แผ่นดินสมเด็จพระมหินทราธิราช ครั้งที่ ๒

 ครั้นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระเจ้าช้างเผือกสวรรคตแล้ว สมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินมิได้นำพาการศึก แลเสด็จอยู่แต่ในพระราชวัง ไว้การทั้งปวงแก่พระยารามให้บังคับบัญชาตรวจตราทหารทั้งปวงผู้รักษาน่าที่รอบพระนคร ขณะนั้น พระยารามขี่คานหามทอง มีมยุรฉัตรประดับซ้ายขวา แลพลทหารแห่น่าหลังเปนหนั่นหนา แต่พลถือปืนนกสับเจ็ดร้อย เที่ยวเลียบน่าที่ทุกวัน แลเกณฑ์พลทหารออกรบชาวหงษาวดีเปนสามารถ.

 ขณะนั้น พระยาจักรรัตนถือพลทหารออกไปหักค่ายข้าศึกณท้ายคู แลเผาค่ายน่าที่พระยาเกียรติ์ได้ประมาณเส้นหนึ่ง พลศึกอันประจำค่ายพ่ายลงไป จึงพระยาเกียรติ์ยกพลออกรบพระยาจักรรัตน พระยาจักรรัตนถลำไปก็เสียตัว แลชาวอาสาทั้งปวงก็พ่ายเข้ามาพระนคร พระยาเกียรติ์จับพระยาจักรรัตนไปถวายแก่พระเจ้าหงษาวดี ๆ ทรงพระโกรธแก่พระยาเกียรติ์ ตรัศแก่พระมหาอุปราชาว่า ซึ่งพระยาเกียรติ์มิได้รักษาค่ายให้มั่น ให้ชาวพระนครออกมาเผาเสียได้ มิลงโทษพระยาเกียรติ์ด้วยประการใด พระมหาอุปราชากราบทูลว่า พระยาเกียรติ์เสียค่าย ได้นายกองซึ่งถือพลออกมานั้น เห็นว่า โทษพระยาเกียรติ์กลบลบกัน จึงมิได้ลงโทษ พระเจ้าหงษาวดีทรงพระโกรธแก่พระมหาอุปราชาว่า ถึงพระยาเกียรติ์จับได้นายกองก็ดี ยังมิคุ้มโทษ แลมหาอุปราชาว่า พระยาเกียรติ์คุ้มโทษแล้ว แลมิได้เอาโทษพระยาเกียรติ์นั้น เห็นว่า มหาอุปราชามิได้เอาใจลงในการศึก อย่าให้มหาอุปราชาอยู่บังคับการศึกในทัพนั้นเลย จะไปแห่งใดก็ตามใจเถิด ให้มหาอุปราชาเอาแต่ช้างตัวหนึ่ง คนขี่ท้ายกลาง ไปด้วย กว่านั้นอย่าให้เอาไป พระเจ้าหงษาวดีก็ขับพระมหาอุปราชาเสีย แล้วก็ให้ลงโทษแก่พระยาเกียรติ์ถึงสิ้นชีวิตร พระมหาอุปราชากลับมายังทัพ สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีก็ใช้สนองพระโอฐมาขับพระมหาอุปราชาให้ไปจากทัพจงพลัน ขณะนั้น พระเจ้าแปร พระเจ้าอังวะ กลัวอาชญาพระเจ้าหงษาวดี มิอาจทูลขอโทษพระมหาอุปราชาได้ พระมหาอุปราชาก็ให้มาทูลแก่พระมหาธรรมราชาว่า สมเด็จพระราชบิดาทรงพระโกรธ ให้ขับเราเสียจากทัพ แลพระเจ้าแปร พระเจ้าอังวะ จะทูลขอโทษนั้นพ้นกำลัง ทูลมิได้ แลซึ่งจะช่วยเราครานี้ เห็นแต่พระเจ้าพี่เราพอจะทูลขอโทษเราได้ เมื่อพระมหาอุปราชาให้มาทูลแก่พระมหาธรรมราชานั้น พระเจ้าหงษาวดีใช้สนองพระโอฐมาเล่า ว่า ให้พระมหาอุปราชาเร่งไปจงพลัน พระมหาอุปราชากลัวพระราชอาชญา ก็แต่งตัวขึ้นช้างไปจากทัพ จึงพระมหาธรรมราชาตรัศให้ข้าหลวงไปห้ามพระมหาอุปราชาว่า ให้งดอยู่ เราจะไปทูลขอโทษก่อน พระมหาธรรมราชาก็เสด็จมาเฝ้า ทูลขอโทษพระมหาอุปราชา พระเจ้าหงษาวดีก็โปรดยกโทษให้.

