลอายพระไทยก็วางลูกขลุบลงเสีย พอพลายทองแดงได้ต้นพุดทราที่มั่นยันถนัด หันรับช้างพระนเรศวรเปรไป พระราชกุมารบ่ายของ้าวจ้วงฟันเห็นเป็นสี่กร พระนเรศวรตกพระไทยพระภักตร์เผือดไปเกี่ยวช้างพระที่นั่ง พระราชกุมารพาพวกพลมาพระนคร (พา) ครอบครัวมาถวายพระราชบิดา และ้วกราบทูลกิจจานุกิจทุกประการ ให้แต่งการสมโภชพระราชกุมาร ขนานนามพระนารายณ์ แต่นั้นมาเมืองสเทิมกับเมือง ลโว้ ขาดทางพระราชไมตรีกันแต่นั้นมา มอญนเรศวรซึ่งได้มานั้นอยู่ที่เมืองบ้าง อยู่บางขามโพชายบ้าง คุ้มเท่าบัดนี้

จุลศักราช ๒๔๒ ปีรกาโทศก มหาอำมาตย์ได้ครองราชสมบัติได้ ๑๒ ปีสวรรคต พระนารายน์สร้างวัดปีหนึ่ง ศักราช ๒๔๙ ปี มเมียนพศก พระนเรศวรยกพล ๔๐ แสนมาล้อมกรุง ตั้งค่ายอยู่ตำบลนนตรี ทราบว่าพระนารายน์ได้ครองราชสมบัติ เกรงพระเดชเดชานุภาพเป็นอันมาก จึงให้แต่งหนังสือเป็นใจความว่าเรายกพยุหแสนยากร จะใคร่สร้างวัดพนันคนละวัด พระน้องเราจะเห็นประการใด ถ้าเราแพ้จะยกกลับ ถ้าพระน้องแพ้เราจะครองเมือง ครั้นแต่งเสร็จและ้วให้สมิงจาโปถือเข้าไปถวาย เสนานำแขกเมืองเข้าเฝ้ากราบทูลทุกประการ จึงตรัสว่าพระเจ้าพี่จะสร้างก็สร้างเถิด คนละมุมเมืองข้างทิศพายัพ เราอยู่ข้างทิศหรดี ไปทูลพระนเรศวร ๆ ก็ สั่งนายทัพนายกองจัดการทำอิฐเป็นอันมาก ก่อพระเจดีย์กว้าง ๔ เส้น สูง ๙ เส้น ๑๐ วา พระนารายน์ก่อพระเจดีย์กว้าง ๓ เส้น สูง ๗ เส้น ๔ วา ๒ ศอก พระนเรศวรก่อ ๑๕ วันถึงบัวกลุ่ม ให้นามวัดภูเขาทอง พระนารายน์จะแพ้ คิดเป็นกลอุบายทำโครงเอาผ้าขาวดาดพระนเรศวรเห็นดังนั้นคิดกลัวเลิกทัพกลับไป พระนารายน์ให้ก่อจนและ้วให้นามวัดใหญ่ไชยมงคล

และ้วพระนารายน์ไปสร้างพระปรางค์เมืองลโว้ ขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองลพบุรี แต่นั้นมาเป็นเมืองลูกหลวง พระนารายน์ทรงประชวรลงมา ครั้นถึงพระราชวัง ๓ วันสวรรคต ถวายพระเพลิงที่วัดพระองค์สร้างให้ชื่อวัดนารายน์อิศรา แต่นั้นมาเมืองว่างเปล่าอยู่อำมาตย์ ๙ คนรบฆ่าฟันชิงราชสมบัติกัน โลหิตในเมืองนั้นประดุจหนึ่งท่วมท้องช้าง แต่ทำศึกสิ้น ๒ ปี ศักราชได้ ๓๑๑ ปีมเสงเอกศกพระเจ้าหลวงได้ราชสมบัติเก้าปี จึงกำหนดตั้งพิกัดอากรขนอนตลาดไว้ทุกตำบล จึงสั่งให้ยกวังเป็นวัด เรียกว่าวัดเดิมแต่นั้นมา ศักราช ๓๖๐ ปีมแมสัมฤทธิศกลงมาสร้างเมืองใหม่ สร้างตำหนักวังอยู่ท้ายเมือง ไปสร้างวัดโปรดสัตวยังหาและ้วไม่ สวรรคตลงที่นั้น ศักราช ๒๗๓ ปีมแมโทศก ครั้นสิ้นกษัตริย์หามีผู้ใดจะบำรุงพระพุทธสาสนาและอาณาประชาราษฎรไม่ พราหมณ์ประโรหิตคิดกันว่า จะเสี่ยงเรือสุพรรณหงษ์เอกไชยกับเครื่องกกุธภัณฑ์ไป

ขณะนั้นหมู่เด็กเลี้ยงโคอยู่ณทุ่งนา ๔๗ คน เลี้ยงโคตำบลมีปลวกอันใหญ่สูงศอกเศษ ตั้งตัวเป็นคนหนึ่งขึ้นว่าราชการบนจอมปลวกนั้นหมู่เด็กทั้งปวงหมอบราบอยู่เป็น นิจ จึงตั้งเป็นขุนอินทรเทพ ขุนพิเรนทรเทพ เป็นที่ขุนนางผู้ใหญ่ ว่าราชการบนปราสาทปลวก โกรธข้าราชการสั่งให้เพ็ชฌฆาฏเอาไปฆ่าเสียด้วยไม้ขี้ตอก ไปตัดศีศะ ๆ นั้นก็ขาด เรียกว่าบ้านหัวปลวกแต่นั้นมา ครั้งนั้นพราหมณ์ประโรหิตโหราสโมสร เสี่ยงเครื่องกกุธภัณฑ์กับเรือเอกไชยสุพรรณหงษ์ไปตามชลมารค ไปถึงบ้านเด็กเล่น เรือสุพรรณหงษ์ก็หยุดอยู่ พลพายเรือมิได้ไป พราหมณ์เป่าสังข์แตรงอนแตรฝรั่งขึ้นพร้อมกัน รับเอานายหมู่เด็กมาครองราชสมบัติ จึงเรียกว่าบ้านเด็กเล่นแต่นั้นมาจึงเชิญขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้เอาพวกเด็กเล็กเพื่อนกันลงมาตั้งให้เป็นข้าราชการ อยู่มาวันหนึ่งลงไปสรงน้ำ เห็นลูกมอญมาขายผ้าพ่อลูกได้เบญจลักษณ จึงให้มหาดเล็กไปตามดูให้รู้ว่านางจะอยู่ที่ไหน มหาด เล็กก็ไปดูเห็นที่อยู่และ้ว ก็กลับมาทูลประพฤดิเหตุทุกประการ อยู่มากาลวันหนึ่งนางนั้นมีรดูโลหิตติดผ้า เอาผ้าไปตากผึ้งจับเห็นเป็นอัศจรรย์ คนก็เห็นมาก ครั้นถึงวันศุกรขึ้น ๑๑ ค่ำเวลาเช้า จึงแต่งเรือลงไปรับกับคานหามถึงและ้ว ชาวบ้านตกใจเป็นอันมาก ก็รับนางขึ้นคานหามมาพระราชวัง แต่นั้นมาจึงเรียกว่าบ้านคานหามมาจนบัดนี้ ครั้นถึงพระราชวังจึงรับนางขึ้นราชาภิเศกเป็นเอกอัครมเหษีไพร่บ้านพลเมือง อยู่เย็นเป็นศุขทั่วไป

ขณะนั้นพระเจ้ากรุงจีนได้บุตรบุญธรรมในจั่นหมากเอามาเลี้ยงไว้ให้นามชื่อว่า นางสร้อยดอกหมาก ครั้นวัฒนาการเจริญขึ้น จึงให้หาโหรมาให้ทำนายว่า ลูกกูคนนี้จะควรคู่ด้วยกษัตริย์เมืองใด โหรพิเคราะห์ดูหาเห็นว่าจะอยู่แห่งใดไม่ เห็นอยู่แต่ทิศตวันตกกรุงไทย มีบุญญาภิสังขารมากนัก เห็นจะควรกับพระราชธิดา จึงกราบทูลว่าจะได้กับพระเจ้ากรุงไทยเป็นแน่ พระเจ้ากรุงจีนให้แต่งพระราชสาสนเข้ามา ให้ขุนแก้วการเวทถือเข้ามา ขุนนางผู้ใหญ่นำเข้าเฝ้าถวายพระราชสาสน จึงสั่งให้เบิกทูตานุทูตเข้าไปเฝ้า ในพระราชสาสนนั้นว่า พระเจ้ากรุงจีนให้มาเป็นทางพระราชไมตรีถึงพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ด้วยเราจะยกพระราชธิดาให้เป็นพระอัครมเหษี ให้เสด็จออกมารับโดยเร็ว ครั้นได้แจ้งในพระราชสาสนดังนั้นก็ดีพระไทย จึงตรัสว่าเดือน ๑๒ จะยกออกไป ให้ตอบแทนเข้าของไปเป็นอันมาก ทูตทูลลากลับไป จึงสั่งให้จัดเรือเอกไชยเป็นกระบวนพยุห

จุลศักราช ๓๙๕ ปีมเมียเบญจศก ครั้นณวันเดือน ๑๒ แรม ๑๑ ค่ำ ได้ศุภวารฤกษ์ดี จึงยกพยุหไปทางชลมารคพร้อมด้วยเสนา บดี เสด็จมาถึงแหลมวัดปากคลองพอน้ำขึ้น จึงประทับพระที่นั่งอยู่น่าวัด จึงทอดพระเนตรเห็นผึ้งจับอยู่ที่อกไก่ใต้ช่อฟ้าน่าบัน จึงทรงพระดำริห์ว่า จะขอนมัสการพระพุทธปฏิมากร เดชะบุญญาภิสังขารของเรา ๆ จะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎรด้วยกันเสร็จ ขอให้น้ำผึ้งย้อยหยดลงมา กลั้วเอาเรือรีบขึ้นไปประทับแทบกำแพงแก้วนั้นเถิด พอตกพระโอษฐลงดังนั้น น้ำผึ้งก็ย้อยลงมากลั้วเอาเรือพระที่นั่งรื้อขึ้นไปถึงที่ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยเห็นประจักษ์แก่ตาแล้ว เสด็จนมัสการจึงเปลื้องเอาพระภูษาทรงสักการบูชาพระพุทธปฏิมากรนั้นเสร็จแล้ว เสด็จลงเรือพระที่นั่งก็ถอยลงมาตามเดิม พระสงฆ์สมภารลงมาถวายไชยมงคลว่า มหาบพิตรพระราชสมภารจะสำเร็จความปราถนา จะครองไพร่ฟ้าอยู่เย็นเป็นศุขทั่วทิศ จึงถวายพระนามว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้งครั้นน้ำหยุดจะลง พระองค์ก็สั่งให้ท้าวพระยาพฤฒามาตย์ทั้งหลายและเสนามนตรีกลับขึ้นไปรักษาพระนคร แต่พระองค์เสด็จไปทรงเรือพระที่นั่งเอกไชยลำเดียว ด้วยอำนาจพระราชกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางหลัง ก็เสด็จไปโดยสดวกจนถึงเขาไพ่ พอจีนทั้งหลายเที่ยวอยู่ในท้อง ทเลนั้นเห็นเป็นอัศจรรย์นัก จึงนำเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้ากรุงจีน ๆ ก็สดุ้งตกใจนัก จึงสั่งให้เสนาผู้ใหญ่ไปดูว่าจะมีบุญจริงฤๅ ๆ ประการใด ให้ประทับสองแห่ง ที่อ่าวนาคคืนหนึ่ง ครั้นเพลาค่ำจีนใช้คนสอดแนมดูว่าจะเป็นประการใด ครั้นไปฟังดูได้ยินเสียงดุริยางคดนตรีคฤกครื้นไป จึงเอาเนื้อความดังนั้นกราบทูล จึงสั่งให้เชิญมาอยู่อ่าวเสือคืนหนึ่งจึงแต่งการรับ ครั้นเพลาราตรีกาล เทพยดาบันดาลดุริยางคดนตรี ครั้นรุ่งขึ้นจึงพระเจ้ากรุงจีนแต่งการกระบวนแห่รับพระเจ้าสายน้ำผึ้งเข้ามา พระราชวัง จีนทั่วประเทศสรรเสริญบุญทั่วไป พระเจ้ากรุงจีนให้ราชาภิเศกนางสร้อยดอกหมาก เป็นพระอัครมเหษีพระเจ้าสายน้ำผึ้ง พระเจ้ากรุงจีนแต่งสำเภา ๕ ลำ กับเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก ให้จีนมีชื่อ ๕๐๐ คนเข้ามาด้วย จึงพระเจ้ากรุงจีนให้เชิญพระเจ้าสายน้ำผึ้งไปเฝ้า ตรัสว่าบ้านเมืองหามีผู้ใดรักษาไม่และเกลือกจะมีศึกมาย่ำยีให้พากันกลับไปพระนครเถิด พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ถวายบังคมลาพานางลงสำเภา สิบห้าวันมาถึงแดนพระนครขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกับพระราชาคณะ ราษฏร เทพนิกร ก็โสมนัศยินดีทั่วไปจึงแต่งการรับเสด็จ พระราชาคณะถานานุกรม ๑๕๐ ไปรับที่เกาะจึงเรียกเกาะพระแต่นั้นมา แล้วก็เชิญเสด็จมาท้ายเมืองที่ปากน้ำแม่เบี้ย และเสนาบดีราชาคณะจึงเชิญเสด็จเข้าพระราชวัง สั่งให้จัดที่ตำหนักซ้ายขวาสำเร็จแล้ว จึงให้เถ้าแก่กับเรือพระนั่งลงมารับนาง ๆ จึงตอบว่า มาด้วยพระองค์โดยยาก มาถึงพระราชวังแล้วเป็นไฉนจึงไม่มารับ ถ้าพระองค์ไม่ลงมารับแล้วไม่ไป เถ้าแก่เอาเนื้อความกราบทูลทุกประการ พระองค์แจ้งดังนั้นก็ว่าเป็นหยอกเล่น มาถึงนี่แล้วจะอยู่ที่นั่นก็ตามเถิด นางรู้ความดังนั้นสำคัญว่าจริงยิ่งเศร้าพระไทยนัก ครั้นรุ่งเช้าแต่งกระบวนแห่มารับ จึงเสด็จพระราชดำเนินมาด้วย ครั้นถึงเสด็จไปบนสำเภารับนาง ๆ ตัดพ้อว่าไม่ไป พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงสัพยอกว่าไม่ไปแล้วก็อยู่นี่ พอตกพระโอษฐลงนางก็กลั้นใจตาย พวกจีนไทยร่ำรักแซ่ไป จุลศักราช ๔๐๖ ปีมโรงฉศก จึงเชิญศพมาพระราชทานพระเพลิงที่แหลมบางกะจะสถาปนาเป็นพระอารามให้นามชื่อวัด พระเจ้าพระนางเชิงแต่นั้นมา

พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงยกพลลงไปขุดบางเตยจะสร้างเมืองใหม่ พระ อาจารย์ห้ามว่าน้ำเค็มนัก ยังไม่ถึงพุทธทำนายสร้างไม่ได้ จึงสร้างวัดน่าพระธาตุถวายพระอาจารย์ แล้วมาสร้างวัดมงคลบพิตร พระเจ้าสายน้ำผึ้งอยู่ราชสมบัติได้ ๔๒ ปี สวรรคต จุลศักราช ๔๒๗ ปีมเสงสัปตศก

พระยาธรรมิกราชาพระราชบุตรพระเจ้าสายน้ำผึ้งได้เสวยราชสมบัติมีช้างเผือกสองช้าง สร้างวัดมุขราช ประชาราษฎรสมณะชีพราหมณ์เกษมศุขทุกชายหญิง เล่นเต้นรำ มิได้มีวิวาทลักฉกกัน ทรงทศพิธ ราชธรรมบำรุงพระพุทธสาสนา ประเทศราชเกรงพระเดชานุภาพยิ่งนักแต่ดอกไม้ทองเงินขึ้นเป็นอันมาก ขนอนอากรบ่อนเบี้ยช่วงเรือลำละ ๑๐ เบี้ย ๔๐ เบี้ย มิให้เรียกแก่ราษฎรล้ำเหลือ ฝนตกตามรดู น้ำงามตามรดู เสวยราชย์ ๔๒ ปี จุลศักราช ๔๕๘ ปีมเมียอัฐศกให้ขุดคลองบางตะเคียนออกไปบางยิหน

จุลศักราช ๖๖๙ ปีขาลเบญจศก เมืองหงษาวดีใช้ให้ผีเป็นพระลอยลงมาทางเมืองเถินลงมาตามลำน้ำ คนทั้งปวงเห็นเป็นอัศจรรย์จึงอาราธนาไว้บูชา พระลอยลงมามิได้อยู่เมืองใด แต่ทำปาฏิหารสมาธิแก่ราษฎรบูชามาทุกเมือง จนเอาเนื้อความกราบทูลพระเจ้าอยู่หัว ครั้นลอยลงมาถึงน่าตำหนัก ลอยอยู่นั้น น้ำก็ไหลลงเชี่ยวทวนน้ำอยู่สั่งให้ตั้งฉัตรราชวัตรสมโภช ชาวพระนครชมชื่นทุกคน เป็นโกลาหลทั่วทิศได้ ๗ วัน พระเจ้าอยู่หัวเสด็จลงไป เชิญพระขึ้นมาประดิษ ฐานไว้ในกรุง กระยาจกชราผู้หนึ่งแอบอยู่ที่ทางเสด็จร้องขึ้นว่า อย่าเสด็จลงไปเลยมิใช่พระ เขาใช้ทำมาดอก เชิญเสด็จกลับเสียเถิดก็เสด็จกลับขึ้นไป จึงให้หาตัวชายชราผู้นั้นหาพบไม่ ก็ตกพระไทยจึงสั่งให้ป่าวร้องให้หาคนชรา

ครั้นอยู่มาบุตรชาวบ้านบางน้ำผึ้งรบให้ตาพาไปไหว้พระลอยที่เขาฦๅกันนั้น จะใคร่ได้เห็น ตาพาลูกหลานมา ครั้นถึงกลางน้ำ ตาผู้นั้นทำให้เหมือนพระลอย ครั้นแล้วก็กลับมา ลูกหลานก็ว่า ตาแกทำพระลอยได้ ข่าวรู้ไปถึงกรุงกราบทูลพระเจ้าอยู่หัว ๆ ให้เอาตัวตาผู้นั้นมา ๆ กราบทูลว่ามิใช่พระ เป็นผีเขาใช้ให้มาดูบ้านเมือง จะขอทำถวาย พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงยอม จึงให้ทำสายสิญจน์มงคล เครื่องเส้นเข้าเปลือกเข้าสารเสร็จแล้ว ก็ลงไปริมน้ำอ่านโองการ ซัด เข้าเปลือกเข้าสารสายสิญจน์วงพระนั้น ๆ ก็จมน้ำไป วุ่นวายเป็นอลหม่านขึ้นกลัวว่าจะเข้าคลองในเมือง จึงสั่งให้สวดพระพุทธมนต์สายสิญจน์กันไว้ทุกคลอง พระนั้นเข้ามิได้ ไปอยู่บางกะจะ ตาแก่นั้นตามไปได้กลิ่น บอกแก่ผู้กำกับว่าอยู่นี้ แต่จะขึ้นไปเมืองเหนือ จึงสั่งให้ทำจั่นดักไว้คลองสะแก แต่เที่ยวหากันอยู่นั้นถึง ๓ วัน ทันกันเข้าที่ปากน้ำประสบจับได้ มัดด้วยสายสิญจน์ ลงไปกราบทูลว่าได้แล้ว จะจัดแจงฆ่าถ่วงเผานั้นหามีพระเกียรติยศไม่ จะได้กลับคืนขึ้นไปหาเจ้าของ พระเจ้าอยู่หัวก็โปรดบัญชาตาม จึงสั่งให้ต่อโลงตอกหมันยาชันให้มั่นคงแล้ว เอาผีใส่ลงในโลง ผนึกยาชันมิให้น้ำเข้าได้ แล้วเอาสายสิญจน์วงพันเส้นวักแล้ว ก็อ่านโองการกำชับว่าใครจะมาทุบตีอย่าให้ออก จงไปถึงเจ้าของ ก็ยกโลงลงน้ำลอยทวนน้ำขึ้นไปถึงเมืองหงษาวดี พระเจ้าอยู่หัวให้หาตาผู้นั้นมาจะปูนบำเหน็จก็หาพบไม่ จุลศักราช ๖๗๑ ปีเถาะเอกศก พระองค์ทรงสร้างวัดกุฎีดาววัด ๑ พระอัครมเหษีทรงสร้างวัดมเหยงค์วัค ๑ พระองค์อยู่ในราชสมบัติ ๙๗ ปี พระองค์สวรรคต ศักราช ๖๗๒ ปีมโรงโทโศก

พระยาเชียงทองเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ว่ายังมีพระอาจารย์พระองค์หนึ่งมาถวายพระพรว่า สมเด็จพระพุทธเจ้ายังทรงพระทรมานอยู่นั้น เสด็จพระราชดำเนินไปสู่ลังกาทวีป เป็นเหตุด้วยพระภิกขุสององค์วิวาทกันสมเด็จพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากเมืองลังกา ทวีปมาสู่พระเชตุพน เมืองสาวัตถี จึงตรัสธรรมเทศนาแก่พระอานนท์ว่า สืบไปเมื่อน่าเมืองสาวัตถี จะกลายเป็นเมืองหงษาวดี เหตุว่าจะมีกษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามชื่อว่าพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช จะสร้างพระมาลีเจดีย์องค์หนึ่งในกลางพระนคร และพระมหากษัตริย์นั้นมีศรัทธายิ่งนักให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ให้คนเข้าสองประตู ออกสองประตู จึงพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชตรัสสั่งชาวพระคลังให้ เอาทองคำมากองไว้ในพระนคร ถ้าคนเข้าไปช่วยทำพระมาลีเจดีย์นั้น ก็ให้รับเอาทองคำตำ ลึงหนึ่งก่อน จึงให้ช่วยทำการ และทุกวันนี้ยังปรากฎมีอยู่ และพระมาลีเจดีย์นั้นอยู่ทิศอุดร พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ครั้นแจ้งประพฤดิเหตุแล้ว ก็มีพระไทยยินดีนัก จุลศักราช ๔๑๓ ปีชวดตรีศก จึงมีพระ ราชโองการตรัสสั่งขุนการเวก และพระยาศรีธรรมราชา ภูดาษราชวัตรเมืองอินทร์ ภูดาษกินเมืองพรหม ยกรบัตรนายเพลิงกำจายนายชำนององครักษ์ นายหาญใจเพ็ชร์ นายเด็จสงคราม ข้าหลวงแปดนายกับไพร่ ๕๐๐ คุมเอาเครื่องบูชาขึ้นไปถวายพระมาลีเจดีย์ และข้าหลวงขุนการเวก ยกออกจากกรุงแต่ณวันพฤหัศบดีเดือนอ้ายขึ้นสิบเอ็ดค่ำ ไปทางสุพรรณบุรีไปถึงบ้านชบา ยกแต่บ้านชบาไปถึงเมืองพระยาเจ็ดตน ยกจากเมืองพระยาเจ็ดตนไปถึงบ้านรังงาม ยกจากบ้านรังงามไปด่านทราง ยกจากด่านทรางไปถึงเจ้าปู่หิน ยกแต่เจ้าปู่หินไปจากแม่น้ำชุมเกรียวนั้น มีพระพุทธไสยาศน์องค์หนึ่งทองสำริดพระองค์ยาวห้าเส้น ขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวงก็ชวนกันเข้าไปนมัสการ จึงตั้งสัจจาธิฐานว่า ขอเดชะพระบารมีพระพุทธไสยาศน์ให้ข้าพเจ้าทั้งปวงนี้ไปถึง ได้นมัสการพระมาลีเจดีย์ในเมืองหงษาวดีสำเร็จความปราถนานั้นเถิด ข้าหลวงทั้งปวงกราบถวายบังคมนมัสการก็ลาออกจากแม่น้ำชุมเกรียว ก็ไปถึงเขาฝรั่งยางหิน ไปถึงตำบลเขาหลวง พอสิ้นแดนกรุงศรีอยุทธยา ไปถึงด่านทุ่งเขาหลวงสิ้นเขตรแดนนับได้ ๓๘ วัน ครั้นแล้วจึงตั้งสัจจาธิฐานอิกครั้งหนึ่ง ยกออกจากที่ขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวง จึงตั้งนมัสการพระศรีรัตนไตรยแล้วก็ยกไปขาดระยะบ้าน ไม่มีผู้คนเดินเลย บ่ายหน้าต่อทิศอุดร เป็นป่าใหญ่เดินไปมาไม่ต้องแดด เป็นทุ่งอยู่กลางเป็นป่าละเมาะ คนทั้งปวงสิ้นอาหาร กินแต่ผลไม้เป็นอาหาร สิ้นหนทาง ๓๐ วัน จึงเข้าเมืองหงษาวดี มีด่านบ้านพราหมณ์รายไปบ้าง ขุนการเวกกับข้า หลวงทั้งปวงเดินต่อ ๆ กันไป สิ้นหนทางนั้น ๓๐ วัน จึงถึงเมือง หงษาวดีนั้น คิดเข้ากันสิ้นทาง ๒ เดือนกับ ๒๑ วัน จึงเข้าเมือง หงษาวดี ขุนการเวกกับพระยาศรีธรรมราชา ข้าหลวงทั้งปวงพากันเข้าไปในพระอาราม พบปะขาวรูปหนึ่ง ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่าอารามนี้ท่านผู้ใดเป็นใหญ่ ปะขาวบอกว่าพระสังฆราชา ขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวง จึงเข้าไปนมัสการพระสังฆราชา ๆ จึงซักไซ้ไต่ถามว่าอุบาสกทั้งปวงนี้มาแต่สถานที่ใดฤๅ ขุนการเวกกราบทูลพระสังฆราชาว่าข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงนี้ เป็นข้าทูลลอองสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงศรีอยุทธยา ๆ มีพระกมลหฤไทยเลื่อมไสศรัทธาในพระมาลีเจดีย์ยิ่งนัก จึงตรัสใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงนี้คุมเอาเครื่องสักการบูชาพอสมควร ขึ้นมานมัสการพระมาลีเจดีย์นั้น พระสังฆราชา ปราไสว่า อาตมภาพขออนุโมทนา ด้วยพระราชทรัพย์แห่งพระองค์นั้นเถิด วันนี้ท่านไปอยู่สำนักนิ์ให้สบายก่อนเถิด ต่อพรุ่งนี้จะให้ปะขาวนำไปนมัสการตามความปราถนา

