คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๐/๒๕๑๐
หน้านี้ขาดแหล่งที่มาของเนื้อหา ถ้าเป็นไปได้ ควรเป็นเอกสารต้นฉบับที่สแกนมาอัปโหลดไว้ที่วิกิมีเดียคอมมอนส์แล้วจัดทำแบบพิสูจน์อักษร หรือถ้าไม่สามารถอัปโหลดต้นฉบับเช่นนั้นได้ อย่างน้อยก็ควรระบุแหล่งที่มาที่สามารถตรวจสอบความถูกต้องแท้จริงของเนื้อหาได้ |
- ชั้นต้น
- ชั้นอุทธรณ์
- ชั้นฎีกา
เรื่อง ความผิดเกี่ยวกับเพศ
ที่ ๒๕๐/๒๕๑๐ |
พนักงานอัยการ กรมอัยการ | โจทก์ | ||
ระหว่าง | |||
นายพิมล กาฬสีห์ ที่ ๑ | จำเลย | ||
นางนภาพันธ์ กาฬสีห์ ที่ ๒ |
โจทก์ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ลงวันที่ ๒๑ เดือนเมษายน พุทธศักราช ๒๕๐๙
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเป็นสามีภริยากัน ได้ร่วมกันกระทำผิด โดยเมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ ๒๙ เวลากลางคืนก่อนเที่ยงติดต่อกัน เพื่อสำเร็จความใคร่ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ได้เป็นธุระจัดหาใช้อุบายหลอกลวงนางสาวเพ็ชร์ ทิวาพัฒน์ ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นคนรับใช้ของจำเลยไปนวดจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยทั้งสองบังอาจข่มขืนใจและพูดให้ผู้เสียหายจับอวัยวะสืบพันธุ์จำเลยที่ ๑ รูดขึ้นลง ถ้าไม่ทำตาม ผู้เสียหายจะเป็นอันตรายถูกฆ่าให้ตาย ผู้เสียหายจึงยอมกระทำตามที่จำเลยทั้งสองบังคับ แล้วจำเลยทั้งสองใช้อำนาจด้วยกำลังกายทำอนาจารแก่ผู้เสียหาย โดยใช้มือจับนมผู้เสียหายอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ แล้วจำเลยที่ ๑ ได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย โดยจำเลยทั้งสองใช้กำลังกายกอดปล้ำและกดให้ผู้เสียนอนลง โดยมีจำเลยที่ ๒ ใช้กำลังกายเปลื้องเสื้อ ผ้าถุง และกางเกงในของผู้เสียหายออก และช่วยจับขาผู้เสียหายถ่างออกทั้งสองข้าง เพื่อให้จำเลยที่ ๑ เข้ากระทำชำเรา จนจำเลยที่ ๑ ได้กระทำชำเราผู้เสียหาย สำเร็จความใคร่รวมห้าครั้ง การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายให้อยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ เหตุเกิดที่ตำบลปากคลอง อำเภอภาษีเจริญ จังหวัดธนบุรี ก่อนคดีนี้ จำเลยที่ ๑ เคยต้องคำพิพากษาฐานแจ้งความเท็จ ให้จำคุกหนึ่งเดือน ปรับสองร้อยบาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ภายในหนึ่งปี ตามคดีแดงที่ ๒๓๘๘/๒๕๐๕ ของศาลแขวงธนบุรี จำเลยมากระทำผิดคดีนี้ภายในหนึ่งปี ขอให้ลงโทษและบวกโทษที่รอไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘, ๒๘๓, ๓๐๙, ๙๐, ๙๑, ๕๖, ๕๘
