พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา/ภาค 1/บท 16

แผ่นดินขุนวรวงษาธิราช

นางพระยาจึงมีพระเสาวนีตรัศสั่งปลัดวังให้เอาราชยานแลเครื่องสูงแตรสังข์กับขัติยวงษ์ออกไปรับขุนวรวงษาธิราชเข้ามาในพระราชนิเวศน์มณเฑียรสถาน แล้วตั้งพระราชพิธีราชาภิเศกยกขุนวรวงษาธิราชขึ้นเปนเจ้าพิภพกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุทธยา จึงเอานายจันทร์ผู้น้องขุนวรวงษาธิราชบ้านอยู่มหาโลกเปนมหาอุปราช แล้วขุนวรวงษาธิราชผู้เปนเจ้าแผ่นดินปฤกษากับนางพระยาว่า บัดนี้ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อยรักเราบ้างชังเราบ้าง หัวเมืองเหนือทั้งปวงก็ยังกระด้างอยู่ เราจำจะให้หาลงมาผลัดเปลี่ยนเสียใหม่ จึงจะจงรักภักดีต่อเรา นางพระยาก็เห็นด้วย ครั้นรุ่งขึ้น เสด็จออกขุนนาง สั่งสมุหนายกให้มีตราขึ้นไปหาเมืองเหนือเจ็ดเมืองลงมา.

ครั้นศักราช ๘๙๑ ปีฉลู เอกศก วัน ค่ำ ขุนวรวงษาธิราชเจ้าแผ่นดินคิดกันกับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ให้เอาพระแก้วฟ้าไปประหารชีวิตรเสียณวัดโคกพระยา แต่พระศรีศิลป์น้องชายพระชนม์ได้เจ็ดพรรษานั้นเลี้ยงไว้ สมเด็จพระแก้วฟ้าอยู่ในราชสมบัติปีหนึ่งกับสองเดือน.

ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพเชื้อพระวงษ์ กับขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศบ้านลานตากฟ้า สี่คนไว้ใจกันเข้าไปในที่ลับแล้วปฤกษากันว่า เมื่อแผ่นดินเปนทุรยศดังนี้ เราจะละไว้ดูไม่ควร จำจะกุมเอาตัวขุนวรวงษาธิราชประหารชีวิตรเสีย ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ จึงว่า ถ้าเราทำได้สำเร็จแล้ว จะได้ผู้ใดเล่าที่จะปกป้องครองประชาราษฎรสืบไป ขุนพิเรนทรเทพจึงว่า เห็นแต่พระเทียรราชาที่บวชอยู่นั้นจะเปนเจ้าแผ่นดินได้ ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ จึงว่า ถ้าฉนั้น เราจะไปเฝ้าพระเทียรราชา ปฤกษาให้เธอรู้ จะได้ทำด้วยกัน แล้วขุนพิเรนทรเทพ ขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ ก็พากันไปยังวัดราชประดิษฐาน เข้าไปเฝ้าพระเทียรราชา นมัสการแล้วจึงแจ้งความว่า ทุกวันนี้ แผ่นดินเปนทุรยศ ข้าพเจ้าทั้งสี่คนคิดกันจะจับขุนวรวงษาธิราชฆ่าเสีย แล้วจะเชิญพระองค์ลาผนวชขึ้นครองศิริราชสมบัติ จะเห็นประการใด พระเทียรราชาก็เห็นด้วย ฝ่ายขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ จึงว่า เราคิดการทั้งนี้เปนการใหญ่หลวงนัก จำจะไปอธิษฐานเสี่ยงเทียนเฉภาะภักตรพระพุทธปฏิมากรเจ้า ขอเอาพระพุทธคุณเปนที่พำนัก ให้ประจักษ์แจ้งว่า