เปิดกรุผีไทย/เล่ม 2/เรื่อง 6

. . .แต่ในครู่นั้นเอง. . .ทั้งสี่เสานั้นมีคนไต่ลงมาพร้อมกัน. . .มันเป็นคนคนเดียวกันทั้งสี่เสา ฉันกับเพื่อนยืนขาสั่น. . .
นั่งหวย

ที่ร้านสุราแห่งหนึ่งในตำบานยานนาวา มีผู้ดื่มอยู่หลายรุ่น ทั้งหนุ่มทั้งแก่ กลางคนและเลยกลางคน มีอยู่โต๊ะหนึ่งที่ขะมักเขม้นในเลขท้ายล็อตเตอรี่ ถกเถียงกันที่ได้เลขมาจากอาจารย์ แทงแล้วถูกกินบ้าง บางรายแทงแล้วก็ถูกบ้าง ตามแต่โชคชะตา ซึ่งความจริงนั้น อาจารย์ทุก ๆ อาจารย์ก็เพียงคาดหมายและมั่นใจเอาเองในการหมุนเวียนแห่งตัวเลขจะเดินวนเวียนมาบรรจบตามตำราที่วางไว้ แต่บางครั้งก็ผิดพลาดไปจากตำรา ผู้ถูกหวยก็บ่นกันไปตามระเบียบของผู้ที่ผิดพลาด จะโกรธเคืองโชคชะตาของตนบ้าง โทษเอาอาจารย์บ้าง แต่ละคนหลงเอาแน่นอนกับการหมุนของเครื่องออกเลข ซึ่งย่อมหมุนไปตามกำลังไฟฟ้า จะมีใครไปหยุดเอาเองได้ก็หาไม่ แล้วแต่โชคชะตาก็จะไปตรงเข้า ผู้เฒ่ามิ่ง หรือนายมิ่ง นั่งฟังอยู่และทั้งเคยผิดพลาดในการแทงเลขท้ายมาแล้วเหมือนกัน แกสั่นหัวแล้วถอนใจยาว

"ฉันเองก็เล่นไปกับเขายังงั้นแหละ ทั้งที่รู้ว่า มันเอาแน่ไม่ได้" เฒ่ามิ่ง

นั่งหวย

พูดขึ้น "เรากะเราเก็งยาก เพราะเจ้าลูกกลิ้่งมันหมุนไปตามเรื่องของมัน ที่ไหนมันจะดลบันดาลได้เผง ๆ เหมือนอย่างหวย ก ข โบราณ"

ผมนั่งดื่มสุราไปฟังแกพูดพลาง ๆ โดยผมนั่งอยู่กับเพื่อนอีกโต๊ะหนึ่งใกล้ ๆ กัน

"หวย ก ข โบราณน่ะ ขุนบาลเป็นคนออก เขากะเขาคิดจัดออกตัวนั้นตัวนี้" แกพูดต่อไป ในโต๊ะของเราจึงมีผู้สนใจอยู่บ้าง "การที่ใช้มือคนแท้ ๆ จับออกคิดออกน่ะ จึงมีอาจารย์เก่ง ๆ นั่งทางในพอจะรู้กันเก็งใจกันออก ถ้าอาจารย์เก่ง ๆ บอกหวยให้ มักไม่พลาด" แกว่า

"ข้อนี้ถ้าจะจริง" ชายกลางคนคนหนึ่งสนับสนุนเพราะเห็นด้วย "ผมเห็นด้วยกับคุณน้า อ้ายเราเป็นมนุษย์ธรรมดา จะไปเก็งไปสั่งอะไรมันกับลูกโม่ที่มันหมุนด้วยกำลังไฟฟ้า ถ้ามันคนด้วยกัน ย่อมมีอาจารย์ขลัง ๆ นั่งฌานบังคับเขาได้ดลใจให้ออกตัวนั้นตัวนี้"