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อสู้ว่า ถูกบุคคลบางกลุ่มร่วมกับผู้เสียหายใส่ความ เพื่อรีดเอาทรัพย์จากจำเลย และจะทำลายชื่อเสียงของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นนักเขียนการ์ตูนมีชื่อ ส่วนข้อเคยต้องโทษ จำเลยที่ ๑ รับว่า จริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘ แต่ให้ลงโทษตามบทหนัก มาตรา ๒๗๖ จำคุกจำเลยที่ ๑ ห้าปี และนำโทษที่รอไว้ในคดีอาญาแดงที่ ๒๓๘๘/๒๕๐๕ ของศาลแขวงธนบุรี มาบวกกับโทษคดีนี้ รวมเป็นโทษจำคุกห้าปี หนึ่งเดือน ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้จำคุกสามปี คำขอนอกจากนี้ ให้ยกเสีย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ข้อเท็จจริง และอุทธรณ์ข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๒ เป็นหญิง ไม่สามารถจะกระทำความผิดในข้อห้าข่มขืนได้ จะเป็นได้ก็แต่เพียงผู้สนับสนุนเท่านั้น ที่ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานตัวการด้วยนั้น ยังไม่ชอบ
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ว ไม่เชื่อว่าผู้เสียหายจะถูกจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราจริง แต่อย่างไรก็ตาม แม้จะฟังคำผู้เสียหายว่าได้ถูกกระทำชำเราจริง ก็เชื่อว่าผู้เสียหายสมัครใจยินยอม พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาได้ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว ทางพิจารณา โจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๖ เวลา ๑๗:๐๐ นาฬิกา นางสาวเพ็ชร์ ทิวาพัฒน์ ผู้เสียหาย มีอายุยี่สิบสามปี ได้ไปสมัครเป็นคนใช้ของจำเลย โดยจำเลยให้ค่าจ้างเดือนละสองร้อยบาท จำเลยได้จัดให้พักอยู่ในห้องติดกับครัว ผู้เสียหายเข้านอนเวลา ๒๑:๐๐ นาฬิกา นอนหลับได้ตื่นหนึ่ง รู้สึกปวดปัสสาวะ จึงลุกขึ้นจะไปถ่ายปัสสาวะ จำเลยที่ ๒ ได้ร้องเรียกให้ผู้เสียหายตักน้ำให้ ผู้เสียหายตักน้ำไปยื่นให้จำเลยที่ ๒ ที่บันได แล้วจำเลยที่ ๒ บอกให้ผู้เสียหายไปช่วยนวดให้จำเลยที่ ๑ ผู้เสียหายว่า นวดไม่เป็น ไม่เคยนวด จำเลยที่สองก็ว่า จะสอนให้ เวลานั้นดึกมากแล้ว ผู้เสียหายคิดว่า ไม่ควรจะขัดขืนนายจ้าง เกรงจะถูกตำหนิ จึงเดินตามจำเลยที่ ๒ ขึ้นไปยังห้องชั้นบน จำเลยที่ ๒ พาเข้าไปในห้องนอนซึ่งมีไฟฟ้าเปิดอยู่ และบอกให้ผู้เสียหายนั่งลงที่พื้นข้างเตียงนอน ขณะนั้น จำเลยที่ ๑ นอนอยู่บนเตียง สวมกางเกงขายาว ไม่ได้ใส่เสื้อ จำเลยที่ ๒ ไปนั่งบนเตียงทางปลายเท้า แล้วพูดกับผู้เสียหายว่า “หนู ๆ คุณผู้ชายเขาทำงานไม่มีกลางวันกลางคืน นวดให้เขาหน่อย” ผู้เสียหายถามว่า นวดที่ไหน จำเลยที่ ๒ บอกว่า นวดตามขา ผู้เสียหายจึงคุกเข่าอยู่ที่พื้น แล้วเอามือบีบนวดตามขาของจำเลยที่ ๑ สักกลั้นใจเต็ม