ครั้นรุ่งเช้าพระสังฆราชาให้ปะขาวนำข้าหลวงทั้งปวงเข้าไปในอาราม ทำประทักษิณพระรเบียงนั้นได้รอบหนึ่ง และพระรเบียงนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัศ ขุนการเวกจึงให้นายน้อยหาญใจเพ็ชร์วัดพระรเบียงข้างหนึ่ง แต่ยาวได้ ๒๐ เส้น ชื่อพระรเบียงยาว ๒ เส้น ๑๐ วา มีพระพุทธรูปรายรอบหล่อด้วยทองสำริดทั้งสิ้น เป็นพระพุทธรูปสูง ๑๐ วา เสาพระรเบียงแปดเหลี่ยม แต่ละเหลี่ยมนั้นวัดได้ ๙ ศอก สูงถึงท้องขื่อวัดได้ ๒๐ วา ก่ออิฐกระชับรักแล้วถือปูน หุ้มด้วยทองแดงหนาสามนิ้ว และที่แปกลอนรแนงรเบียงทำด้วยไม้แก่น พื้นพระรเบียงดาษด้วยดีบุกน่าสิบสองนิ้ว ขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวง ก็เข้านมัสการในพระรเบียง พอเพลาพลบค่ำก็ชวนกันกลับมาที่อยู่

ครั้นเพลารุ่งเช้าพระสังฆราชาให้ปะขาวนำขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวง ขึ้นไปนมัสการพระมาลีเจดีย์ คือองค์พระมาลีเจดียธาตุ ขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวง ก็เข้าไปถึงตีนบันไดใต้พระมหาธาตุ นายหาญใจเพ็ชร์วัดฐานพระมาลีเจดีย์นั้น ด้านหนึ่งยาว ๓๕ เส้น ๕ วาทั้งสี่ด้านยาว ๑๔๑ เส้น บันไดขึ้นพระมาลีเจดีย์นั้นทำด้วยทองแดงตั้งลงกับอิฐ แม่บันไดรอบใหญ่ ๔ กำกึ่ง ลูกบันไดใหญ่รอบ ๓ กำ ปะขาวขุนการเวก ข้าหลวงทั้งปวง ขึ้นไปดูประตูพระมหาธาตุนั้นกว้าง ๒ เส้น สูงได้ ๕ เส้น มีหงษ์ทองคำสี่ตัวเข้าประชุมกันเป็นแท่นรอง พระพุทธรูปบนหลังหงษ์สองร้อยองค์ แต่ล้วนทองคำทั้งแท่ง สูงสองศอก และข้อเท้าหงษ์นั้นใหญ่รอบ ๑๑ กำ ตัวหงษ์นั้นสูง ๑๖ ศอกทำด้วยทองคำทั้งแท่ง และองค์พระมหาธาตุแผ่ทองคำเป็นแผ่นอิฐ หนานั้นสามนิ้วกว้างสามศอกยาวห้าศอก ทองคำหุ้มองค์พระมหาธาตุขึ้นไปจนถึงยอด แล้วเอาลวดทองแดงร้อยหูกันเข้า เอาสายโซ่คล้องเข้าเป็นตาข่ายหุ้มรัดข้างหน่วงขึ้นไปอิกชั้นหนึ่ง และยอดพระมาลีเจดีย์มีลูกแก้วใหญ่ได้ห้าอ้อมมัชฌิมบุรุษ ขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวง ขึ้นแต่เชิงบัน ไดนั้นแต่เช้า ขึ้นไปถึงประตูพระมาลีเจดีย์พอเพลาเที่ยงก็ได้นมัสการแล้วกลับลงมาถึงเชิง บันไดก็พอค่ำ พื้นพระมาลีเจดีย์ซึ่งรองหงษ์เหยียบอยู่นั้นดาษด้วยแผ่นเงินหนาสามนิ้ว กว้างสามศอกเป็นสี่เหลี่ยม ปะขาวบอกข้าหลวงว่า เหล็กกระดูกพระมาลีเจดีย์ที่ร้อยลูกแก้วนั้น ใหญ่รอบ ๑๑ กำ ขุนการเวกจึงถามว่า พระมาลีเจดีย์ใหญ่นักหนาฉนี้คือท่านผู้ใดสร้าง ปะขาวจึงบอกว่า พระพุทธศักราช ๒๑๑ ปี ยังมีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามชื่อพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช สร้างพระมาลีเจดีย์ไว้นั้น ให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ทิศ ให้คนเข้าสอง ประตู ให้ออกสองประตู เอาทองกองไว้ ถ้าผู้ใดรับเอาทองคำตำลึงหนึ่งแล้ว จึงให้ผู้นั้นเข้าไปทำการ ถ้าผู้ใดมิรับเอาทองคำตำ ลึงหนึ่งนั้น ก็มิได้ให้เข้าไปทำการเลย ทำการพระมาลีเจดีย์นั้น แต่คนตกตายทำบาญชีไว้ได้ถึง ๙ โกฏิ และคนตายครั้งนั้น พระอัตถกถาจารย์เจ้าผู้รู้วิสัชนาว่าได้ไปสวรรค์ทั้งสิ้น และขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า เมื่อก่อนนั้นก่อด้วยอิฐฤๅ ๆ ศิลา ปะขาวบอกว่าก่อด้วยอิฐ จึงนำขุนการเวกไปดูอิฐที่เหลือนั้นสักร้อยแผ่น ขุนการเวกก็ให้วัดแผ่นอิฐนั้นน่าสี่ศอกหกนิ้ว โดยกว้างห้าศอก โดยยาวห้าวาสองศอก ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่าในเมืองหงษาวดีนี้ยังมีสิ่งใดประหลาดอยู่บ้าง ปะขาวจึงนำขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวงไปดูบ่อน้ำมันดินน้ำมันงา ขุนการเวกจึงให้วัดบ่อน้ำมันดินนั้น โดยยาวเส้นหนึ่งกับห้าวาจัตุรัศทั้งสองบ่อ ขุนการเวกจึงถามว่าผู้ใดทำไว้ ปะขาวบอกว่าน้ำมันดินนั้น ท้าวมหาพรหมประดิษฐานไว้ สำหรับพระภิกษุสามเณร ปะขาวนางชีทั้งปวง ให้เป็นยาทาแก้เมื่อยขบแก้เจ็บหลัง กับแก้ถีนะมิทธะเงียบเหงาหาวนอน แล้วก็ให้ทานสัตวทั้งหลายกินแก้โรคต่าง ๆ มีเรี่ยวแรงทำการได้สดวก และบ่อน้ำมันงานั้นพระอินทราชาธิราชใช้ให้พระเวศุกรรมเทวบุตรลงมาประดิษฐาน ไว้ให้พระสงฆ์ตามดูหนังสือและบูชาพระศรีรัตนไตรยเจ้า และให้ทานสัตวทั้งหลายตามแต่ผู้ใดจะปราถนา ขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมาหาพระสังฆราช ๆ ว่าพรุ่งนี้จะให้ปะขาวนำไปนมัสการพระเชตุพนมหาวิหาร ข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมาที่อยู่ ครั้นเพลารุ่งเช้า ปะขาวก็นำขุนการเวกและข้าหลวงทั้งปวงไปที่พระเชตุพนมหาวิหาร และบันไดนั้นขุนการเวกให้วัด บันไดก่ออิฐโดยกว้างได้ ๑๗ เส้นกับ ๑๐ วา แต่เชิงบันไดขึ้นไปบนถนน ๑๕ เส้น ถนนยาวได้ ๑๗ เส้นกับ ๑๐ วา ปะขาวก็พาเข้าไปในพระเชตุพนชั้นในกว้าง ๓๐ เส้นกับ ๑๐ วา เสาก่อด้วยอิฐเป็นแปดเหลี่ยม วัดดูแต่เหลี่ยมหนึ่งได้เจ็ดวา แต่ประตูพระเชตุพนเข้าไปจนถึงพระอาศนบัลลังก์ ที่ตรัสพระธรรมเทศนา วัดได้ ๓๗ เส้นกับ ๑๐ วา ด้านแปพระเชตุพนยาวได้ ๗๕ เส้น เสาสูงถึงท้องขื่อวัดได้ ๑ เส้น ๑๐ วา พระรัตนบัลลังก์อยู่หว่างกลางห้องหนึ่งนั้น พื้นบนดาษด้วยทองคำหนาสามนิ้ว มีพื้นลดลงมาอิกห้องหนึ่งดาษด้วยนากหนาสามนิ้ว มีพื้นลดลงมาอิกชั้นหนึ่ง ดาษด้วยเงินหนาสามนิ้ว รอบรัตนบัลลังก์ทั้งสี่ด้าน ที่อาศนพระสงฆ์กว้างสามเส้น พื้นนั้นดาษด้วยเงินหนาสามนิ้ว ที่พื้นบริสัชนั่งนั้น ดาษด้วยดีบุกหนาห้านิ้ว นับเสาพระเชตุพนได้ ๓๐๐๐ เสา มีกำแพงแก้วรอบพระเชตุพนสูงสิบวา ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า พระเชตุพนนี้ท่านผู้ใดสร้าง ปะขาวบอกว่าอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวายแด่สมเด็จพระพุทธเจ้า ที่อันนี้เป็นที่สวนเจ้าเชต จึงให้ชื่อพระเชตุพน มหาวิหาร ตามนามพระราชกุมารผู้เจ้าของสวน มหาเศรษฐีสร้างสิ้นทรัพย์ถึง ๔๔ โกฏิ สร้างพระเชตุพนขึ้นจนสำเร็จ มหาเศรษฐีจ้างแต่คนในเรือนแห่งมหาเศรษฐีนั้นเองให้ทำการจ้าง ทองคำเสมอคนละตำลึงทอง คนในเรือนมหาเศรษฐีนั้น นับได้ ๑๒ อักโขภินี มหา เศรษฐีนั้นอยู่ปรางคปราสาทเจ็ดชั้น มีกำแพงแก้วสูงสองวา ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานั้น พระสงฆ์และบริสัชนั่งเต็มพระเชตุพนฤๅมิได้ ปะขาวบอกว่าเมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานั้น พระสงฆ์และบริสัชเต็มออกไปจนกำแพงแก้วแล้วยังมิพอ บริสัชยังเหลืออยู่นั้นก็เป็นอันมากปะขาวกับขุนการเวกและคนทั้งปวงก็กลับมา ขุนการเวกให้วัดทางแต่พระเชตุพนมาถึงพระมาลีเจดีย์ เป็นทาง ๒๕ เส้น ก็พากันมานมัสการพระสังฆราชา ๆ ก็ปราไสว่า อุบาสกไปนมัสการพระเชตุพนเห็นสนุกดีอยู่ฤๅ ขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวงจึงกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงได้มาพบมาเห็นทั้งนี้ ก็เป็นบุญลาภแก่ข้าพระพุทธเจ้านักหนา ได้มานมัสการบูชาเกิดความยินดีหาที่สุดมิได้ พระสังฆราชาจึงสั่งให้ปะขาวนำไปดูรฆังทองหล่อหนา ๑๑ นิ้ว ปากกว้าง ๕ วา ๒ ศอก สูง ๑๑ วา ไม้ตีรฆังใหญ่รอบ ๓ กำยาว ๓ วา โรงรฆังสูง ๑๕ วา เสานั้นไม้แก่น ข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมานมัสการพระสังฆราชา ขุนการเวกจึงถามว่าพระสงฆเจ้ามีสักกี่อาราม เป็นพระสงฆ์มากน้อยสักเท่าใด พระสังฆราชาจึงบอกว่า พระสงฆ์มีแต่อารามเดียวเท่านี้ มีบาญชีมีพระวรรษาเป็นพระสงฆ์ ๒๐๐๐๐๐ กับ ๓ พระองค์ พระสังฆราชาจึงถามขุนการเวกว่าพระสงฆเจ้ากรุงศรีอยุทธยานั้น ผ้าอันใดเป็นผ้าพระสมณะสำรวม ขุนการเวกกราบทูลว่า พระสงฆ์ในกรุงศรีอยุทธยา ฝ่ายคันถธุระทรงผ้ารัตตกัมพลแดง ฝ่ายวิปัสนาย่อมทรงเหลือง พระสังฆราชาก็ว่า ทรงผ้ารัตตกัมพลแดงนั้นได้ชื่อว่าพระพุทธชิโนรสแท้จริง และพระสังฆราชาว่าในเมืองหงษาวดีนั้นทรงผ้าแดงทั้งสิ้น พระสังฆราชาจึงเขียนอักษร ส่งให้กับขุนการเวกนั้นตัว ๑ ถ้าจะว่าเป็นอักษรขอมเรียกว่าตี ว่าตามอักษรไทยเรียกตามตัวว่าเลขเจ็ด ก็พิเคราะห์โดยธงไชยก็ได้ทั้งสามตัวนั้นและ เลขเจ็ดตัวนั้นได้แก่เมืองหงษาวดี ตีนั้นได้แก่เมืองลังกาทวีป ตะนั้นได้แก่กรุงศรีอยุทธยาเหตุว่าเป็นเมืองท่าน้ำ ต่ำกว่าเมืองเชียงใหม่ ๑๕๐ เส้น พระสังฆราชาจึงเขียนเป็นบาฬีแปลตัดบทพิเคราะห์เป็นคำไทยส่งให้ขุนการเวก ให้เอาลงไปถวายสมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยาโพ้นเถิด ขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวงอยู่ได้ประมาณ ๒๕ วัน และคนซึ่งไปด้วย ๕๐๐ นั้น ที่ประมาทไม่ตั้งอยู่ในศีลกล่าวมุสาทำปาณาติบาต ตายเสียที่ตามระยะทาง ๓๐๐ คน ที่เห็นสบายสนุกนั้นก็ลาบวชอยู่ณเมืองหงษาวดี ๕๐ คน ขุนการเวกพระยาธรรมราชาข้าหลวงแปดนาย กับไพร่ ๑๕๐ ก็กราบลาพระสังฆราชา กลับคืนมายังกรุงศรีอยุทธยา ครั้นถึงแล้วก็เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็กราบทูลแจ้งประพฤดิเหตุ ซึ่งพระสังฆราชาจดหมายสั่งมานั้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหนังสือพระสังฆราชานั้น พระเจ้าอยู่หัวมีพระไทยปรีดาภิรมย์หรรษายิ่งนัก ทรงพระกรุณาตรัสถามข้าหลวงทั้งปวงต่าง ๆ แล้วพระราชทานรางวัลต่าง ๆ ตามควร ขุนการเวก พระยาธรรมราชา ภูดาษวัดเมืองอินทร์ ภูดาษกินเมืองพรหม นายเพลิงกำจาย นายชำนององครักษ์ นายหาญใจเพ็ชร์ นายเด็จสงคราม กับไพร่ ๑๕๐ คน บรรดามาด้วยกันทั้งสิ้นนั้น ก็กราบถวายบังคมลาบวช ทรงพระกรุณาโปรดให้บรรพชา ตามเลื่อมไสศรัทธา