"ถูก! พ่อเจียมพูดถูก อ้า! พ่อเตียม พ่อรู้เรื่องนี้ดี" พ่อเฒ่ามิ่งออกปากรับรองการพูดของผู้สนับสนุนว่าถูกต้อง "สมัยหวย ก ข เราเองพอนั่งหวยเองได้ตามเกจิอาจารย์แนะนำ โอย! ฉันน่ะทำมาเสียทุกวิธี ถูกบ้างกินบ้างตามเรื่องมัน แต่ที่ถูกกินน่ะ ไม่ใช่พิธีเขาพลาดนะจะบอกให้" เฒ่ามิ่งพูดแล้วยกมือชูเข้าไปในวงสุเราให้ฟัง "ที่หวยกินไปก็เพราะเราเองเกิดยักย้ายการแทงเสียเอง ในตอนหลังเกิดไปคิดว่า ตัวนั้นดีตัวนี้ดี ยักเช้ายักค่ำ ฮ่า! บางทีออกมาแล้วไม่ได้ไม่เสีย ไม่พอกับที่ลงทุนลงแรง ย้ายไปย้ายมา เลยเจ๊งกันไป"

"คุณเคยนั่งยังไงครับ นั่งหวยนั่ง" ชายหนุ่มคนหนึ่งถามพ่อเฒ่ามิ่ง

"โฮย! หลายวิธีนัก ทำหวยน่ะ ในป่าช้ายังเคยเลย คุณเอ๋ย บางแห่งเราเคยไปกันสองสามคน เมื่อสมัยโน้น หนุ่ม ๆ ด้วยกัน ใจเด็ด ๆ พอกัน ที่วัดเทพฯ ก็เคย วัดจางวางดิษฐ์ (วัดดิสานุการาม) วัดจางวางพ่วง (วัดเทวีวรญาติ) เอาทั้งนั้น วัดบางหว้ายังเคยเลย ผ่าซิเอ้า! ปัดโธ่! วัดเทพฯ สมัยนั้นเปลี่ยวน่ากลัวหยอกเมื่อไหร่ ทางหลังวัดที่เป็นเมรุอยู่เดี๋ยวนี้เงียบน่ากลัว กลางวันแสก ๆ ยังหาคนเดินน้อยแทบนับคนได้ ไม่คึกคักอย่างเดี๋ยวนี้หรอก ที่หลังวัดเทพฯ ที่แหละ ฉันกับเพื่อนนักเลงด้วยกันนะคุณ ไปนั่งหวยกัน จุดไต้ไว้ห่าง ๆ แล้วต่างคนต่างนั่งจุดเทียนกัน ว่าคาถาขลังตามแบบคาถาหวย ไม่ใช่ไหว้พระไหว้เจ้าอะไรหรอก อีกคืนหนึ่งนะ ที่ตรงนั้นมันรกเรื้อ และเราก็ไม่มีเสื่อมีสาดอะไรไปปู เราก็นั่งพนมมือนั่งยองกันนั่นแหละ โอย! คุณเอ๋ย ฉันถูกผีมันล้อ เอามือล้วงก้นเอง ชั้นแรกฉันคิดว่า งูมันชูหัวมาโดนก้นฉัน ฉันโดดจนตัวลอย เทียนดับเลย แต่ไต้ยังมีอยู่ จึงส่องพอจะเห็น เอ๊ะ! งูก็ไม่มี ถ้ามีก็เห็นซิคุณ จริงอยู่ ฉันว่า ที่ตรงนั้นรกเรื้อจริง ๆ แต่มันก็เป็นที่รกห่างตัวเรามาก ตรงที่เรานั่งกันนั้น เราเอาไม้ปาด ๆ กันพอเตียนที่จะนั่งยอง ๆ ได้ และอ้ายการถูกล้วงก้นนี่น่ะ ไม่ใช่ถูกแต่ฉันหรอก เพื่อนสามคนก็ถูกด้วยกัน เราจึงรู้ว่า เราถูกผีรบกวนเสียแล้ว เลยเลิกนั่ง เก็บกระดาษ เก็บถ้วยปูน กับขมิ้นที่ละลายน้ำไว้ให้ผีเขียนตัวหนังสือกลับ" เฒ่ามิ่งหยุดดื่มสุรา

"มันทำเท่านั้นเอง?" หนุ่มคนเก่าถามขึ้น

"เท่านั้นแหละ! ไม่รบกวนอะไรมาก แต่เราก็ใจไม่ดี ถือว่า เสียสมาธิ เลยกลับกัน แต่อีกวันซิ!"