ๆ จำเลยที่ ๑ พูดว่า ถ้าเมื่อยก็ขึ้นมาบนเตียง ผู้เสียหายรู้สึกเจ็บหัวเข่า จึงขึ้นไปนั่งบนเตียง โดยห้อยเท้าทั้งสองข้างลงมาข้างล่าง แล้วนวดขาจำเลยที่ ๑ อยู่อีกนานกลั้นใจเต็ม ๆ จำเลยที่ ๒ ก็มาจับมือผู้เสียหายไปวางบนบริเวณของลับของจำเลยที่ ๑ ผู้เสียหายชักมือออก จำเลยที่ ๒ ก็ดึงไปวางไว้ที่เดิม และกุมมือผู้เสียหายไว้ จำเลยที่ ๑ ก็พูดขึ้นว่า นายผู้หญิงเขาจะให้ทำอย่างไรก็ต้องตามใจเขา ผู้เสียหายว่า ไม่ทำละ จำเลยก็พูดว่า ไม่ทำ นายผู้หญิงเขาใจร้าย ขณะที่พูดนั้น จำเลยที่ ๒ ก็แกะลูกกระดุมกางเกงของจำเลยที่ ๑ ออก แล้วจับมือผู้เสียหายขยี้กับของลับของจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๒ ลุกจากเตียงไปหยิบผ้าขาวมาคลุมลงบนมือผู้เสียหายนานไม่ถึงอึดใจ ของลับของจำเลยที่ ๑ ก็แข็ง จำเลยที่ ๑ ก็ดึงเอาผ้าขาวม้าออก แล้วจำเลยที่ ๒ ได้ถอดกางเกงของจำเลยที่ ๑ ออก ผู้เสียหายชักมืออก ทำท่าจะลุกหนี จำเลยที่ ๒ เอามือจับไว้ แล้วจำเลยทั้งสองช่วยกันถอดเสื้อผ้าของผู้เสียหายออก ผู้เสียหายและจำเลยที่ ๑ จึงอยู่ในลักษณะเปลือย แล้วจำเลยที่ ๑ จับยึดตัวผู้เสียหายไว้ ส่วนจำเลยที่ ๒ ไปหยิบผ้ามาปูที่พื้นข้างเตียง และเอาหมอนมาวางหนึ่งใบ เสร็จแล้ว จำเลยที่ ๑ ดึงผู้เสียหายลงจากเตียง บังคับให้นอนลงบนผ้าปู โดยผลักให้นอนหงายลงไป แล้วขึ้นนอนทับลำตัวผู้เสียหาย ผู้เสียหายดิ้น จำเลยที่ ๒ ก็เข้ามาจับต้นขาไว้ แล้วจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราผู้เสียหายสักอึดใจหนึ่งก็สำเร็จความใคร่ จำเลยที่ ๑ พลิกลงนอนอยู่ข้าง ๆ และกอดผู้เสียหายไว้ แล้วจับมือผู้เสียหายไปรูดของลับจำเลยที่ ๑ ขึ้น ๆ ลง ๆ จนของลับจำเลยแข็งขึ้นมา จำเลยที่ ๑ ก็ขึ้นกระทำชำเราผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่อีก จำเลยที่ ๑ กระทำดังนี้จนสำเร็จความใคร่ถึงห้าครั้ง ในครั้งที่ห้า ซึ่งเป็นครั้งสุดท้าย ผู้เสียหายไม่ยอมเอามือไปรูดของลับของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ ก็พูดว่า ทำให้เขาดี ๆ ซิ เขาบอกอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้น และจำเลยที่ ๑ พูดว่า นายผู้หญิงเขาชอบให้ทำต่อหน้า ทำลับหลังเขาไม่ชอบ แล้วจำเลยที่ ๒ ก็จับมือผู้เสียหายไปจับของลับของจำเลยที่ ๑ รูดขึ้นรูดลงอยู่ครึ่งอึดใจ ของลับก็แข็ง จำเลยที่ ๒ พูดว่า ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าเขาทำแรง ๆ อย่าไปร้อง เดี๋ยวชาวบ้านเขาได้ยิน แล้วจะขึ้นเงินเดือนให้ และถ้าร้องเอะอะ จะเอาตำรวจมาจับเข้าตะราง เมื่อจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราเสร็จครั้งที่ห้าแล้ว จำเลยที่ ๑ ก็ลงมานอนข้าง ๆ ผู้เสียหาย