ขณะนั้นพระยากง ได้ครองเมืองกาญจนบุรี พระอัครมเหษีทรงพระครรภ์ ให้หาโหรมาทำนายว่าจะเป็นหญิงฤๅชาย โหรพิเคราะห์ดูก็รู้ว่าจะเป็นพระราชกุมาร โหรจึงกราบทูลว่า พระราชกุมารนี้มีบุญมากนัก ใจก็ฉกรรจ์ จะฆ่าพระราชบิดาเสียเป็นมั่นคง ครั้นทรงพระครรภ์แก่ กำหนดจะประสูตรพระราชกุมาร พระราชบิดาเอาพานรับพระราชกุมาร พระนลาตกระทบขอบพานเป็นรอยบู้อยู่เป็นสำคัญ พระยากงมาคิดแต่ในพระไทยว่าจะเอากุมารนี้ไว้มิได้ พระยากงให้เอาพระราชกุมารไปฆ่าเสีย มารดารู้ว่าพระราชบิดาจะเอาบุตรไปฆ่าเสีย นางคิดกรุณาแก่บุตรยิ่งนัก จึ่งทำอุบายถ่ายเทปกปิดเสียให้กลบเกลื่อนสูญไปด้วยความคิดของนาง จึงลอบเอากุมารราชบุตรอายุ ๑๑ เดือนไปให้ยายหอมเลี้ยงไว้ ครั้นจำเริญไวยใหญ่ขึ้น ยายหอมจึงเอากุมารไปให้พระยาราชบุรีเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม พระยาราชบุรีให้ดูและการงานเบ็ดเสร็จทุกสิ่ง ครั้นถึงเทศกาลเอาดอกไม้ทองเงินไปถวายพระยากงทุกปีมิได้ขาด บุตรบุญธรรมจึงถามว่า ทำไมเอาดอกไม้ทองเงินไปให้พระยากาญจนบุรีด้วยเหตุอันใด พระยาราช บุรีบิดาเลี้ยงจึงว่าเราเป็นเมืองขึ้นแก่เขา พระราชบุตรตอบว่า ไม่เอาไปให้นั้นจะเป็นประการใด พระยาราชบุรีว่าไม่ได้ เขาจะว่าเราคิดขบถ จะยกทัพลงมาจับเราฆ่าเสีย พระราชบุตรว่ากลัวอะไร พระยาราชบุรีก็นิ่งอยู่ ถึงปีแล้วหาเอาดอกไม้ทองเงินไปไม่ พระยากงเจ้าเมืองกาญจนบุรี เห็นว่าพระยาราชบุรีเป็นขบถ เกณฑ์พลลงมาจะจับพระยาราชบุรีฆ่าเสีย ครั้นพระยาราชบุรีรู้ดังนั้น จึงเกณฑ์คนประจำน่าที่ ให้บุตรบุญธรรมเป็นแม่ทัพ ยกออกรับทัพพระยากาญจนบุรี ๆ ครั้นมาใกล้ประมาณ ๓๐ เส้น ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้แล้วให้มีหนังสือให้คนถือเข้าไปถึงพระยาราชบุรีเป็นใจ ความว่า ให้พระยาราชบุรีออกมาหาเรา แม้นมิออกมาหาเราจะปล้นเอาเมือง พระยาราชบุรีทราบดังนั้น ปฤกษากับบุตรบุญธรรมว่าจะคิดประการใดดี ราชบุตรจึงว่าจะขออาสาชนช้าง พระราชบิดาก็จัดช้างพลายงางอนสูง ๖ ศอกผูกเครื่องมั่น ให้บุตรบุญธรรมเป็นนายทัพ ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกออกไป พระยากงเห็นดังนั้น ก็ผูกช้างพลายมงคลออกมาท่ามกลางพล เข้าโจมไล่ช้างพระราชกุมาร ๆ รับช้างพระยากง ๆ เสียทีขวางตัวทานบมิอยู่ พระราชกุมารจ้วงฟันพระยากงตายกับฅอช้าง ไพร่พลนายทัพนายกองแตกรส่ำรสายหารับไม่ หนีไปเมือง พระราชกุมารขับพลไล่รุกขึ้นไปถึงเมืองกาญจนบุรีเข้าล้อมเมืองไว้ แล้วเข้าปล้นเอาเมืองได้ โหรา ปโรหิตจึงยกพระราชกุมารขึ้นครองราชสมบัติ ทรงพระนามชื่อพระยาพาน ครั้นเข้าประถมยาม พระยาพานก็เข้าไปข้างใน ตั้งใจหมายจะสังวาศด้วยมารดา ก็เข้าไปในตำหนัก วิฬาร์แม่ลูก ๆ ร้องจะกินนม แม่ห้ามลูกไว้ว่าอย่าร้องไป ดูลูกเขาจะเข้าหาแม่ พระยาพานก็สดุ้งตกใจ ไฉนวิฬาร์มาร้องดังนี้ก็ถอยออกมา ครั้นถึงทุติยยามก็กลับเข้าไปอิก ม้าแม่ลูกอยู่ที่ใต้ถุน ลูกนั้นร้องจะกินนม แม่ม้าจึงว่า อย่าเพ่อกินก่อน ดูลูกเขาจะเข้าไปหาแม่ พระยาพานตกใจ เหตุ ไฉนม้าจึงว่าดังนี้ ก็ถอยออกมา ครั้นถึงตติยยาม ก็กลับเข้าไปอิกถึงมารดา ๆ จึงถามว่าท่านเป็นบุตรผู้ใด พระยาพานบอกว่าเป็นบุตรพระยาราชบุรี มารดาจึงถามว่า พระยาราชบุรีได้มาแต่ไหน เจ้านี้เป็นลูกของข้า เมื่อประสูติบิดาเอาพานทองรับ พระภักตร์กระทบพานเป็นรอยบู้อยู่ ถ้ามิเชื่อส่องพระฉายดูเถิด พระองค์คือลูกของข้า โหรทำนายว่ามีบุญนัก บิดาจึงให้เอาเจ้าไปฆ่าเสีย แม่จึงเอาไปฝาก ยายหอมไว้ พระยาพานได้สำคัญเป็นแน่ก็ทรงพระกรรแสงว่าได้ผิดแล้วฆ่าบิดาเสียดังนี้เศร้า พระไทยนัก จึงตรัสว่ายายหอมหาบอกให้รู้ไม่ก็ให้เอายายหอมไปฆ่าเสีย แร้งลงกิน จึงเรียกว่าท่าแร้งมาจนคุ้มเท่าบัดนี้