เฒ่ามิ่งชูมือประกอบคำพูด

"ฉันไปนั่งกันที่วัดสระเกศ หน้าวัดนั่นแหละครับ สมัยนั้น เรื่องวัดสระเกศละก็ มันแทบจะเป็นป่าช้าไปทั้งนั้น ศพน่ะรึ ทั้งฝังทั้งทิ้งให้แร้งกากิน เช่น ศพนักโทษยังงี้ เชือดเนื้อให้แร้งกากิน ที่เหลือก็ฝังไป โอย! ยิ่งทางเมรุปูน คืน ที่ทางด้านถนนสายประตูผีนั่นแหละคุณ แดนเชือดศพเชียวละ สมัยนั้นยังไม่มีถนนนี่คุณ เป็นป่าช้าเราดี ๆ นั่นเอง สมัยที่เขาขุดทางทำถนน หัวกะโหลกออกเกลื่อนกลาดไป วันที่เราไปนั่งกันน่ะคุณ เราทำพิธีว่าคาถากันแล้ว เราก็จุดเทียนปักไว้ วางกระดาษและถ้วยขมิ้นกับปูน วางไว้แล้วเราก็หลบแอบบังต้นโพธิ์คอยอยู่" เฒ่ามิ่งหยุดพูด แล้วกระดิกนิ้วเรียกเจ๊กให้ตักเหล้าโรงอีกแก้ว

"อ้อ! พิธีนี้ ผมเคยได้ยินปู่ผมเล่าให้ฟังเหมือนกัน" หนุ่มนั้นว่า "แต่ปู่ผมบอกว่า ทำพิธีแล้วก็วนกระดาษกับขมิ้นกับปูนทิ้งไว้ เช้าจึงไปดูกันว่า จะเขียนตัวอะไรไว้ให้"

"โอย! ลำบากอย่างนั้น" เฒ่ามิ่งว่า "ฉันก็เคยทำอย่างนั้นเหมือนกัน คุณ โอย! กินเรียบ ก็เพราะว่า อ้ายใครมันมาเห็นเข้า มันก็แกล้งเขียนเข้าไว้ให้ เราก็เจ๊งไปเท่านั้นเอง จึงต้องนั่งคุมกันไว้ แหม! คุณเอ๋ย คืนนั้น ฉันกับเพื่อนนั่งคอยตั้งแต่หัวค่ำจนเกือบสี่ทุ่มเห็นจะได้ มีลมพัดมาอ่อน ๆ เสียงนกกุ๊กร้องกุ๊กอยู่บนต้นโพธิ์ที่เรานั่งแอบนั่นแหละ ฉันสะดุ้งหนาวใจเหลือเกิน แต่อยากได้หวย ต้องจำทน ในครู่นั้นเอง เทียนที่จุดไว้แทบจะดับ มีลมพัดเหมือนเดินเฉียดไปที่กระดาษกับถ้วยขมิ้นกับปูน แล้วมีเงาวูบมืด ๆ ไม่เห็นเป็นตัวเป็นคนหรอกคุณ แต่พอทุกสิ่งทุกอย่างสงบ เราทั้งหมดก็ออกจากที่ซ่อนไปเก็บของเหล่านั้น และเดิมคุมหน้าคุมหลังกันออกพ้นเขตวัดมา พอมาถึงบ้าน ก็ดูกระดาษกัน มีรอยนิ้วจิ้มปูนเขียนไว้เป็นหวยเช้าค่ำชัด ๆ เลยคุณ ฉันกับพวกแทงกันอย่างหนักทีเดียวในวันรุ่งขึ้น" แกหยุดดื่มสุราอีก

"ถูกผางเลย?" พ่อหนุ่มผู้สนใจถามดักคอ เฒ่ามิ่งวางแก้วเหล้าแล้วพยักหน้าพูด

"กินเรียบ"

"อ้าว!" เสียงนี้เป็นเสียงหลายคนในกลุ่มนั้นร้องขึ้นยังกับนัดกันไว้ แล้วเลยฮากันครืน