ผู้เสียหายจะลุกขึ้น จำเลยที่ ๒ ก็เข้ามาจับแขนกด และบอกให้อมของลับของจำเลยที่ ๑ ผู้เสียหายว่า ไม่ยอม จำเลยที่ ๒ ก็ดึงตัวเลื่อนลงมาให้ปากของผู้เสียหายได้ระดับกับของลับของจำเลยที่ ๑ แล้วจำเลยที่ ๒ จับของลับจำเลยที่ ๑ เอามายัดใส่ปากผู้เสียหาย และพูดว่า อมเข้า จำเลยที่ ๑ ก็ว่า เขาบอกอย่างไร ก็ต้องทำอย่างนั้น ผู้เสียหายไม่ยอม จำเลยที่ ๒ ก็บีบสองข้างปากและคอผู้เสียหาย ผู้เสียหายต้องอ้าปากอมเข้าไป แล้วจำเลยที่ ๒ พูดว่า ดูดกินน้ำเสียซิ น้ำเขาออกหรือเปล่า ผู้เสียหายไม่พูด จำเลยที่ ๑ พูดว่า คุณผู้หญิงเขาพูดให้ทำ ก็ทำซิ นายผู้หญิงเขาใจร้าย เดี๋ยวเขาฆ่าเธอนะ ผู้เสียหายก็ไม่ดูด และได้คายออก แล้วจำเลยที่ ๒ ก็บอกให้ผู้เสียหายลงไปข้างล่าง พร้อมกับส่งผ้าถุงและเสื้อผ้าของผู้เสียหายให้ และกำชับว่า อย่าเดินแรง เดี๋ยวเด็กตื่นขึ้นมารู้เรื่อง ผู้เสียหายนุ่งผ้าใส่เสื้อเสร็จ ก็ลงไปข้างล่าง แล้วหนีออกจากบ้านไปที่บ้านนางสาวพยอม เล่าเรื่องให้นางสาวยงค์ ญาติ ซึ่งเป็นคนใช้อยู่ที่นั่น ฟัง แล้วนางสาวยงค์และนางสาวพยอมได้พาผู้เสียหายไปแจ้งที่ป้อมตำรวจประตูน้ำภาษีเจริญ ขณะนั้น เป็นเวลาประมาณ ๔:๐๐ นาฬิกา พอสว่าง ตำรวจก็ให้ผู้เสียหายพาไปที่บ้านจำเลย ตำรวจแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ แล้วจับจำเลยทั้งสองไปที่สถานีตำรวจบางยี่เรือ พนักงานสอบสวนได้ส่งตัวผู้เสียหายไปให้แพทย์ที่โรงพยาบาลตำรวจตรวจของลับและช่องคลอดในเช้าวันนั้น เสร็จแล้ว ได้พาผู้เสียหายไปตรวจที่บ้านจำเลย ยึดผ้าปูที่นอน และได้เอาผ้าถุงที่ผู้เสียหายนุ่งกับเสื้อชั้นในที่สวมใส่นั้นไปตรวจด้วย ผลของการตรวจ ปรากฏว่า ผ้าปูที่นอนมีคราบโลหิตรอยใหญ่ เป็นโลหิตหมู่โอ (O) ส่วนคราบเล็ก ๆ เป็นโลหิตหมู่บี (B) โลหิตหมู่โอเป็นโลหิตของจำเลยที่ ๑ ส่วนโลหิตหมู่บีเป็นของผู้เสียหาย ผ้าถุงของผู้เสียหาย ตรวจพบน้ำอสุจิติดอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของผ้าถึง ส่วนการตรวจร่างกายของผู้เสียนั้น ตรวจพบว่า
๑. อวัยวะสืบพันธุ์ภายนอก มีขนและคราบโลหิตติดอยู่
๒. ปากช่องคลอด มีแผลปริใหม่ ๆ หนึ่งแผล และมีโลหิตซึมออกจากแผล
๓. เยื่อพรหมจารีไม่มี
๔. ช่องคลอดขนาดปกติมีโลหิตเล็กน้อย
๕. ปากมดลูก มีขนาดเล็ก มีโลหิตประจำเดือนซึมออก ตรวจไม่พบเชื้ออสุจิและเชื้อหนองใน