ขณะเมื่อพระยาพานฆ่าบิดากับยายเลี้ยงคิดเป็นเวร ตั้งแต่ทำบุญให้ทานแก่ยาจกวรรณิพกมิได้ขาดเป็นนิตย์ พระอัครมเหษีมีครรภ์แก่ประสูติพระกุมารพระองค์หนึ่ง พระองค์เสน่หาในพระราชบุตรเป็นกำลัง จึงทรงพระดำริห์ว่าบิดารักเราผู้บุตร เหมือนหนึ่งเรารักพระราชโอรสเราฉะนี้ มิควรที่เราจะกระทำเลย เพราะว่าเราเป็นคนโมหจิตร มิได้คิดให้ผิด ด้วยเราหารู้ไม่ฉะนี้ ก็เสียพระไทยสลดลง จึงปฤกษากันว่าทำไฉนจึงจะล้างกรรมเวรอันนี้ได้ ทรงพระดำริห์ว่ายังเห็นอยู่แต่องค์พระคิริมานนท์พอจะส่องสว่างได้ จึงให้อำมาตย์ราชเสวกาไปอาราธนาพระคิริมานนท์ และพระองคุลิมาล มาฉันในพระมณเฑียรสถานให้ได้โดยเร็ว อำมาตย์ก็ชวนกันไปเที่ยวอาราธนาพระคิริมานนท์ พระองคุลิมาล ซึ่งได้พระอรหัตตรัสรู้ธรรมพิเศษ เข้ามารับบิณฑบาตฉันในพระราชวัง ครั้นเพลาเช้าก็เข้าไปในพระราชวัง พระยาพานกราบนมัสการ ถวายเครื่องสูปะพยัญชนะแล้วเสร็จ ยกพระหัดถ์ขึ้นนมัส การตรัสถามพระผู้เป็นเจ้าว่า โยมนี้เป็นคนมืดมนท์หารู้จักคุณและโทษไม่ ฆ่าบิดาเสียฉะนี้ผิดนักหนาแล้ว โยมนี้ทำผิดจะคิดหาความชอบ ฉะนี้เห็นจะเป็นประการใด พระมหาเถรทั้งสองถวายพระพรว่า มหา บพิตรทำให้ผิดประเพณีให้เป็นครุกรรมถึงบิตุฆาฏ จะไปสู่มหาอเวจีช้านานนัก นี่หากว่าพระองค์รู้สึกตัวว่าทำผิดคิดจะใคร่หาความชอบ จะให้ตลอดไปนั้นมิได้ แต่ว่าจะบำบัดเบาลง ๑๐ ส่วนเท่า คงอยู่สักเท่าส่วน ๑ ให้ก่อพระเจดีย์สูงชั่วนกเขาเหินจะค่อยคลายโทษลง พระยาพานได้ฟังดังนั้นก็เลื่อมไสศรัทธา พระมหาเถรทั้งสองก็ลาไปอาราม ครั้นพระมหาเถรไปแล้ว จึงดำรัสสั่งให้เสนาบดีคิดการสร้างพระเจดีย์ใหญ่สูงชั่วนกเขาเหิน สร้างวัดเบื้องสูงท่าประธมทำพระวิหาร ๔ ทิศไว้พระจงกรมองค์ ๑ พระสมาธิทั้ง ๓ ด้าน ประตูแขวนฆ้องใหญ่ปากกว้าง ๓ ศอกทั้ง ๔ ประตู ทำพระรเบียงรอบพระวิหาร แล้วบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระเจดีย์ใหญ่เสร็จแล้ว ฉลองเล่น มโหรศพครบ ๗ วัน ๗ คืน ให้ทานยาจกวรรณิพกแล้ว ให้บุรณพระแท่นประสูติพระพุทธเจ้าณเมืองโกสินาราย

จุลศักราช ๕๕๒ ปีเถาะโทศก พระยาพานยกทัพขึ้นไปเมืองลำพูนไปนมัสการพระบรมธาตุพระพุทธเจ้า ถึงสามปีแล้วก็ยกทัพกลับลงมาเมืองใต้ จึงปรายเงินทองต่างเข้าตอกดอกไม้ ถวายพระบรมธาตุ มาทุก ๆ ตำบล มาแต่เมืองลำพูนลำปาง ลงมาทางเดิมบางนางบวชจนถึงเมืองนครไชยศรีสิ้นเก้าปี รู้ทั่วกันว่าพระยาราชบุรีเป็นบิดาเลี้ยงจะมาจับ ก็ยกทัพหนีขึ้นไปยังประเทศราช เสนาบดีจึงเชิญขึ้นครองราชสมบัติ ๔๙ ปีสวรรคต จุลศักราช ๖๖๙

มีพระราชบุตรองค์หนึ่ง เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายยกพระราชกุมารขึ้นเสวยราไชสวรรยาธิปัติ ถวายพระนามพระพรรษา ราษฎรเป็นศุขยิ่งนัก ตั้งแต่นั้นมาได้ ๙๐ ปี สร้างวัดศรีสรรเพชญ์ วัดสวนหลวง พระองค์เสด็จสวรรคต จุลศักราช ๙๐๖ ปีวอกฉศกพระรามบัณฑิตย์ได้เสวยราชสมบัติ ถวายพระนามสมเด็จพระรามพงษ์บัณฑิตย์อุดมราชาปิ่นเกล้าพระเจ้าอยู่หัว เสด็จยังพระที่นั่งจัตุรมุขเบื้องบุรพา จึงมีพระราชโองการ ตรัสแก่ขุนวิชาชำนาญธรรมเป็นนักปราชผู้ใหญ่ว่าด้วยจุลศักราชนั้น มากำกับอยู่ด้วยพระพุทธศักราชนั้นหาควรไม่ ไปภายน่า กุลบุตรจะเกิดมาเมื่อภายหลัง น้ำใจก็จะกระด้างทั้งปัญญาก็จะน้อย ทั้งมิจฉาทิฐิก็จะมากกว่าสัมมาทิฐิ ครั้นจะไว้จุลศักราชต่อไปบัดนี้ พระพุทธศักราชจะฟั่นเฟือนไป ด้วยมิจฉา ทิฐิ จะยกย่องแต่ฝ่ายจุลศักราช พระพุทธจักรก็จะอยู่ในอำนาจอาณาจักร ทั้งอายุสัตวก็จะถอยจากเดือนปี ประเพณีจะแปรปรวนไปทุกที จึงมีพระราชโองการดำรัสแก่มหาโชติพราหมณ์กับขุนวิชาชำนาญธรรม ให้ยกจุลศักราชออกเสีย ให้ตั้งพระพุทธศักราชไว้เป็นกำหนดสืบไป พระพุทธศักราชล่วงได้ ๙๕๕ พรรษานักษัตรกุกกุฏะสังวัจฉรศรีธนญไชยสร้างวัดโลกสุธาพระใจร้าย พระพุทธศักราชได้๙๕๗พรรษา นักษัตรสังวัจฉร พระสังฆราชลงมาแต่เมืองหงษาวดี จะลงมาถามถึงอัตถกถาจะเสื่อมสูญฤๅยัง ผู้ใดจะทรงไว้ได้ทั้งพระไตรปิฎก อยู่วัดโพธิ์หอม

ขณะนั้นองค์อินทร์เป็นเชื้อมาแต่พระยากาฬปักษ์ มาได้ราชสมบัติได้ ๓๕ ปี สร้างวัดน่าพระเมรุ ไว้เป็นหลักพระพุทธสาสนา จุลศักราช ๙๐๐ ปีชวดสัมฤทธิศกเสด็จสวรรคต

ขณะนั้นพระเจ้ากาแต เป็นเชื้อมาแต่นเรศร์หงษาวดี ได้มาเสวยราชสมบัติ แล้วมาบุรณวัดโปรดสัตววัดหนึ่ง วัดภูเขาทองวัดหนึ่ง วัดใหญ่วัดหนึ่ง สามวัดนี้แล้ว จึงให้มอญน้อยเป็นเชื้อมาแต่พระองค์ ออกไปสร้างวัดสนามไชย แล้วมาบุรณวัดพระปาเลไลยในวัดลานมะขวิด แขวงเมืองพันธุมบุรีนั้น ข้าราชการบุรณวัดแล้ว ก็ชวนกันบวชเสียสิ้นสองพันคน จึงขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองสองพันบุรี แล้วพระองค์จึงยกนาเป็นส่วนสัดวัดไว้ พระองค์อยู่ในศิริราชสมบัติ ๔๐ ปีจึงสวรรคต จุลศักราช ๕๖๕ ขาลเบญจศก

พระยาอู่ทองกับพระเชษฐา และราชบุตรกับครอบครัวยกลงมาแต่เมืองฉเชียงหลวง มาณเมืองสวรรคเทวโลกลงมายังกรุง ครั้นลงมาถึงที่อันหนึ่ง ครั้นเห็นสงบเงียบอยู่ ก็ยกไปท้ายเมืองฝั่งใต้จึงตั้งที่ประทับพลับพลาอยู่ที่นั้น ราษฎรนั้นนับถือว่าเป็นผู้มีบุญ ก็เข้าประชุมสโมสรพร้อมกัน จึงยกให้เป็นเจ้าแผ่นดิน บังคับบัญชาราชการตามประเพณีอย่างธรรมเนียมมาแต่ก่อน ครั้นเรียบราบสำเร็จแล้ว จึงยกพระเชษฐาธิราชให้ครองเมืองสุคันธคีรี พระเจ้าท้องลันราชเป็นประถมกษัตริย์สืบมา พระยาสุคันธคีรีเจ้าเมืองเชียงใหม่ จะใคร่หาภรรยาให้แก่บุตรเป็นอัครมเหษี พระยาสุคันธคีรีให้หาโหรามาพิเคราะห์ดูจะอยู่ทิศใด โหรกราบทูลว่าคู่ต่างเมือง มีผู้มาบอกข่าวว่าบุตรพระยาอู่ทองคนหนึ่งงามดังนางสวรรค์ เจ้าไชยทัตจะใคร่ได้เป็นพระอัครมเหษี จึงเอาเพศเป็นเถร เจ้าไชยเสนผู้น้องเป็นภิกษุไปเพื่อน พากันมาสองคน ครั้นมาถึงราชธานีเข้าแล้วก็อาไศรยอยู่ริมพระราชวัง ฟังดูคนทั้งหลายในเมืองจะพูดจากันเป็นประการใด ก็ลาเพศเป็นเถรแล้ว ก็ปลอมเข้าไปในวัง จะเข้าวังนั้นมิได้ เห็นแต่ต้นพิกุลอยู่ริมกำแพงวัง ก็ปีนข้ามกำแพงวังเข้าไป กำบังกายมิให้คนเห็นเจ้าจึงเข้าไปหานาง ๆ จึงถามว่าท่านนี้เป็นบุตรผู้ใด พระองค์จึงบอกว่าเรานี้เป็นบุตรพระเจ้าเชียงใหม่ พี่จะใคร่ได้นางเป็นอัครมเหษี แต่ไปมาหากันจนมีครรภ์แก่ พระยาอู่ทองพิจารณาดูเห็นผิดประหลาดอยู่ ครั้นจะว่ากลัวลูกจะน้อยใจ พระทวารถึงเจ็ดชั้นยังเข้ามาได้ผิดประหลาดนัก เห็นอยู่แต่ท่อน้ำ ทรงพระดำริห์ฉนั้นแล้ว ก็สั่งให้ทำลอบเหล็กใบหนึ่ง ดักไว้ที่ท่อน้ำ เจ้าไชยทัตหาทันรู้ไม่ เคยประดาน้ำเข้าไปก็ติดลอบตาย พระยาอู่ทองใช้คนไปดู เห็นเจ้าไชยทัตตายอยู่ จึงว่าทำผิดคิดมิชอบเข้าลอบตายเอง จึงให้เอาศพนั้นมาเห็นรูปงามนักหนา จะเป็นเชื้อกษัตริย์องค์ใดเสียดายนัก จึงทรงดำริห์ว่าจะมาแต่ผู้เดียวฤๅ ก็ให้เที่ยวหาดู ครั้นมาพบน้องชายเข้าที่วัดรามวาศ เอาตัวมาถึงวังก็รู้ว่าเป็นบุตรพระเจ้าเชียงใหม่ จึงให้ลาผนวชออกแล้ว ก็ราชาภิเศกกับพระราชบุตรี