"คุณลุงเลยเลิกหวยซิครับ?" ผมนั่งอยู่โต๊ะใกล้ ๆ จึงสอดปากถามไป แกหันมาดูผม

"ที่ไหนได้ ลงผีหวยมันเข้าละก็ เลิกยังไง" แกว่า "เป็นแต่หยุดมาหลายวัน เพราะต่างคนต่างหมดทุน แทงกันหมดตัวนี่ครับ ผีมันแกล้งเรา" แกพูดแล้วสั่นหัวพลางร้องเรียกเหล้าอีก ผมนึกสนุกอยากฟังเรื่องต่อ ๆ ไป จึงรับจ่ายค่าสุราเอง แกตอบขอบใจ ดื่มกร๊วบเดียวหมดแก้ว

"คุณลุงเลิกนั่งหวยหรือไงครับ?" ผมถาม

"ไม่เลิกหรอกคุณ เลิกนั่งก็ไม่รู้จะแทงอะไร" แกตอบ "คราวนี้ ฉันกับเพื่อนสองคนเท่านั้นแหละคุณ ไปลองนั่งทางวัดบางหว้า ก็วัดอมรินทร์นี่แหละคุณ วัดนั้นไปดูลู่ทางที่ป่าช้าไว้แต่บ่าย แล้วกลับมากินเหล้ากันที่ร้านเจ๊กนอกวัด ตั้งใจเอากันที่ศาลากลางป่าช้าที่มีแต่พื้นกระเบื้องและเสากับหลังคา ฝาไม่มี โปร่ง ๆ ดี ใครจะมาแอบเขียนตัวหวยล้อเราย่อมไม่ได้ ฉันกับเพื่อนสองคนดวดเหล้ากันจนสบายดีแล้ว จึงเตรียมข้าวของเข้าวัด พอเลี้ยวเข้าตรอกวัด เราก็เห็นคนนำหน้าเราอยู่คนหนึ่ง นุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนห่มผ้าขาวอย่างสกปรกสะพายเฉียง เราเดินตามเขามาอย่างเงียบ ๆ ไม่พูดอะไรกัน เราไม่ต้องการให้ใครรู้ว่า เราจะมานั่งหวย พอถึงทางเลี้ยวเข้าป่าช้า คนเดินหน้าก็เลี้ยวเข้าไปก่อน เราสองคนสะกิดกัน ฉันกระซิบกับเพื่อนว่า ถ้าจะไม่ดีเสียแล้ว ตานี่คงจะเป็นสัปเหร่อ ถ้ารู้ว่า เราจะมานั่งหวย ก็จะมาทำความรำคาญแก่เรา เพื่อนจึงถามว่า แล้วจะทำยังไงกันล่ะ? ฉันก็ตอบว่า ยังไม่รู้จะทำยังไง"