ฝ่ายจำเลยสืบว่า คืนเกิดเหตุ เวลา ๒๐:๐๐ นาฬิกา จำเลยที่ ๒ ให้ผู้เสียหายตักน้ำขึ้นมา เพื่อใช้ล้างพู่กันเขียนการ์ตูน และให้ทำความสะอาดโต๊ะทำงาน ขณะนั้น จำเลยที่ ๑ มีอาการจุก จำเลยที่ ๒ ได้กดท้องให้อยู่บนเตียง แล้วจำเลยที่ ๒ วานให้ผู้เสียหายช่วยกดท้องจำเลยที่ ๑ ด้วยเท่านั้น แล้วนั่งสอบถามประวัติของผู้เสียหายจน ๒๑:๐๐ นาฬิกา แล้วให้ลงไปข้างล่าง ผู้เสียหายขอเบิกเงินล่วงหน้าหนึ่งเดือน จำเลยที่ ๒ ไม่ให้ เพราะเกรงจะหนีก่อนครบเดือน ผู้เสียหายไม่พอใจ เดินลงไป เข้าห้องปิดประตู แล้วไม่ได้ขึ้นมาอีก จนสว่าง ๖:๐๐ นาฬิกา มีตำรวจมาบอกว่า สารวัตรให้เชิญไปโรงพัก โดยผู้เสียหายไปแจ้งว่า ถูกจำเลยข่มขืนชำเรา คดีนี้ จำเลยเข้าใจว่า ถูกผู้เสียหายกลั่นแกล้ง เพื่อต้องการเงินหรือให้จำเลยเสียชื่อเสียง แต่ใครจะเป็นผู้หนุนหลัง จำเลยไม่ทราบ
ศาลฎีกาได้พิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายโดยตลอดแล้ว เชื่อว่า ผู้เสียหายถูกจำเลยที่ ๑ กระทำชำเราจริง เพราะนอกจากคำของผู้เสียหายแล้ว ยังมีคำของพันตำรวจโท กรณ์กิจ มุทิรางกูร แพทย์ผู้ทำการตรวจร่างกายของผู้เสียหาย เบิกความประกอบรายงานตรวจตามเอกสารหมายเลข จ. ๑ ว่า บาดแผลในรายการที่ ๒ เป็นบาดแผลซึ่งเกิดจากของใหญ่กว่าช่องคลอดเล็กน้อยผ่านเข้าไป เช่น อวัยวะสืบพันธุ์ของชายในระยะแข็งตัวเต็มที่ทิ่มตำเข้าไป และเป็นแผลเกิดขึ้นใหม่ ๆ ภายในยี่สิบสี่ชั่วโมงที่ล่วงมา
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป มีว่า ผู้เสียหายสมัครใจยินยอมให้จำเลยที่ ๑ กระทำชำเราหรือเปล่า ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว จำเลยทั้งสองนำสืบปฏิเสธว่า ไม่ได้กระทำชำเราผู้เสียหายแต่ประการใด การที่ผู้เสียหายไปแจ้งความกล่าวหาจำเลยทั้งสองนี้ จำเลยเข้าใจว่าถูกผู้เสียหายกลั่นแกล้ง เพื่อต้องการเงินหรือทำให้จำเลยเสียชื่อเสียง ใครจะเป็นผู้หนุนหลังอยู่ จำเลยไม่ทราบ แต่ในทางพิจารณา ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายได้เรียกร้องเอาเงินจากจำเลย ถ้ารูปคดีเป็นดั่งจำเลยต่อสู้ ในระหว่างดำเนินคดี ผู้เสียหายก็น่าจะหาทางเรียกร้องเอาเงินจากจำเลยเป็นแน่ ผู้เสียหายเข้าไปเป็นคนใช้ของจำเลยยังไม่ทันข้ามคืนก็เกิดเหตุ และได้ไปแจ้งความในตอนเช้ามืดนั้นเอง พนักงานสอบสวนก็ได้จดคำให้การในวันนั้นไว้โดยละเอียด ไม่มีเหตุระแวงสงสัยว่า ผู้เสียหายจะแกล้งสร้างเรื่องขึ้นเอง เพราะพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เสียหายให้การถึงนั้น ถ้าไม่เป็นความจริงแล้ว ผู้เสียหายจะให้การถึงได้อย่างไร ที่จำเลยสืบว่า ผู้เสียหายคงโกรธจำเลยที่ ๒ ที่ไม่ยอมจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าให้ จึงแกล้งใส่ความนั้น ถ้าเป็นจริงดังนั้น ทำไมผู้เสียหายไม่กล่าวหาแต่เพียงจำเลยคนเดียว อนึ่ง เพียงแต่จำเลยไม่ยอมจ่ายค่าจ้างล่วงหน้าเท่านั้น ศาลฎีกาเห็นว่า สาเหตุเพียงเท่านี้ ไม่น่าเชื่อว่าผู้เสียหายจะกล่าวหาจำเลยทั้งสองดังโจทก์ฟ้อง