 ขณะนั้น พระเจ้าหงษาวดีให้พระเจ้าแปรยกทัพเรือลงไปโดยคลองสพานขายเข้า ไปออกบางไทร เลี้ยวขึ้นมาตั้งท้ายคู กันมิให้เรือขึ้นล่องเข้าออกได้ แล้วพระเจ้าแปรก็แบ่งทัพเรือลงไปลาดถึงเมืองนนทบุรี เมืองธนบุรี เมืองสาครบุรี.

 ขณะนั้น สำเภาจีนจังจิ๋วมิทันรู้ว่า ศึกเมืองหงษาวดีมาล้อมพระนคร ก็ใช้ใบเข้ามาถึงหลังเต๋า พระเจ้าแปรรู้ก็ยกทัพเรือออกไป จะเอาสำเภาจีนจังจิ๋ว ๆ รู้ว่า ศึกมาล้อมพระนคร แต่งทัพเรือลงมาลาด จีนจังจิ๋วก็ใช้ใบสำเภาออกไป แลทัพเรือพระเจ้าแปรยกออกไป เห็นสำเภาจีนจังจิ๋วคลาศออกไปฦกแล้ว จะตามเอามิได้ ก็ยกทัพคืนมา พระเจ้าหงษาวดีก็ทรงพระโกรธแก่พระเจ้าแปรว่า สำเภาจีนเข้ามาถึงปากน้ำแล้ว แลมิได้ติดตามออกไปเอาจงได้ ให้สำเภาจีนหนีไปรอดนั้น พระเจ้าแปรผิด ตรัศให้เอาตัวพระเจ้าแปรไปตระเวนรอบทัพแล้วให้คงเปนนายกองทัพเรือดุจเก่า.

 ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีก็แต่งทหารให้เข้าหักค่ายริมน้ำด้านประตูหอรัตนไชย พระยาราม แลพระยากระลาโหม พระยาอินทราธิบดี พระมหาเทพ พระมหามนตรี แลพระหัวเมืองขุนหมื่นทั้งหลาย ช่วยกันเอาใจลงในราชการ รบพุ่งป้องกันมิให้ชาวหงษาหักเข้ามาได้ แลพระมหาเทพแต่งพลอาสาออกทลวงฟัน ชาวหงษาวดีก็แตกฉานเปนหลายครั้ง แลการศึกนั้นก็ช้าอยู่ พระเจ้าหงษาวดีทรงพระโกรธ ก็ให้เอานายทัพนายกองนั้นลงโทษ แล้วบัญชาการให้พระมหาอุปราชาไปตั้งค่ายตำบลวัดเขาดินตรงเกาะแก้ว พระเจ้าอังวะบุตรเขยนั้นตั้งค่ายตำบลวัดสพานเกลือ พระเจ้าแปรผู้หลานตั้งค่ายตำบลวัดจันตรงบางเอียน ให้เร่งถมดินเปนถนนข้ามแม่น้ำเข้าไปให้ถึงฟากทั้งสามตำบลจงได้ พระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปร ก็มาเร่งให้ทำตามรับสั่ง ชาวพระนครเจ้าน่าที่เห็นดังนั้น ก็เอาปืนใหญ่น้อยระดมยิงข้าศึกล้มตายเปนอันมาก สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีเสด็จไปทอดพระเนตร เห็นยังไม่เปนถนนขึ้น ก็ตรัศว่า พระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปร สามคนนี้ จะให้พูนแต่ถนนข้ามคูเท่านี้ยังมิได้ ที่ไหนจะได้กรุงศรีอยุทธยาเล่า ถ้าตายลงสักคนหนึ่งเมื่อใด จึงจะเปนถนนขึ้นได้ ตรัศเท่าดังนั้นแล้ว เสด็จกลับไป พระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปร ยิ่งเกรงพระราชอาชญา จึงดำริห์ให้เอาไม้โตนดทำทุบทูบังพลขนมูลดินเข้าไปถมถนน ชาวพระนครก็วางปืนใหญ่ออกมาทำลายทุบทู พลล้มตายเปนอันมาก ผู้ตรวจการเห็นดังนั้น ก็ไปกราบทูลสมเด็จพระเจ้าหงษาวดีทุกประการ สมเด็จพระเจ้าหงษาวดีจึงตรัศถามผู้ตรวจการว่า พลแบกมูลดินตายลงคนหนึ่ง จะเปนมูลดินสักกี่ก้อน ผู้ตรวจการทูลว่า คนตายคนหนึ่งเปนมูลดินประมาณเจ็ดก้อนแปดก้อน พระเจ้าหงษาวดีตรัศมา เอาเถิด จงไปบอกเจ้าน่าที่ให้เร่งพลขนมูลดินถมถนนเข้าไป อย่าให้ขาดได้ ผู้ตรวจการก็มาทูลพระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปร ตามรับสั่งทุกประการ พระมหาอุปราชา พระเจ้าอังวะ พระเจ้าแปร ก็เร่งให้พวกพลทั้งปวงขนมูลดินเข้าไปถมถนนทั้งสามตำบลมิได้ขาดทั้งกลางวันกลางคืน พวกพลซึ่งต้องขนมูลดินต้องปืนตาย ก็ให้ทิ้งลงไปทั้งก้อนดินแลอาศพด้วยกัน แลการพูนถนนนั้นถึงสามเดือนจึงถึงฟากกำแพงพระนคร.