"พวกสัปเหร่อใช่ไหม?" หนุ่มคนแรกถามแทรกขึ้นมา

"ไม่รู้น่ะซิคุณ เขาเดินไป ฉันก็เดินไป" เฒ่ามิ่งตอบ "แต่เอ๊ะ! ไม่เข้าท่าเสียแล้ว คนนั้นเดินไปที่ศาลาฌล่งนั้น ซึ่งเป็นที่หมายของเรา มาเกิดจ๊ะกันเข้าแล้ว หมอนี่ถ้าจะมาเรื่องหวยเหมือนกัน ชักเกิดลังเลใจ แต่เพื่อนกระซิบว่า ต่างคนต่างนั่งกันก็แล้วไปซี เขาก็เขา เราก็เรา ฉันเห็นด้วย จึงก้าวขึ้นบนพื้นกระเบื้องปูน แต่ยังไม่ลงมือทำอะไรทั้งนั้น นั่งลงเฉย ๆ ก่อนอากาศขมุกขมัวเต็มทีแล้ว เสียงเรไรดังหริ่ง ๆ ไปทั่วบริเวณ เพราะไม้สูง ๆ ยืนต้นมาก มองมืดทึมน่ากลัว ชีวิตนักเลงหวยละมันยังงี้แหละคุณ พอความมืดทั่วไปทั้งบริเวณ ฉันกับเพื่อนก็จุดเทียนใหญ่ปักลงกับพื้นสว่างเห็นกันดี นักหวยคนนั้นยังไม่ทำอะไร เดินก้มหน้าวนไปวนมา เดินไปหยุดเสาโน้นเสานี้จนครบสี่เสา แล้วชำเลืองดูเราทั้งสอง ฉันอดปากอยู่ไม่ได้ จึงพูดกับเขาพอเป็นทางว่า ถ้ามีอะไรดี จะขอบ้าง จะหวงไหม พี่ทิด? เขายิ่งเฉย ยังไม่ตอบมาทันที ฉันจึงพูดไปอีกว่า ฉันน่ะถูกหวยกินมาเสียจนกรอบ เพราะได้หวยไม่ค่อยแน่นอน ถ้าพี่ทิดมีอะไรดี ๆ แบ่งปันให้บ้าง ก็พอจะแก้จนไปได้บ้าง คราวนี้ ทิดนั้นจึงตอบเสียงห้วน ๆ ว่า พบอะไร เห็นอะไร คิดออก ก็เอาไป ไม่หวงหรอก เขาพูดอย่างไม่หันมาดูเรา ต่อนั้นไป ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาลงมือจุดเทียนปักลบงใจกลางของศาลา ส่วนเราสองคนยังไม่ทำอะไรทั้งนั้น เพราะเสียงที่เขาพูดก็เข้าที ที่ว่า พบอะไร เห็นอะไร คิดออก ก็เอาไป ท่าจะดี คราวนี้ ถ้าได้ไปโดยคิดตกก็จะดีกว่าเรานั่งเองกระมั่ง? เราจึงนั่งดูเขาทำพิธี เขาเดินพนมมือก้าวไปช้า ๆ เข้าหาเสาทั้งสี่เสา หยุดยืนบ่นอะไรพึมพำที่โคนเสาอยู่ทุกต้น แล้วเป่าลมพรวดเข้าใส่เสานั้นทุกต้นไป เราสองคนรู้สึกว่า พิธีเขาแปลก ครั้นเขาสะกดเสาทั้งสี่ต้นแล้ว กลับมายืนตรงศูนย์กลางที่ปักเทียน ดึงผ้าสะพายเฉียงนั้นออก แล้วโพกหัวจนดูคล้ายแขก ฉันนึกออกว่า นี่คงเป็นพิธีของแขกครัวที่เราไม่รู้จักและไม่เคยเห็น พอโพกหัวแล้ว เขาก็นั่งขัดสมาธิ นั่งเงยหน้าบ่นคาถาพึมพำไปหมด เราแปลคาถาเขาไม่ออก ไม่รู้ว่า เขาพูดว่ากระไรบ้าง เพราะเสียงอยู่ในลำคอ เขาทำพิธีนี้อยู่นานเหลือเกิน จนนกแสกบินโผเข้ามาที่เราแล้วบินผ่าไนป ร้องเสียแซ้กเข้าขั้วหัวใจ ทั้งฉันและเพื่อนสะดุ้งทั้งตัว ตั้งแต่นั่งหวยมา ไม่เคยวิธีนี้ และมันช่างรุนแรงจนนกกลางคืนที่น่ากลัวพลอยมาเข้าพิธีด้วย ในครู่นั้นเอง เจ้าค้างคาวแม่ไก่ก็บินมาอีก โฉบไปโฉบมาจนรอบหัวเขา จนเทียนที่ปักอยู่ตรงหน้าเขาถูกลมแรงปีกวูบวาบแทบจะดับลง พอค้างคาวผละไป เจ้านกแสกก็บินโผผ่านเข้ามาอีก