ตามพฤติการณ์ต่าง ๆ ที่จำเลยทั้งสองได้กระทำแก่ผู้เสียหาย เริ่มต้นแต่เรียกผู้เสียหายขึ้นไปนวด แล้วให้จับของลับรูดขึ้น ๆ ลง ๆ แล้วจำเลยที่ ๒ ช่วยกดขาผู้เสียหายให้จำเลยที่ ๑ ทำชำเราผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เป็นการใช้กำลังประทุษร้าย โดยหญิงอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไป มีว่า หญิงจะเป็นตัวการร่วมในการข่มขืนกระทำชำเราได้หรือไม่ ศาลฎีกา โดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า ความผิดในเรื่องข่มขืนกระทำชำเรา เป็นความผิดที่ร่วมกันกระทำผิดได้ โดยผู้ร่วมกระทำผิดมิต้องเป็นผู้ลงมือกระทำชำเราด้วยทุกคน เพียงแต่คนใดคนหนึ่งกระทำชำเรา ผู้ที่ร่วมกระทำผิดทุกคนก็มีความผิดฐานเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ แล้ว และตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖ ก็หาได้บัญญัติให้ลงโทษแต่เฉพาะชายเท่านั้น ในบทกฎหมายมาตรานี้ บัญญัติแต่เพียงว่า “ผู้ใดกระทำผิด ฯลฯ” เท่านั้น ฉะนั้น แม้จำเลยที่ ๒ จะเป็นหญิง เมื่อได้สมคบกับจำเลยที่ ๑ ร่วมกันกระทำผิด ศาลก็ลงโทษจำเลย ฐานเป็นตัวการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ ได้
ที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกปัญหาต่าง ๆ ขึ้นวินิจฉัยโดยยืดยาว สรุปแล้วไม่เชื่อคำของผู้เสียหายนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๖, ๒๗๘ แต่ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๗๖ ซึ่งเป็นบทหนักตามมาตรา ๙๐ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนดสามปี และเอาโทษที่รอไว้ในคดีอาญาเลขแดงที่ ๒๓๘๘/๒๕๐๕ ของศาลแขวงธนบุรีมาบวกกับโทษในคดีนี้ รวมเป็นโทษสามปี หนึ่งเดือน ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้จำคุกสองปี
- ศริ มลิลา
- ยง เหลืองรังสี
- สุทิน เกษคุปต์
งานนี้ไม่มีลิขสิทธิ์ เพราะเป็นงานตาม แม่แบบผิดพลาด: โปรดระบุประเภทของงานนี้ (ดูวิธีใช้) แห่งพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ของประเทศไทย ซึ่งบัญญัติว่า
- "มาตรา 7 สิ่งต่อไปนี้ไม่ถือว่าเป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้
- (1)ข่าวประจำวัน และข้อเท็จจริงต่าง ๆ ที่มีลักษณะเป็นเพียงข่าวสาร อันมิใช่งานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
- (2)รัฐธรรมนูญ และกฎหมาย
- (3)ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ คำสั่ง คำชี้แจง และหนังสือโต้ตอบของกระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
- (4)คำพิพากษา คำสั่ง คำวินิจฉัย และรายงานของทางราชการ
- (5)คำแปลและการรวบรวมสิ่งต่าง ๆ ตาม (1) ถึง (4) ที่กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น จัดทำขึ้น"