พระยาอู่ทองตรัสแก่เสนาบดีว่า พระตำหนักเวียงเหล็ก ให้หาที่ไชยภูมิจะสร้างเมืองใหม่ จึงให้อำมาตย์ข้ามไปฝั่ง ที่ฝั่งเกาะตรงวังข้ามเกณฑ์ไพร่ถางแผ้ว พอพบพระฤๅษีองค์หนึ่งอยู่ในดงโสนริมหนองน้ำ ทรงนามชื่อสักธรรมโคดม ๆ จึงถามคนถางว่าจะทำเป็นประการใด ในแว่นแคว้นของเราฉะนี้ คนแผ้วถางจึงบอกว่า พระมหากษัตริย์จะสร้างเมืองใหม่ พระฤๅษีจึงว่าเรามาอยู่สถานที่นี้ก็นานมาแล้ว แต่พระพุทธเจ้ายังสร้างพระบารมีอยู่จนได้ตรัสได้ ๙๑๗ ปี แล้ว จะมาสร้างเมืองดีอยู่แล้ว เราก็จะลาไปอยู่เขาแก้วบรรพต แต่ที่อันนี้เป็นที่กองกูณฑ์อัคคี หาเป็นที่ไชยภูมิไม่ ให้ไปข้างทิศหรดีเป็นที่ไชยภูมิดี มีต้นหมันเป็นสำคัญอยู่ต้นหนึ่ง จึงให้อำมาตย์ไปเที่ยวดูได้เห็นเป็นแน่ ก็นำเอาเหตุทั้งนี้มากราบบังคมทูล ทรงทราบจึงให้หาเสนาพฤฒามาตย์มาสโมสรพากันไปหาพระดาบศ ว่ามหากระษัตราธิราชเจ้าให้อาราธนาเข้าไปในพระราชวัง พระดาบศเธอจึงตอบว่าเรายังหาเข้าไปไม่ ท่านจงจัดให้คนไปตัดไม้มากองกูณฑ์อัคคีดูให้รู้เหตุ จึงอำมาตย์เสนาบดีทั้งหลายทั้งปวงก็ใช้ให้คนไปตัดไม้มา ตามคำพระดาบศสั่งทุกประการ แล้วพระดาบศจึงให้จุดเพลิงเผาไม้ฟืน ซึ่งกองไว้นั้นรุ่งโรจน์ เปลวเพลิงสูงเท่าต้นตาล รัศมีสว่างรุ่งเรืองไปทั่วประเทศ ครั้นเพลิงสงบเป็นปรกติค่อยบันเทาลงแล้ว พระดาบศก็เอาน้ำพระวิศณุมนต์มาประพรมกองกูณฑ์อัคคีแล้ว พระดาบศจึงว่าแก่เสนา บดีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า จะมีกษัตริย์ไปภายน่านั้นเป็นอันมากจะเป็นเมืองท่าสำเภา แต่ทว่าจะเกิดยุทธนาการไม่รู้วาย ครั้นว่าเท่าดังนั้นแล้ว จึงให้อำมาตย์เสนาบดีผู้ใหญ่ กลับมากราบทูลพระมหากษัตริย์เถิด เสนาบดีผู้ใหญ่ก็ชวนกันไปกราบทูลประพฤดิเหตุ ซึ่งได้เห็นนั้นสิ้นทุกประการ ครั้นเพลารุ่งเช้าจึงให้อำมาตย์ผู้ใหญ่ออกไปอาราธนาพระดาบศเข้ามาใน พระราชวัง อำมาตย์เสนาบดีผู้ใหญ่ก็ไปพร้อมกันตามรับสั่ง ครั้นถึงที่นั้นหาพบพระดาบศไม่ จึงให้คนเที่ยวค้นหาไปทุกแห่งทุกตำบลก็หาพบไม่ จึงสั่งให้เสนาบดีผู้ใหญ่ไปแผ้วถางให้ราบรื่นเป็นอันดี

(ต่อนี้เป็นเรื่องท้าวอู่ทอง และมีเรื่องเจ้าไชยทัตไชยเสน ความซ้ำกับข้างต้น)

และในเมืองพระยาแกรกมาอยู่ ครั้นสิ้นบุญพระยาแกรกแล้ว ก็ถอยลงมาถึงสามชั่วพระยาแล้ว ยังแต่ผู้หญิงอันสืบตระกูล และเศรษฐีทั้งสอง คือ โชดกเศรษฐี และกาลเศรษฐี ๆ ทั้งสองคนนี้คิดอ่านด้วยกันแล้ว จึงเอาเจ้าอู่ทองลูกโชดกเศรษฐีประสมด้วยกันกับพระราชธิดาให้ครองเมืองนั้น ได้เจ็ดปี ห่าลงเมือง โคกระบือช้างม้าตาย และคนทั้งหลายก็ตายพิปริตหนักหนา อำมาตย์จึงทูลแก่ท้าวอู่ทองว่าไพร่พลเมืองตายเป็นอันมาก พระองค์จึงให้ยกพลช้างม้าออกจากพระนครเมื่อเที่ยงคืน ว่าสถานที่ใดสบายเราจะไปสร้างเมืองอยู่ในที่นั้น และไปข้างฝ่ายทักษิณได้ ๑๕ วัน จึงถึงแม่น้ำอันหนึ่ง และเห็นเกาะอันหนึ่งเป็นปริมณฑลงามและจะข้ามมิได้ จึงให้ตั้งทัพตามริมน้ำ ทั้งไพร่พลทั้งหลาย ตรัสสั่งอำมาตย์ให้ไปตัดเรือจะข้ามน้ำเข้าหาเกาะ ครั้นได้เรือแล้ว เสนาอำมาตย์ไพร่พลช้างม้าข้ามมาหาเกาะแล้ว จึงบุกป่าโสนเข้าไปกลางเกาะ เห็นดาบศตนหนึ่งอยู่ในใต้ต้นไม้ พระยาก็ตรัสปราไสด้วยดาบศ และพระยาจึงถามว่าเจ้ากูมาอยู่ที่นี้ ช้านานและฤๅ ๆ พึ่งจะมาอยู่ พระดาบศจึงบอกว่าเรามาอยู่ที่นี้ แต่ครั้งพระพุทธเจ้ายังทรมานมีพระชนม์อยู่ อายุเราได้ ๑๕๐ ปีแล้ว และบาจารย์ เราสองคน คนหนึ่งไปตายในเขาสรรพลึงค์ คนหนึ่งไปตายในพนมภูผาหลวง ยังแต่เราผู้เดียวนี้และ เมื่อพระพุทธเจ้ามาถึงนี่ เราได้นิมนต์ให้นั่งบนตอตะเคียน อันลอยมาค้างอยู่ในที่นี่ เราก็ถวายมะขามป้อมสมอแก่พระพุทธเจ้า ๆ จึงแย้มพระโอษฐ พระอานนท์จึงทูลถามพระพุทธเจ้า ๆ จึงมีพระพุทธฎีกาตรัสแก่พระอานนท์ว่า ฐานที่นี้จะเป็นเมืองอันหนึ่ง แต่เรามาหกโยชน์ เขาก็เรียกว่าศรีอโยทธยา พระพุทธเจ้ามีพระบัณฑูรไว้ดังนี้ ครั้นพระดาบศบอกแล้ว พระยายินดีนักหนา พระยาเสด็จไปเลียบดูที่จะตั้งพระราชวังและเรือนหลวง และตั้งกำแพงและค่ายคูไปรอบเมือง และแต่งพระราชวังแล้ว พระองค์จึงเสด็จไปสู่เมือง กับด้วยสนมชาวแม่ แพทย์พราหมณาจารย์ทั้งหลายเข้ามาเมือง

และสมเด็จท้าวอู่ทองเมื่อเข้าไปในเมืองวันนั้น พระดาบศยังเข้าฌานสมาบัติบูชากูณฑ์ใต้ต้นไม้ สถานนอกอาศรม ครั้นพระยาไปพระดาบศก็ออกจากฌานในวันนั้น ครั้นณวันอาทิตย์เดือนอ้ายขึ้นหกค่ำปีมะโรงโทศกเพลาเช้า พระดาบศจึงเขียนรูปเมืองด้วยถ่านเพลิง ทิ้งเพลิงขึ้นไปในอากาศตกลงมา และบลิ้นออกเป็นทางสามแพร่ง แสดงให้เป็นอุบัติเหตุว่า ผู้ใดเกิดในที่นั้นย่อมมุสาวาท ความจริงน้อยไป และพระยาอู่ทองได้ยินแล้วก็กำหนดไว้แต่ในใจ และพระดาบศจึงบอกแก่พระยาอู่ทองว่า เราจะอยู่ด้วยบพิตรมิควรแก่เรา สถานที่นี้เป็นของท่านเถิด เราจะลาท่านขึ้นไปรักษาพระพุทธบาทพระพุทธเจ้าอยู่กว่าจะสิ้นชีวิตรเรา ครั้นพระดาบศว่าแล้วก็เข้าฌานสมบัติ ออกจากฌานแล้วก็ขึ้นไปที่พระพุทธบาทแล้ว ก็เข้านิพพานในที่นั้น

ท้าวอู่ทองก็ครองเมืองศรีอโยทธยาเป็นศุข มีพระราชบุตรสามพระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าอ้าย องค์หนึ่งชื่อเจ้ายี่ องค์หนึ่งชื่อเจ้าสามจำเริญใหญ่มามีรูปอันงามประกอบด้วยปัญญา และท้าวพระยาทั้งหลายก็กลัวอานุภาพเธอนักหนา เจ้าอ้ายไปกินเมืองนคร เจ้าน้องยี่ไปกินเมืองตนาว เจ้าน้องสามไปกินเมืองเพ็ชรบุรี

ฝ่ายพระเจ้าอู่ทอง มีพระราชบุตรีอิกองค์หนึ่ง เมื่อจะประสูตินั้น ท้าวอู่ทองฝันเห็นว่าดอกบัวลอยมา เธอจึงตรัสให้พราหมณ์มาทาย พราหมณ์จึงทายว่า พระองค์เจ้าจะได้บุตรเขยมาต่างเมืองข้างเหนือ พราหมณ์ได้พระราชทานรางวัลแล้ว ก็ออกมาจากพระราชวัง

เจ้าพัตตาสุจราชผู้เป็นพระยาวรราช เสวยสมบัติในเมืองสัชนาไลยมีพระราชกุมารสองพระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าธรรมไตรโลก พระองค์หนึ่งชื่อบรมไตรโลก และสมเด็จพระเจ้าพัตตาสุจราช ทรงพระชราภาพนักหนาแล้ว พระชนมายุได้ ๑๖๐ ปีก็ถึงทิวงคต ณวันศุกรเดือนสิบสองขึ้นห้าค่ำปีฉลู ครั้นทำสการศพพระบิดาแล้ว อำมาตย์เสนาทั้งหลายจึงราชาภิเศกเจ้าธรรมไตรโลก เป็นพระยาแทนบิดาเป็นช้านาน พระองค์เจ้ามาคิดในพระไทยว่า ท่านผู้ใดให้ทานเป็นอันพอใจและรักษาศีลเป็นอันมาก และพระองค์จะใคร่ออกทรงบรรพชาให้ได้ พระองค์จึงออกไปจากเมืองสัชนาไลยได้ ๒ ราตรี ถึงเมืองโอฆบุรีอันเป็นเมืองแห่งพระญาติ และพระยาญาติห้ามมิฟัง จึงออกไปกับพระยาทั้งหลายแห่ห้อมล้อมไปยังท้ายเมือง ตัดพระเกษาโกนเกล้าจึงพระยาญาติทั้งหลายก็เอาพระเกษาใส่ผอบทองบรรจุไว้ และพระองค์เจ้าก็อุปสมบทพระอุบาฬีเถรเป็นพระอุปัชฌาย์ พระคิริมานนท์เป็นกรรมวาจา พระสุเมธังกรเป็นอนุสาวนะ ชุมนุมพระสงฆ์ ๒๐๐ องค์ ทรงผนวช ณวันพฤหัศบดีเดือนหกขึ้นค่ำหนึ่ง เพลาเช้า ก็งามนักหนา ประดุจดังภิกษุอันได้ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเจ้าโกรพราช ยังอำมาตย์เสนาชวนกันสร้างอารามถวายแก่พระองค์ตามบทคาถาทั้งแปดบทดังนี้

ปฐมํ โพธิปัล์ลังกํ ทุติยํ อนิมิส์สกํ,
ตติยํ จังกมํ เสฏ์ฐํ จตุต์ถํ รตนาฆรํ.
ปัญ์จมํ อชปาลัญ์จ มุจ์จลิน์เทน ฉัฏ์ฐมํ,
สัต์ตมํ สิริเทวานํ อัฏ์ฐมํ ปรินิพ์พุตํ.