ร้องเสียงกรีดหัวใจแล้วหายไปในดงมืด ฉันตั้งสติอดทนเหลือเกิน มันเป็นพิธีร้ายกาจที่สุด ผู้เข้าพิธียังคงนั่งนิ่งอีกสักครู่ แล้วจึงลุกเดินไปที่เสาต้นแรก เป่ามนต์ลงที่เสาอีก แล้วเกิดปีนเสาขึ้นไปจนถึงเพดานที่มืดตื้อหายไป ฉันกับเพื่อนมองหน้ากันอย่างตกใจ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรและทำอะไร ทิดนั่นก็ไต่ลงมาอีกเสาด้านหนึ่ง แต่การไต่ลงนี้ช่างแปลกประหลาดจนเราสะดุ้งใจ เขาไต่โดยเอาหัวลงมาอย่างตุ๊กแกหรือจิ้งจก แล้ววิ่งไปขึ้นอีกเสาหนึ่ง แล้วหายไปบนเพดานอีกตามเคย ฉันกับเพื่อนชักระส่ำระสาย เกิดสะกิดใจกลัว แต่เราพูดอะไรกันไม่ออกเลย ยังไม่รู้ว่า ภาพที่เราเห็นนั้นคืออะไร แต่ในครู่นั้นเอง ฉันถึงกับผุกลุกขึ้นยืน เพราะทั้งสี่เสานั้นมีคนไต่ลงมาพร้อมกัน และร้ายที่สุด มันเป็นคนคนเดียวกันทั้งสี่เสา ฉันกับเพื่อนยืนขาสั่น ในที่สุด เจ้าสี่คนที่เสานั้นก็หายวับไป เหมือนมีใครวิ่งหัวเราะดังก้องเข้าไปในทางดงมืด ฉันฉุดมือเพื่อนได้ ออกวิ่งสุดกำลัง จะโดนอะไรหรือจะตกอะไรไม่พึงคิดทั้งสิ้น หัวใจไม่อยู่กับตัว เราทั้งสองมาสะดุดถนนอิฐล้มลง เสียงคนพูดกันหลายคนเอะอะ เงยหน้าขึ้นจึงเห็นพระสี่องค์พร้อมทั้งเด็กโต ๆ สองคน พระไม่ถามอะไรเลย ฉุดมืดฉันและเพื่อน แล้วท่านเดินห้อมล้อมกันมาจนขึ้นกุฏิ ฉันกับเพื่อนสั่นเทาไปทั้งตัว พระแก่องค์หนึ่งมาเป่าขม่อมให้สักครู่จึงรู้สึกอบอุ่น พระบางองค์ท่านถามเรื่องราว เราพูดกันไม่ออกเลย ปากคอมันสั่นไปหมด ท่านเลยเลิกถาม พระองค์หนึ่งบอกให้เราเข้าไปในกุฏิชั้นในเถิด เราทั้งสองตามเข้าไป แล้วจึงรู้ว่า ท่านให้เราทั้งสองนอนค้างที่นั่น ฉันกับเพื่อนคลุมโปงอย่างหนาวสั่น เพิ่งรู้ว่า รอดตัวมาได้โดยพระท่านกลับจากสวดศพทั้งสี่รูปพร้อมกับศิษย์วัด ฉันเล่าเรื่องให้ท่านฟังได้เอาตอนเช้า พระแก่พูดว่า เอ้า! โยมก็ได้หวยแล้วนี่ ฉันกับเพื่อนนึกไม่ออกว่า ได้หวยตัวอะไร พอลาพระท่านแล้ว ขากลับกลับอีกทาง พอออกพ้นวัด พบร้านเหล้า ก็ดื่มเอาอย่างกระหาย พอเหล้าเข้าไปอบอุ่น ก็นั่งคิดว่า ที่พระท่านพูดว่า โยมก็ได้หวยแล้วนั้น หมายถึงอะไร เลยคิดออกทันที ก็คือ ผ ผี นั่นเอง"

"ลุงแทงหรือเปล่าครับ?" ผมถามแก และใคร ๆ ก็รุมถามกันอีกหลายคน โต๊ะอื่น ๆ ต่างมารุมฟังกัน ผิดกว่าตอนแรก ๆ ที่นั่งกันคนละโต๊ะ ตอนหลังนี่มายืนล้อมฟังกันแน่น

"แทงซิคุณ ฉันแทง ผ ผี เข้าตัวเดียว ไม่เล่นค่ำเลย" แกว่า

"ถูกไหม คุณตา" หนุ่มคนเดิมถามขึ้น

"ถูกซิคุณ โฮย! แทบตายกว่าจะถูก" แกว่า ผมจัดแจงจ่ายค่าเหล้าให้แกตามสัญญาแล้วลากลับบ้าน รีบบันทึกเหตุการณ์ของนักนั่งหวยมาให้ฟังดังนี้