 ฝ่ายพระยาราม พระยากระลาโหม พระมหาเทพ เห็นเชิงศึกแหลมเข้ามา ก็ให้ตั้งค่ายในกำแพงพระนครชั้นหนึ่งเปนวงพาด เอาปืนใหญ่มณฑกมาตั้งดาไว้ณน่าค่ายนั้น ฝ่ายพลอันอยู่น่าที่กำแพงเชิงเทินนั้นก็ยังรบพุ่งป้องกันอยู่ พระเจ้าหงษาวดีให้ยกพลเข้ามาโดยถนนมุมเกาะแก้ว แล้วเอาทัพเรือมากระหนาบ เอาปืนจ่ารงค์มณฑกนกสับยิงแย้งระดมเจ้าน่าที่ดังห่าฝนชิงเอามุมเกาะแก้วนั้น ชาวทหารอาสาซึ่งอยู่น่าที่มุมเกาะแก้วนั้นจะยิงรบพุ่งป้องกันมิได้ ก็พ่ายลงมายังค่ายซึ่งตั้งไว้นั้น ชาวหงษาวดีรุกเข้ามาทลายกำแพงมุมเกาะแก้วได้ ขณะนั้น พระยารามก็สลดใจ จะบังคับบัญชาการศึกมิได้เปนสิทธิดุจก่อน ก็คิดด้วยท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายว่า จะป้องกันสืบไป เห็นพ้นกำลัง แลจะแต่งออกไปให้เจรจาเปนไมตรี ท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายก็ว่า ซึ่งจะเปนไมตรีไซ้ แต่ยังมิได้รบกันเปนสามารถ แลซึ่งได้รบพุ่งจนพระเจ้าหงษาวดีเสียรี้พลเปนอันมากดังนี้แล้ว พระเจ้าหงษาวดียังจะรับเปนไมตรีฤๅ ท้าวพระยาทั้งหลายก็มิลงด้วยพระยาราม แต่นั้นมา ท้าวพระยามุขมนตรีลูกขุนทหารทั้งปวงมิฟังบังคับบัญชาพระยาราม ต่างคนต่างรบพุ่งข้าศึก สมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินก็มิเอาพระไทยลงในการสงคราม ละให้แต่มุขมนตรีทั้งหลายรบพุ่ง.

 ขณะนั้น พระมหาเทพถือพลอาสาอยู่รักษาน่าค่ายมุมเกาะแก้วที่กำแพงทลายนั้น ข้าศึกหงษาวดียกเข้ามาปล้นค่ายเปนหลายครั้ง แลพระมหาเทพก็รบป้องกันไว้ ข้าศึกหักเข้าไม่ได้ อนึ่ง พระเจ้าลูกเธอ พระศรีเสาวราช เสด็จมายืนช้างพระที่นั่ง ให้พลอาสาช่วยพระมหาเทพรบแลแต่งทหารอาสาออกทลวงฟัน แล้วก็วางปืนใหญ่ยิงทะแยงออกไป ต้องพลหงษาวดีตายเปนอันมาก ข้าศึกจะปล้นเอาค่ายนั้นมิได้ ก็ตั้งประชิดกันอยู่.

 ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีทรงพระดำริห์ว่า กรุงพระมหานครศรีอยุทธยานี้ป้องกันเมืองเปนสามารถ ซึ่งจะหักเอาโดยง่ายนั้นยาก แล้วก็จวนเทศกาลฟ้าฝน จะลำบากไพร่พลนัก ก็ตรัศด้วยพระมหาธรรมราชาว่า จำเราจะเพโทบายให้ถือหนังสือเอาตัวพระยารามผู้เปนเจ้าการป้องกันพระนครนั้นได้แล้ว ก็จะเบามือลง เห็นจะได้เมืองถ่ายเดียว พระมหาธรรมราชาเห็นด้วย ก็แต่งนายก้องทองข้าหลวงเดิมให้ถือหนังสือลอบเข้าไปถึงขุนสนมข้าหลวงซึ่งสมเด็จพระเจ้าช้างเผือกไปเอามาลงแต่เมืองพระพิศณุโลกกับด้วยพระวิสุทธิกระษัตรีนั้น ขุนสนมก็ส่งหนังสือนั้นเข้าไปถวายแก่พระเจ้าอยู่หัวฝ่ายใน แลในลักษณหนังสือนั้นว่า พระเจ้าช้างเผือกตรัศคิดด้วยพระยาราม จึงแต่งการรบพุ่งป้องกันพระนคร ละให้เสียสัตย์คลองพระราชไมตรีนั้น บัดนี้ พระเจ้าช้างเผือกเสด็จสวรรคตแล้ว ยังแต่พระยาราม แลพระไทยพระเจ้าหงษาวดียังไป่เสียคลองพระราชไมตรี ตรัศว่า ถ้าแลพระเจ้าแผ่นดินส่งตัวพระยารามผู้ก่อเหตุออกไปถวายแล้ว พระเจ้าหงษาวดีก็จะเปนไมตรี มิให้ยากแก่สมณพราหมณาจารย์ประชาราษฎรทั้งปวง จะเลิกทัพกลับคืนไปเมืองหงษาวดี จึงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฝ่ายในก็เอาหนังสือนั้นมาแถลงแก่สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดิน ๆ ได้ฟังโดยลักษณหนังสือนั้น ก็ให้หาท้าวพระยาพฤฒามาตย์ทั้งปวงมาประชุมกันปฤกษาว่า ซึ่งพระเจ้าหงษาวดีจะให้ส่งพระยารามออกไปแลจะเปนไมตรีนั้น ยังเห็นควรจะส่งพระยารามออกไปฤๅ ๆ มิชอบส่ง จึงท้าวพระยาพฤฒามาตย์ทั้งปวงปฤกษาว่า ถ้าพระเจ้าหงษาวดีจะเปนพระราชไมตรีจริง ควรจะส่งพระยารามออกไป อย่าให้ได้ยากแก่ประชาราษฎรทั้งหลาย สมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินก็ตรัศให้แต่งหนังสือตอบออกไปว่า ถ้าพระเจ้าหงษาวดีจะเปนพระราชไมตรีสัจจริงดุจให้มีหนังสือเข้ามาไซ้ ก็จะส่งพระยารามออกไป จึงนายก้อนทองเอาหนังสือออกไปถวายแด่พระมหาธรรมราชา ๆ ก็ตรัศใช้นายก้อนทองเข้ามาเล่าว่า พระเจ้าหงษาวดีจะเปนพระราชไมตรีสุจริตจริง ให้ส่งตัวพระยารามออกไปเถิด ซึ่งจะเอาพระยารามไว้ จะให้ได้ยากแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงนั้น ดูมิบังควร ฝ่ายท้าวพระยามุขมนตรีทั้งหลายมิได้รู้กลพระเจ้าหงษาวดี สำคัญว่าจริง ก็พร้อมกันทูลสมเด็จพระมหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินให้ส่งพระยารามออกไปแก่พระเจ้าหงษาวดี สมเด็จพระเจ้ามหินทราธิราชเจ้าแผ่นดินจึงตรัศสั่งนายก้อนทองให้ออกไปทูลแก่พระมหาธรรมราชาว่า จะส่งพระยารามออกไป กำหนดให้มารับ ครั้นนายก้อนทองไปแล้ว พระเจ้าแผ่นดินให้จำพระยาราม แต่งคนคุมออกไปส่ง อาราธนาพระสังฆราชกับภิกษุสี่องค์ออกไปด้วย ครั้นพระสังฆราชแลผู้คุมคุมพระยารามไปถึง สมเด็จพระมหาธรรมราชาให้ถอดจำพระยารามออก แล้วก็พาเข้าไปถวายบังคมพระเจ้าหงษาวดี ๆ ก็ให้เบิกพระสังฆราชเข้ามา แล้วตรัศให้หาพระมหาอุปราชาแลท้าวพระยาผู้ใหญ่ทั้งปวงมาประชุมในน่าพลับพลา พระเจ้าหงษาวดีก็ตรัศแก่ท้าวพระยาทั้งหลายว่า พระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาให้พระสังฆราชเอาพระยารามผู้ก่อเหตุมาส่งแก่เรา แลว่า จะขอเปนพระราชไมตรีด้วยเราดุจก่อน ท้าวพระยาทั้งหลายจงพิพากษา ยังจะชอบรับเปนพระราชไมตรีฤๅประการใด ท้าวพระยาทั้งหลายก็ทูลว่า ซึ่งได้พระยารามออกมาแล้วดังนี้ เสมอได้แผ่นดินอยุทธยา อันจะเปนพระราชไมตรีนั้นหาต้องการไม่ ขอให้ยกเข้าหักเอากรุงจงได้ พระเจ้าหงษาวดีจึงตรัศว่า เราเปนกระษัตริย์ จะทำการสงครามสืบไป ซึ่งจะทำดังนี้หาควรไม่ แล้วสั่งนายทัพนายกองทั้งปวงให้รักษาแต่มั่นไว้ อย่าให้ประชิดรบพุ่งเข้าไป ฝ่ายชาวพระนครก็มิได้รบ ต่างคนต่างสงบอยู่ทั้งสองฝ่าย จึงพระเจ้าหงษาวดีก็สั่งพระสังฆราชเข้ามาว่า ถ้าพระเจ้ากรุงพระมหานครศรีอยุทธยาจะเปนพระราชไมตรีด้วยเราจริง ให้พระเจ้าแผ่นดินแลท้าวพระยาผู้ใหญ่ทั้งปวงออกมาถวายบังคม จึงจะรับเปนราชไมตรีด้วย ครั้นพระสังฆราชเข้ามาถึงกรุง ถวายพระพรแก่สมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินโดยคำพระเจ้าหงษาวดีสั่งเข้ามานั้น จึงท้าวพระยาทั้งหลายทูลพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินว่า การทั้งนี้พระเจ้าหงษาวดีหากเพโทบายฬ่อลวงให้ออกไป แล้วจะกุมเอาท้าวพระยาผู้ใหญ่ทั้งปวงไว้ แล้วก็จะให้เข้ามาเทเอาครัวอาณาประชาราษฎรทั้งหลายอพยพไปเปนเชลย แลศึกครั้งนี้ข้าพเจ้าทั้งหลายขอถวายชีวิตรบพุ่งป้องกันจนถึงขนาด จึงสมเด็จพระมหินทราธิราชพระเจ้าแผ่นดินก็ตรัศให้ท้าวพระยาทั้งหลายพิพากษาเปนหลายยกหลายเกณฑ์ แลท้าวพระยาทั้งปวงลงด้วยกันเปนคำเดียวว่า จะอาสารบพุ่ง แต่พระยาธารมาไซ้มิได้ลงด้วยท้าวพระยาทั้งปวง.