พระเทียรราชากอปรด้วยบุญบารมีจะเปนที่สาสนูปถัมภกปกป้องอาณาประชาราษฎรได้ฤๅมิได้ประการใดจะได้แจ้ง พระเทียรราชาก็เห็นชอบด้วย ขุนพิเรนทรเทพจึงว่า เราคิดการใหญ่หลวงถึงเพียงนี้ อนึ่ง ก็ได้เตรียมการไว้พร้อมแล้ว ถ้าเสี่ยงเทียนมิสมดังเจตนา จะมิเสียไชยสวัสดิมงคลไปฤๅ ถ้าไม่เสี่ยงเทียนตก จะไม่ทำฤๅประการใด ว่าแล้วต่างคนก็ต่างไป ครั้นค่ำลงวันนั้น ฝ่ายขุนอินทรเทพ หมื่นราชเสน่หา หลวงศรียศ พระเทียรราชา ก็ชวนกันฟั่นเทียนสองเล่ม ขี้ผึ้งหนักเท่ากัน ด้ายไส้นั้นนับเส้นเท่ากัน เล่มเทียนสั้นยาวเสมอกัน แล้วก็พากันไปณอุโบสถวัดป่าแก้ว ฝ่ายพระเทียรราชากราบถวายนมัสการพระพุทธปฏิมากรเจ้าโดยเบญจางคประดิษฐ แล้วจึงกระทำเสี่ยงวจีสัจจาธิษฐานว่า ปางเมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเจ้ายังเสด็จสถิตย์เที่ยวโปรดสัตวอยู่ ย่อมยังโลกอันมีความวิมุติให้สันดานบริสุทธิสิ้นสงไสยด้วยพระญาณสัพพัญญู ครั้นพระพุทธองค์เสด็จเข้าพระมหาปรินิพพาน ก็ยังทรงพระมหากรุณาประดิษฐานพระเจดีย์ทั้ง ๕ คือ พระปฏิมากร พระมหาโพธิ พระสถูป พระชินธาตุ พระไตรปิฎก ไว้สนองต่างพระพุทธองค์เปนที่พึ่งแก่สัตวโลกอันเกิดมาภายหลัง เปนความสัตย์แห่งข้าพระพุทธเจ้าฉนี้ ประการหนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าคิดจะได้ราชสมบัติครั้งนี้ด้วยโลกียจิตรจะใคร่เปนใหญ่ จะได้จัดแจงราชกิจจานุกิจให้สถิตย์อยู่ในยุติธรรม จะได้เปนที่พึ่งพำนักในนิกรราชบรรสัชให้มีศุขสมบูรณ์ตามบุราณราชประเวณี เปนความสัตย์แห่งข้าพระพุทธเจ้าฉนี้ถ้วนคำรบสอง แลยังมีความสงไสยอยู่ จักสมลุดังมโนรถแลฤๅ ฤๅมิสมประการใดมิได้แจ้ง ข้าพระพุทธเจ้าขอเอาพระบวรคุณานุภาพพระมหาเจดียฐานเจ้าทั้ง ๕ มีพระพุทธปฏิมากรเปนอาทิ อันพระพุทธองค์ทรงประดิษฐานไว้ต่างพระองค์ แลวจีสัจจาธิษฐานทั้งสองสัจจาแห่งข้าพระพุทธเจ้า จงเปนที่พำนักตัดความสงไสย ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทำสัตย์เสี่ยงเทียนของข้าพระองค์เล่มหนึ่ง ของขุนวรวงษาธิราชเล่มหนึ่ง ถ้าข้าพระองค์จะสมลุมโนรถความปราถนาด้วยบุญญาธิการโบราณแลปัจจุบันกรรม ควรจะได้มหาเสวตรฉัตรสกลรัฐธิปไตย อันจะได้รำงับทุรยศยุคเข็ญเปนจลาจลแห่งสมณะพราหมณะเสนาบดีไพร่ฟ้าประชาราษฎรได้ความเดือดร้อน แลจะได้เปนมหาอรรคฐานทายกอุปถัมภกพระบวรพุทธสาสนาในวรราไชสวรรย์สืบไป ขอให้เทียนขุนวรวงษาธิราชดับก่อน ถ้ามิสมลุดังมโนรถความปราถนาแล้ว ขอให้เทียนข้าพระองค์ดับก่อน ขอพระบวรคุณานุภาพแลความสัตย์ทั้งสองแห่งข้าพระพุทธเจ้าจงมาตัดความสงไสยให้ปรากฎตามเสี่ยงวจีสัตยาธิษฐานอันข้าพระพุทธเจ้าอุทิศเทียนสองเล่มนี้เปนพุทธสักการบูชาแลเสี่ยงกระทำด้วยสัจจเคารพนี้เถิด