ครั้นพระเจ้าโกรพราชสร้างอารามถวายแล้ว พระองค์เจ้าตั้งเมตตาปฏิบัติกรรมฐาน และพระสงฆ์ทั้งหลายให้ชื่ออริยสงฆ์แต่นั้นมา และพระเจ้าโกรพราชจึงให้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระเกษไว้ จึงให้ชื่อว่าวัดจุฬามณีแต่นั้นมาถึงบัดนี้และ

สมเด็จพระยาสุคนธคีรีเจ้าเมืองพิไชยเชียงใหม่ มีพระราชบุตรสองพระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าไชยทัตกุมาร องค์หนึ่งชื่อเจ้าไชยเสนกุมารสองพระองค์เป็นพระภิกษุขึ้นไปเรียนพระไตรปิฎก ถึงเมืองภุกามได้สามพรรษาก็จบพระธรรมแล้ว เจ้าจึงไปเรียนไตรเพทข้างไสยสาตรได้จบบริบูรณ์ก็กลับมาเมืองวิเท่ห์ รื้อมาเมืองหงษา และมาอาไศรยอยู่อารามแห่งหนึ่งจะใคร่ลองคุณความรู้อันตนได้เรียนมา และพี่น้องทั้งสองชวนกันขึ้นไปถึงบนปราสาทพระยาแล้ว ฉวยอุ้มเอาพระราชธิดาลงมาจากปรา สาทมาถึงวัดเวลาเที่ยงคืนหาผู้ใดจะรู้มิได้และพี่น้องทั้งสองยินดีนักหนา แต่อุ้มไปอุ้มมาได้สามวันแล้ว เจ้ากูก็เอาทวะดึงษาการมาเป็นกรรมฐานปลงปัญญาญาณว่ารูปผี ครั้นเวลากลางคืนพระเจ้าหงษาย่อมมาดูลูกสาวตนมิเห็นลูกสาวตนในกลางคืนนั้นก็ คิดหลากพระไทย จึงเอาพรรณผักกาดใส่ผมไว้ ครั้นพรรณผักกาดตกลงก็งอกถึงกุฎี และพระยาจึงให้อำมาตย์ไปกุมเอาตัวเจ้ากูทั้งสององค์นั้นมา พระยาจะให้เอาไปฆ่าเสีย เจ้ากูจึงว่ามหาบพิตรอย่าเพ่อฆ่าเรา ๆ จะลองวิชาคุณอันเราได้เรียนมานั้นให้ท่านดูก่อน จึงให้คนตักน้ำใส่ขันอันใหญ่มาแล้ว เจ้ากูองค์หนึ่งเป็นนกยาง องค์หนึ่งเป็นปลาว่ายอยู่ในขันนั้น และนกยางจึงคาบเอาปลาพาบินไป พระยาหงษาเห็นหลาก จึงให้คนตามไปดูมิได้เห็นบาตรและจีวรในกุฎี และเจ้ากูทั้งสองก็เข้าไปถึงเมืองเชียงใหม่แล้ว และพระบิดามารดาก็ยินดีนักหนา และพระยาสุคนธคีรีจะใคร่ได้เจ้าไชยทัตมาเป็นพระยาแทนพระองค์ ๆ จึงให้ประจุออกจากสมณะแล้วแต่ว่ามิพอใจผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง และพระเจ้าสุคนธคีรีให้หาโหรมาทายดูจึงรู้ว่าคู่พระองค์เจ้าอยู่ต่างเมือง และเขาก็เล่าฦๅว่าลูกสาวพระยาอู่ทองมีผู้หนึ่งงามดังนางฟ้า เจ้าไชยทัตจะใคร่ได้เป็นอัครมเหษี และเอาเพศเป็นสามเณร กับเจ้าไชยเสนผู้น้องอันเป็นเจ้าพระภิกษุเป็นเพื่อนกันมาถึงเมืองศรีอยุทธยา ราชธานี มาอยู่อาไศรยในวัดใกล้พระราชวัง ฟังกิติศัพท์คนทั้งปลายเล่าฦๅแก่กัน ครั้นรู้ตระหนักแล้วเจ้าก็ลาเพศออกจากสามเณร แล้วซ่อนกำบังกายเข้าไปในพระราชวังเข้ามิได้ จึงเห็นต้นพิกุลต้นหนึ่งอยู่ใกล้กำแพงวัง เจ้าจึงขึ้นข้ามเข้าไปได้ จึงให้นิทราไว้มิให้ผู้ใดรู้ และเจ้าจึงเข้าไปหานางได้แล้ว นางถามว่าท่านนี้เป็นบุตรผู้ใด จึงบอกว่าเรานี้เป็นบุตรเจ้าเชียงใหม่ พี่หาภรรยาที่ชอบใจมิได้ พี่จึงมาหาเจ้า จะใคร่ได้เจ้าไปเป็นนางอัครมเหษีแต่เที่ยวไปหานางทุกวันจนนางทรงครรภ์แก่แล้ว สมเด็จพระเจ้าอู่ทองเห็นลูกดูหลากตาแต่มิออกปากกลัวลูกจะน้อยใจ แล้วคิดว่าพระทวารบานประตูได้ร้อยชั้นยังเข้ามาได้ จะมาในที่ใด ถ้าเว้นไว้แต่ท่อน้ำ ครั้นพระองค์เจ้ารำพึงแล้ว จึงตรัสสั่งคนทั้งหลายให้ทำเป็นลอบเหล็กดักไว้ที่ท่อน้ำนั้น

ฝ่ายเจ้าไชยทัต เคยประดาน้ำเข้าไปทุกวัน ๆ นั้น ก็เข้าลอบเหล็กติดอยู่ช้านานก็ตายในที่นั้น ต้องคำโบราณว่าทำมิชอบเข้าลอบตายเอง พระเจ้าอู่ทองจึงให้คนไปดูก็เห็นคนตายอยู่ จึงเอารูปนั้นมาดูเห็นหลาก เป็นบัณฑิตย์รูปงาม และพระองค์จึงเสียดายพระองค์คิดว่าจะมาแต่ผู้เดียวฤๅ ๆ มีเพื่อน พระองค์จึงให้คนค้นหา จึงได้พบน้องชายอยู่อาราม ก็ให้คุมเอาตัวมาในพระราชวัง จึงให้ถามดูรู้ว่าบุตรพระเจ้าเชียงใหม่ และพระราชเทวีอันทรงครรภ์แก่ก็ทรงพระกรรแสงไห้รักสามี ว่ากูจะเป็นม่าย และลูกจะหาพ่อมิได้ จะอายแก่ไพร่พลทั้งหลาย เขาจะทายประมาณครรภ์ เห็นหน้าพระเจ้าอาว์ดุจดังเห็นหน้าผัวอันตาย พระเจ้าอู่ทองจึงให้เจ้าไชยเสนอันเป็นภิกษุนั้นลาพระผนวชแล้ว จึงราชาภิเศกให้เป็นพระยา

และสมเด็จพระเจ้าอู่ทองตรัสใช้คนทั้งหลาย ให้ไปเอาคนปล้ำพนันเมืองทั้งคู่ และรูปพระยาแกรกนั้น มาแต่เมืองอินทปัตนคร มาไว้ในเมืองศรีอยุทธยา พระเจ้าอู่ทองมีพระชนมายุได้ ๑๐๐ ปีเศษ ก็ทิวงคตณวันศุกรเดือน ๘ ขึ้นหกค่ำปีฉลูฉศกพุทธศักราชได้ ๑๖๐๐ ปี

เจ้าไชยเสนได้เป็นพระยา ในเมืองศรีอยุทธยาราชธานี ทำบุญให้ทานรักษาศีลเมตตาภาวนา ช้านานได้ ๒๗ ปี และพระราชกุมารจึงมีไวยอันเจริญใหญ่มา และพระเจ้าไชยเสนผู้เป็นอาว์ จึงราชาภิเศกเจ้าสุวรรณกุมารเป็นพระยาแทนพระองค์แล้ว พระองค์เสด็จไปด้วยราชเทวี และฝูงนางเป็นบริวาร ช้างม้าเป็นอันมาก ถึงเมืองพิไชยเชียงใหม่ และพระญาติก็ชื่นชมนักหนา และพระเจ้าสุคนธคีรีจึงราชาภิเศกเจ้าไชยเสน ให้เป็นพระยาแทนพระองค์เจ้า สมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชา คิดถึงคุณพระบิดาอันมาแต่ไกล และเกิดพระองค์ ๆ จึงให้ช่างทั้งหลายหล่อพระสำริดรูปหนึ่งน่าตัก ๔ วาแล้วพระองค์ทำบุญให้ทานแก่เจ้ากูโยคาวจรฉลองพระพุทธรูปอุทิศไปแก่พระบิดา แล้ว พระองค์มีพระราชธิดาสองพระองค์ องค์หนึ่งชื่อเจ้ากัลยาเทวี องค์หนึ่งชื่อเจ้าสุนันทาเทวี มีรูปอันงามดุจดังนางเทพธิดาอันมีในสวรรค์นั้นและ

จะกล่าวถึงพระเจ้าธรรมไตรโลกเสวยราชสมบัติณเมืองสัชนาไลยราชธานี มีราชบุตรสามพระองค์ ๆ หนึ่งชื่อพระธรรมราชา พระองค์หนึ่งชื่อเจ้าบรมราชา พระองค์หนึ่งชื่อเจ้าราชาธิราช พระบิดาจะใคร่ให้พระธรรมราชาผู้เป็นพี่เจ้าทั้งสองนั้นเป็นพระยา และพระองค์ก็รู้ว่ากษัตริย์ลูกด้วยกัน อันเนื่องกันสืบ ๆ มาแต่โบราณ พระธรรมราชาและพระบรมราชาต่างคนต่างสัญญากัน ยกพลโยธาและจัดเครื่องบรรณาการไปถวาย ขอพระราชธิดาพระเจ้าสุวรรณราชณเมืองศรีอยุทธยา และพระองค์จึงพระราชทานนางทั้งสองให้ธรรมไตรโลกและนางกัลยาเทวีได้แก่พระ ธรรมราชา นางสุนันทาเทวีได้แก่พระบรมราชา และกษัตริย์ทั้งสองได้แล้วจะคืนไปเมืองมิได้ หลงด้วยรูปทรงนางทั้งสอง และสมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชาผู้เป็นพ่อตา จึงให้บุตรทั้งสองให้ทำกำแพงคนละครึ่ง ทั้งหอรบทบทาท้าวให้มั่นคง อยู่เป็นศุขในเรือนหลวงแห่งพระองค์เจ้า และสมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชาให้ก่อพระมหาธาตุสวมไม้ตะเคียนที่พระพุทธเจ้านั่ง และสร้างอารามอุโบสถ ที่พระธรรมศาลา พระพุทธรูป พระปฏิมากร กุฎีสถานให้เป็นทาน แล้วพระองค์เจ้ารักษาศีลเมตตาภาวนา พระชนมายุได้ ๙๘ ปี พระองค์ทิวงคตณวันพุฒเดือนหกแรมหกค่ำปีฉลูฉศก และกษัตริย์ทั้งสองพี่น้องคิดอ่านด้วยกันทำสการศพพระองค์แล้ว อำมาตย์ทั้งหลายจึงราชาภิเศกเจ้าธรรมราชาให้เป็นพระยา จำเดิมแต่นั้นมาพระเจ้ากรุงจีนรู้ข่าวว่าพระเจ้าหลานได้เสวยราชสมบัติณเมือง ศรี อยุทธยา พระองค์ให้แต่งจีนคนหนึ่งมีกำลัง จะให้เข้าไปปล้ำพนันเมือง จึงให้จีนใช้สำเภาเข้ามาสู้ด้วยไทย สู้ไทยมิได้และแพ้แล้วก็หนีไป และภายน่าไปครั้นสิ้นบุญพระเจ้าธรรมราชาผู้พี่แล้ว อำมาตย์เสนาจึงราชาภิเศกพระบรมราชาเสวยราชสมบัติณเมืองศรีอยุทธยาราช ธานี และอัครมเหษีชื่อนางสุนันทราเทวี มีครรภ์พระราชบุตรคนหนึ่ง ครั้นถ้วนทศมาศจะประสูติวันนั้นก็เป็นอันมืดมนท์อนธการ และจีนจามพราหมณ์นักเทศคุลาฝรั่งอังกฤษยี่ปุ่นวิลันดา ก็แต่งสำเภาเข้ามาค้าขายถึงนครศรีอยุทธยา ก็ถวายเครื่องราชบรรณาการแก่สมเด็จพระเจ้าบรมราชา ด้วยบุญญาธิการแห่งพระองค์ ๆ จึงให้พระนามแก่พระราชกุมารชื่อวรเชษฐกุมาร ครั้นพระชนม์ได้ ๑๖ ปี สมเด็จพระบรมราชามีพระไทยจะใคร่มอบสมบัติให้แก่เจ้าวรเชษฐกุมาร และพระองค์จะใคร่ทรงผนวชในพระสาสนา หวังจะเอานฤพานเป็นเบื้องน่าจึงมีพระโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ ให้ส่งข่าวสาสนไปถึงพระยาญาติฝ่ายข้างเหนือข้างใต้ ให้รู้ว่าพระบรมราชาจะทรงผนวชบวชเป็นบวรณพสาครแล้ว ครั้นวันพุฒเดือนหกขึ้นค่ำหนึ่งปีฉลูฉศก เสด็จไปจากพระนครด้วยพระยาวรเชษฐ ทั้งพระสนมชาวแม่ทั้งหลาย และเสนามนตรี แห่ห้อมล้อมไปเป็นบริวาร ไปถึงวัดสมโณโกฏิ มีพระสังฆราชาเป็นอุปัชฌาย์ มหาเทพโมฬีเป็นกรรมวาจา มหาธรรมไตรโลกวัดสุทธาเป็นอนุสาวนะ ชุมนุมพระสงฆ์เจ้า ๑๐๐ พระองค์ นั่งหัตถบาศอุปสมบทเจ้าบรมราชาเป็นภิกษุ และพระสงฆเจ้าทั้งหลายก็จะออกบวชใหม่ โดยประมาณมากกว่า ๑๐๐ สมเด็จพระบรมราชาค่อยเจริญเมตตาภาวนาณะวัดสมโณโกฏิ และพระมหาเทพโมฬีถวายอารามวัดสมโณโกฏิแก่พระองค์เจ้าแล้ว ก็ลาขึ้นมาอยู่ในอารามวัดป่าหลวงนอกเมืองชลอน ตราบเท่าสิ้นชนมายุพระองค์เจ้าในอาราม ที่นั้นและ

