พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด)/ตอน 8

(๗) รัชกาลสมเด็จพระบรมราชาธิราช (ที่ ๒)

มุขมนตรีออกไปเฝ้าเจ้าสามพญาทูลการซึ่งพระเชษฐาธิราชขาดคอช้างทั้งสองพระองค์ แล้วเชิญเสด็จเข้ามาในพระนครเสวยราชสมบัติ ทรงพระนามชื่อ สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้า ท่านจึงให้ขุดเอาพระศพเจ้าอ้ายพญา เจ้าญี่พญา ไปถวายพระเพลิง[1] "ที่ถวายพระเพลิงนั้น ให้สถาปนาพระมหาสถูปและพระวิหารเป็นพระอาราม แล้วให้นามชื่อว่า วัดราชบูรณะ ที่เจ้าอ้ายพระยา เจ้ายี่พระยา ชนช้างกันถึง พิราลัย ให้ก่อพระเจดีย์สององค์ไว้ที่เชิงตะพานป่าถ่าน

ศักราช ๗๘๓ ปีฉลู ตรีนิศก (พ.ศ. ๑๙๖๔) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จไปเอาเมืองพระนครหลวงได้ ท่านจึงให้พระราชกุมารท่านพระนครอินท์เจ้าเสวยราชสมบัติ ณ เมืองนครหลวง ท่านจึงให้เอาพระยาแก้วพระยาไทและครอบครัวกับทั้งรูปพระโครูปสิงห์สัตวทั้งปวงมาด้วย ครั้นถึงพระนครศรีอยุธยา จึงให้เอารูปสัตวทั้งปวงไปบูชาไว้ ณ วัดพระศรีมหาธาตุบ้าง ไว้วัดพระศรีสรรเพชญบ้าง

ศักราช ๗๘๖ ปีมะโรง ฉศก (พ.ศ. ๑๙๖๗) สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าสร้างวัดมเหยงคณ์ สมเด็จพระราเมศวรเจ้าผู้เป็นพระราชกุมารท่านเสด็จไปเมืองพิษณุโลก ครั้งนั้น เห็นน้ำพระเนตรพระพุทธเจ้าพระชินราชตกออกเป็นโลหิต"

ศักราช ๗๘๘ ปีมะเมีย อัฐศก (พ.ศ. ๑๙๖๙) ครั้งนั้น เกิดเพลิงไหม้พระราชมนเทียรสถาน

ศักราช ๗๘๙ ปีมะแม นพศก ครั้งนั้น เกิดเพลิงไหม้พระที่นั่งตรีมุข

ศักราช ๗๙๐ ปีวอก สัมเรทธิศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จไปเอาเมืองเชียงใหม่ แลเข้าปล้นเมืองมิได้ พอทรงพระประชวร ทัพหลวงเสด็จกลับคืน

ศักราช ๗๙๒ ปีจอ โทศก เสด็จขึ้นไปตีเชียงใหม่อีกครั้งหนึ่ง แลตั้งทัพหลวงตำบลท้ายเกษม ครั้งนั้น ได้เชลยแสนสองหมื่น ทัพหลวงเสด็จกลับคืน

ศักราช ๗๙๖ ปีขาล ฉศก สมเด็จพระบรมราชาธิราชเจ้าเสด็จสวรรคต อยู่ในราชสมบัติ ๑๖ ปี


  1. ความตั้งแต่ตอนนี้จนจบตัวเอน ฉบับลานขาด ได้คัดจากฉบับพระราชหัตถเลขามาเติมลงให้ครบความ