ครั้นอธิษฐานเสร็จแล้ว ก็จุดเทียนทั้งสองเล่มนั้นเข้า ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพไปถึง เห็นเทียนขุนวรวงษาธิราชยาวกว่าเทียนพระเทียรราชาก็โกรธ จึงว่า ห้ามมิให้ทำสิขืนทำเล่า ก็คายชานหมากดิบทิ้งไป จะได้ตั้งใจทิ้งเอาเทียนขุนวรวงษาธิราชนั้นหามิได้ เปนศุภนิมิตรเหตุ พอไปต้องเทียนขุนวรวงษาธิราชดับลง คนทั้งห้าก็บังเกิดโสมนัศยินดียิ่งนัก ขณะนั้น มีพระสงฆ์องค์หนึ่งครองไตรจีวรครบถือตาลิปัตรเดินเข้าไปในพระอุโบสถให้พรว่า ท่านทั้งนี้จะได้สำเร็จมโนรถความปราถนาเปนแท้ ทั้งห้าคนก็นมัสการรับพร พระสงฆ์นั้นกลับออกมาก็หายไป ต่างคนก็กลับมายังที่อยู่ ครั้นประมาณสิบห้าวัน กรมการเมืองลพบุรีบอกลงมาว่า ช้างพลายสูงหกศอกสี่นิ้วหูหางสรรพต้องลักขณติดโขลง สมุหนายกกราบทูล ตรัศว่า เราจะขึ้นไปจับ อยู่อิกสองวันจะเสด็จ แล้วสั่งให้มีตราขึ้นไปให้กรมการจับเสียเถิด ครั้นอยู่มาประมาณเจ็ดวัน โขลงชักปกเถื่อนเข้ามาทางวัดแม่นางปลื้มเข้าเพนียดวัดช่องลม สมุหนายกกราบทูล ตรัศว่า พรุ่งนี้ เราจะไปจับ ครั้นเพลาค่ำ ขุนพิเรนทรเทพจึงสั่งหมื่นราชเสน่หานอกราชการให้ออกไปคอยทำร้ายมหาอุปราชอยู่ที่ท่าเสือ สั่งแล้วพอพระยาพิไชย พระยาสวรรคโลก ลงมาถึง ขุนพิเรนทรเทพจึงให้ไปบอกโดยความลับ พระยาพิไชย พระยาสวรรคโลก ก็ดีใจ จึงไปซุ่มอยู่ที่คลองบางปลาหมอกับด้วยขุนพิเรนทรเทพ หลวงศรียศ หมื่นราชเสน่หาในราชการ ขี่เรือคนละลำ พลพายมีสาตราวุธครบมือ ฝ่ายหมื่นราชเสน่หานอกราชการถือปืนไปแอบคอยอยู่ทำอาการดุจหนึ่งทนายเลือก ครั้นเห็นมหาอุปราชขี่ช้างจะไปพเนียด หมื่นราชเสน่หาก็ยิงถูกมหาอุปราชตกช้างลงตาย ครั้นเช้าตรู่ ขุนวรวงษาธิราช กับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แลราชบุตรีซึ่งเกิดด้วยกันนั้น ทั้งพระศรีศิลป์ ก็ลงเรือพระที่นั่งลำเดียวกันมาตรงคลองสระบัว ขุนอินทรเทพตามประจำมา ฝ่ายขุนพิเรนทรเทพ พระยาพิไชย พระยาสวรรคโลก หลวงศรียศ หมื่นราชเสน่หาในราชการ ครั้นเห็นเรือพระที่นั่งขึ้นมา ก็พร้อมกันสกัด ขุนวรวงษาธิราชร้องไปว่า เรือใครตรงเข้ามา ขุนพิเรนทรเทพก็ร้องตอบไปว่า กูจะมาเอาชีวิตรเองทั้งสอง ฝ่ายขุนอินทรเทพก็เร่งให้พายรีบกระหนาบเรือที่นั่งขึ้นมา แล้วช่วยกันเข้ากลุ้มรุมจับขุนวรวงษาธิราช กับแม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ แลบุตรีซึ่งเกิดมาด้วยกันนั้น ฆ่าเสีย แล้วให้เอาศพไปเสียบประจานไว้ณวัดแร้ง แต่พระศรีศิลป์นั้นเอาไว้ ขุนวรวงษาธิราชอยู่ในราชสมบัติห้าเดือน ขุนอินทรเทพ ขุนพิเรนทรเทพ กับขุนนางทั้งปวง กลับเข้ามารักษาพระราชวัง.