ศักราชถ้วน ๑๐๐๐ พระร่วงเจ้าลบทีหนึ่ง และพระยาธรรมิกราชจะได้ลบ และโหราพฤฒาจารย์มิได้เอาทูลบอกกล่าว ก็ล่วงพ้นมาแล้วและ อันนี้ท่านพระเจ้าโคตมมหาราชแต่เมื่อยังเป็นพรรณิพก ยังมิได้เป็นพระยาแกรก และพระโคตมมหาราชยังอยู่เมืองอินทปัตนคร และพระองค์ตรัสแก่ขุนสิงหฬสาคร ให้เอาสินค้าของหลวงออกไปขาย ขุนสิงหฬสาครรับพระราชโองการแล้วก็ทูลลา จึงนำพานิชพ่อค้าทั้ง ๕๐๐ ลงสำเภาลำหนึ่ง และสิ่งของเป็นอันมาก ครั้นได้ฤกษ์ดีจึงใช้สำเภาออกไปจากเมืองอินทปัตนคร หวังว่าจะไปบริเฉทประ ภังยิหน และไปช้านานได้เจ็ดเดือนก็หลงเข้าอับอยู่ เพราะว่าหาลมมิได้ มิรู้ที่จะไปมาได้ช้านาน ๑๕ วัน อนึ่งเป็นอกุศลแก่ชาวพ่อค้าทั้งหลาย และลมอันบังเกิดขึ้นมา มิใช่ลมจะโคสลาตันหามิได้ และเป็นพยุพัดสายสมอขาด และพยุพาเอาสำเภาไปจากทเลและ่นตัดออกจากปากอ่าว แล้วก็ไปถึงมหาสมุทอันใหญ่ ครั้นสำเภาลำใดไปถึงที่นั้น บห่อนจะกลับคืนมาได้ และแต่ไปช้านานได้เจ็ดเดือน จึงเห็นเมืองกุเวรนครเป็นเมืองพระกาลเจ้า ปราสาทและกำแพงก็แล้วไปด้วยเงินทองคนทั้งหลายและเห็นก็ยินดีนักหนาว่าทีนี้เรา มาพบเมืองแล้ว เรามิกลัวตายเลย จึงจอดสำเภาเข้าแล้ว ต่างคนต่างขึ้นไปซื้อขายกินกลางตลาดนั้น ก็ลงมาสำเภาแห่งตน และข้าขุนสิงหฬนครได้เห็นแม่นางคนหนึ่ง เหมือนเจ้าผู้หญิงตน และมันก็มาบอกแก่ขุนสิงหฬสาครนั้นว่าได้เห็นแม่นางคนหนึ่งเหมือนนายผู้หญิง ขุนสิงหฬสาครได้ยินก็ยินดีจึงขึ้นไปและดูก็เห็นเมียตน ไม่รู้ว่าตายหามิได้ ครั้นเห็นแม่นาง ๆ เห็นผัวตนก็ยินดี แล้วก็ร้องไห้ร่ำไรไปมาต่อกันแล้ว แม่นางจึงบอกแก่ผัวตนว่า ท่านหลงมาเข้าเมืองพระกาลเจ้าแล้ว ยังอิกเจ็ดวันน่าที่พ่อค้าทั้งหลายและตัวท่านก็จะตายด้วยกันสิ้น ข้าจะบอกให้รู้เอาตัวรอดเถิด และข้าจะเล่าเนื้อความให้ท่านฟัง และท่านค้าของหลวง และท่านมาจากข้านั้น ท้องข้ายังอ่อนอยู่ ท่านมาช้านาน ท้องข้าแก่ขึ้นได้แปดเดือนจะคลอดลูก และพระกาลเจ้าให้อำมาตย์ไปผูกรันฟัด และผูกฅอข้ามาจากที่นั้นข้าก็ตาย ก็ได้มาเกิดเป็นผีกินอยู่เมืองนี้ และข้าจะบอกให้ท่านรู้ และเงินข้าใส่หีบไว้ ๒๐ ชั่ง และทองชั่ง ๑ และข้าผู้ชาย ๙ คน ข้าผู้หญิง ๑๐ คน ทั้งของท่านของข้ารวมด้วยกัน และทรัพย์ทั้งนั้นเมื่อจะขาดใจข้าให้น้องสาวท่านเอาไว้ ถ้าและท่านไปถึงบ้านท่านถามน้องสาวท่านเอาเถิด และท่านทำบุญหลั่งน้ำมาถึงข้าด้วยเถิด และข้าจะบอกท่านให้ทำเข้าตากเข้าตูใส่ถุงใส่ไถ้ให้จงมาก แล้วพันเข้ากับตัว และขึ้นไปปลายเสากระโรงคอยและดู ถ้าและปลายเสากระโดงฟัดไปถึงต้นหมากเดื่อ อันโอนมาริมมหาสมุททเล และท่านจับกิ่งหมากเดื่อจงมั่นแล้ว จึงไต่ตามกิ่งหมากเดื่อเข้าไปต้นเถิด ท่านจึงจะรอดตัว และท่านเร่งไปเถิด พระกาลท่านร้ายนัก ครั้นเห็นท่านผู้ใดผู้นั้นก็จะตายทันใจ ถ้าผู้ใดทำสักการบูชาพระกาลเจ้าดีใจนักหนา ท่านเอยพระกาลพระกุลีเจ้าย่อมร้ายนักฟัดตีเอาให้ได้ ถ้าผู้ใดทำรูปพระกาลพระกุลี ให้ไหว้นบนอบทำสักการบูชาจึงจะพ้นความตาย และคนทั้งหลายมิทันเถ้าทันแก่ฟัดเอาไว้เป็นข้า ข้าท้าวบ่าวพระยาก็ดี เข็ญใจก็ดี เป็นสัตวเดียรฉานก็ดี ย่อมสูบเอาหัวใจและเลือดทั้งหลายกินเป็นอาหาร และทั้งตัวก็เอามาไว้เป็นบ่าวเป็นข้าตามวิบากแล้ว เว้นไว้แต่บุญผู้นั้นมาก จึงจะเอามิได้ด้วยบุญผู้นั้นและ ข้าสั่งท่านเท่านี้ท่านจงไปเถิด และขุนสิงหฬสาครก็ลงมาสู่สำเภาแห่งตน มิให้ผู้ใดรู้สักคน และจึงทำเข้าตูเข้าตากใส่ไถ้เป็นอันมากแล้วก็พันเข้ากับตัวแล้ว ก็ขึ้นใบต้นหนด้วยตนเอง จึงให้พานิชชักสมอขึ้นแล้ว ก็ให้บ่ายหัวสำเภาไปตามริมมหาสมุทตามคำเมียสั่ง และลมต้องใบก็พาเอาสำเภานั้นไปเป็นอันเร็ว และปลายเสากะโดงระกิ่งหมากเดื่อเข้าแล้ว ตนก็ฉวยจับเอากิ่งหมากเดื่อนั้นได้ก็โหนขึ้นอยู่ที่นั้น และสำเภานั้นและ่นไปได้ ๗ วัน ก็ตกลงท้องมหา สมุทอันใหญ่สู่มหาอวิจี และพานิชทั้งหลายก็ตายฉิบหายสิ้น คือตกนรกทั้งเป็น และขุนสิงหฬสาครก็ค่อยไต่ตามกิ่งหมากเดื่อนั้นลงมา ๗ วัน จึงถึงค่าคบอันใหญ่แล้วจะลงมิได้เลย ด้วยค่าคบนั้นใหญ่ประมาณ ๑๐ วา กินแต่ลูกหมากเดื่อเป็นอาหารอยู่ช้านาน และเห็นเชือกเขาพันต้นหมากเดื่อขึ้นไป จึงไต่ตามเครือเขามาได้ ๗ วันจึงถึงโคนต้น จึงเห็นราชสีห์ยืนอยู่ในที่นั้น ก็ตกใจกลัวนักหนา จึงเอาลูกหมากเดื่อทิ้งแต่เช้าไปถึงตวันเที่ยง จึงรู้ว่าราชสีห์ตาย จึงลงมาผลักให้ล้มลงแล้ว เอาดาบเถือเอาหนังราชสีห์พันเข้าแล้วก็แบกไต่ตามแนวป่าขึ้นมา และกินเข้าตากเข้าตูมาเป็นช้านานได้ ๑๕ วัน จึงชาวด่านเขาได้ตัวก็พาเอาตัวมาถึงเมืองพระยา ๆ จึงให้ถาม และขุนสิงหฬสาครจึงบอกแก่พระยาว่าพระเจ้าโคตมมหาราชเมืองอินทปัตนครให้ไปค้า สำเภา ๆ ก็อับปางเสียสำเภา เหลือมาแต่ข้าผู้เดียว จึงได้หนังราชสีห์มาแต่ป่าพระหิมพานต์ และพระยาจึงให้เลี้ยงดูแล้ว จึงให้เถือเอาหนังราชสีห์ไว้หน่อยหนึ่ง แล้วจึงส่งให้ไปแก่พระยาเถือเอาหนังราชสีห์ไว้ทุก ๆ เมือง กว่าจะถึงเมืองอินทปัตนั้น ยังหนังราชสีห์นั้นเท่าพรมปูนั่งนั้นและ ครั้นถึงเมืองอินทปัตนคร ขุนสิงหฬสาครจึงเอาหนังราชสีห์เข้าไปถวายแก่พระเจ้าโคตมมหาราช ๆ จึงถาม หาเหตุ และขุนสิงหฬสาครจึงกราบทูลอาการทั้งปวงแก่พระมหากษัตริย์เจ้า ๆ เห็นความจริง จึงให้พระราชทานเงินทองแก่ขุนสิงหฬสาครเป็นอันมาก แล้วขุนสิงหฬสาครก็ทูลลามาบ้านแห่งตนแล้วจึงถามข้าไทและน้องสาวแห่งตนตามคำ เมียตนสั่งมา ข้าไทและน้องสาวบอกเนื้อความดังนั้นให้พี่ตนฟัง ก็สมคำเมียตนที่ตายบอกมานั้นทุกประการแล ฯ


  1. xxx