 ฝ่ายพระเจ้าหงษาวดีท่าฟังทูตซึ่งจะออกไปแต่พระนครช้าอยู่ถึงเจ็ดวัน จึงตรัศด้วยสมเด็จพระมหาธรรมราชาธิราชเจ้าว่า กรุงพระมหานครศรีอยุทธยามิให้ทูตออกมาเจรจาความเมืองแลช้าอยู่ดังนี้ เห็นว่า มิเปนพระราชไมตรีกันแล้ว เราจะให้แต่งการที่จะปล้นนั้นดุจเก่า สมเด็จพระมหาธรรมราชาก็ทูลแก่พระเจ้าหงษาวดีว่า ขอให้งดก่อน ข้าพเจ้าจะเข้าไปแถลงการทั้งปวงให้พระเจ้าแผ่นดินแลท้าวพระยาผู้ใหญ่เห็นแท้ว่า จะเปนทางพระราชไมตรี อย่าให้ยากแก่สมณพราหมณาประชาราษฎรทั้งหลาย พระเจ้าหงษาวดีก็ตรัศบัญชาโดยสมเด็จพระมหาธรรมราชาเจ้า สมเด็จพระมหาธรรมราชาเจ้าก็เสด็จด้วยพระเสลี่ยงมายืนอยู่ตรงน่าที่พระมหาเทพ ร้องเรียกเจ้าน่าที่เข้าไปว่า เราจะเข้าไประงับการแผ่นดิน พระมหาเทพเจ้าน่าที่มิไว้ใจ ยิงปืนกระสุนใหญ่น้อยออกไป พระองค์ลงจากพระเสลี่ยง ขุนอินทรเดชะแบกพระองค์วิ่งกลับออกมา สมเด็จพระหน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/152หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/153หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/154หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/155หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/156หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/157หน้า:พงศาวดาร (หัตถเลขา) - ๒๔๕๕ (๑).djvu/158