ผลต่างระหว่างรุ่นของ "พระราชบัญญัติจัดการศาลในสนามสถิตย์ยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก 111"

เนื้อหาที่ลบ เนื้อหาที่เพิ่ม
Tiemianwusi (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
Miwako Sato (คุย | ส่วนร่วม)
ไม่มีความย่อการแก้ไข
บรรทัดที่ 1:
{{หัวเรื่อง
{{คุณภาพเนื้อหา|75%}}
<!-- ข้อมูลหลัก -->
{{หัวเรื่อง2
| ชื่อ = {{PAGENAME}}
| ชื่อเรื่อง = พระราชบัญญัติจัดการศาลในสนามสถิตย์ยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑
| ปี = 2435
| ชื่อเรื่องย่อย = [พระราชบัญญัติจัดการศาลในสนามสถิตยุติธรรม รัตนโกสินทรศก ๑๑๑]
| ผู้สร้างสรรค์ = พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
| วิกิพีเดียชื่อเรื่อง =
| บรรณาธิการ =
| พระราชนิพนธ์ =
| พระนิพนธ์ =
| ผู้แต่ง =
| ผู้แต่งไม่ลิงก์ = รัฐบาลไทย
| วิกิพีเดียผู้แต่ง =
| ผู้แปล =
| ส่วน =
| เรื่องก่อนหน้า =
| ผู้มีส่วนร่วม =
| เรื่องถัดไป =
| ก่อนหน้า =
| ถัดไป =
| หมายเหตุ =
<!-- ข้อมูลย่อย (สำหรับจัดระเบียบหรือเชื่อมโยงไปหน้าอื่น) -->
| หมวดหมู่ =
| แก้กำกวม =
| รุ่น =
| สถานีย่อย = กฎหมาย ร. 5/ธรรมนูญศาลยุติธรรม
| ผู้สร้างสรรค์ที่เกี่ยวข้อง =
| วิกิพีเดีย =
| คอมมอนส์ =
| หมวดหมู่คอมมอนส์ =
| วิกิคำคม =
| วิกิข่าว =
| วิกิพจนานุกรม =
| วิกิตำรา =
| วิกิห้องสมุด =
| วิกิสนเทศ =
| วิกิท่องเที่ยว =
| วิกิวิทยาลัย =
| วิกิสปีชีส์ =
| เมทา =
}}
{{สบช|
: {{ลนน|๓๑|พระราชบัญญัติ}}
: {{ลนน|คำปรารภ}}
: ข้อ
:# {{ตลล|ส-ข้อ1|เลิกศาลอุทธรณ์คดีหลวง ให้ความอุทธรณ์ที่ยังค้างอยู่มารวมในศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์|ข้อ1}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ2|ตั้งศาลราชทัณฑ์พิเฉทให้พิจารณาความอาญาขึ้นอีกศาลหนึ่ง|ข้อ2}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ3|เลิกค่าเชิงประกัน|ข้อ3}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ4|เรียกค่ายหมายเรียกแลหมายเกาะจำเลยฉบับละ 1 บาท|ข้อ4}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ5|เลิกกรมรับฟ้อง|ข้อ5}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ6|ให้ผู้มีคดียื่นฟ้องต่อศาล|ข้อ6}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ7|ผู้มีอรรถคดีจะให้การต่างฟ้องเองก็ได้ ฤๅจะให้ผู้รู้กฎหมายแต่งให้ก็ได้|ข้อ7}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ8|วิธีแต่งฟ้อง|ข้อ8}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ9|คดีไม่ควรรับไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องเสีย ถ้าฟ้องบกพร่อง ให้คืนไปให้โจทย์แก้เสียให้ถูกต้อง|ข้อ9}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ10|โจทย์ทิ้งฟ้องไว้เกิน 15 วัน ให้ตัดสินยกฟ้องเสีย|ข้อ10}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ11|ฟ้องแย้งให้รวมพิจารณา แต่มิให้เอาฟ้องของจำเลยเปนคำให้การ ให้ทั้งสองฝ่ายให้การแก้ฟ้องกัน|ข้อ11}}
:# {{ตลล|ส-ข้อ12|ฟ้องความอาญา โจทย์ต้องสาบาลตัว เว้นแต่กรมอัยการฟ้อง ไม่ต้องสาบาล|ข้อ12}}
: {{ลนน|วันประกาศ}}
}}
{{รุ่น}}
 
 
 
[[ไฟล์:Old Seal of the Royal Command of Thailand 001.jpg|center|Seal of the Royal Command of Thailand|150px]]
 
 
{{c|{{fs|140%|'''พระราชบัญญัติ'''}}}}
 
 
{{c|{{fs|120%|'''จัดการศาลในสนามสถิตย์ยุติธรรม'''}}}}
 
 
{{c|{{fs|120%|'''รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑'''}}<ref>ประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๐/แผ่นที่ ๕/หน้า ๓๑/๓๐ เมษายน ร.ศ. ๑๑๒ (พ.ศ. ๒๔๓๖, ค.ศ. ๑๘๙๓)</ref>}}
 
 
 
{{rule|10em}}
 
 
 
 
 
มีพระบรมราชโองการในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร์มหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ดำรัสเหนือเกล้าฯ สั่งว่า ตั้งแต่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรม ลงวันที่ ๒๕ เดือนมีนาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐ ได้ยกศาลเดิมรวม ๑๖ ศาลซึ่งขึ้นอยู่ในกระทรวงต่าง ๆ กับศาลฝ่ายพระราชวังบวรมารวมยังสนามสถิตย์ยุติธรรม แล้วแบ่งตั้งขึ้นใหม่เปนศาลอุทธรณ์ ๒ ศาล แลศาลต่ำ ๕ ศาล รวม ๗ ศาล ได้พิจารณาพิพากษาคดีเก่าที่คั่งค้างมาแต่ก่อน กับคดีที่ราษฎรร้องฟ้องกันในปีรัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑ โดยรวดเร็วไปมากนัก ตามความที่ประจักษ์ในรายงานสารบบความแพ่งอาญาแลอุทธรณ์ซึ่งพระเจ้าน้องยาเธอ พระองค์เจ้าสวัสดิโศภน เสนาบดีกระทรวงยุติธรรม ได้นำขึ้นกราบบังคมทูลพระกรุณาโดยลำดับสืบมา แลทรงพระราชดำริห์ว่า จำนวนความอุทธรณ์ที่คงค้างอยู่ในศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์แลศาลอุทธรณ์คดีหลวงนั้นมีอยู่น้อย จำนวนความอาญาที่คงค้างอยู่ในศาลพระราชอาญานั้นยังมีอยู่มากกว่าศาลอื่น ๆ หลายส่วน เพราะความเก่าที่ค้างมาจนปลายปีรัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐ ก่อนตั้งกระทรวงยุติธรรมกับความที่ราษฎรฟ้องหากันขึ้นใหม่ก็มากอยู่แล้ว ทั้งความหัวเมืองทั้งปวงก็ส่งทับถมมารวมเข้าอีกเสมอไป จึ่งเปนการเหลือกำลังที่ศาลพระราชอาญาศาลเดียวจะพิจารณาพิพากษาให้แล้วทันกับความที่เกิดขึ้นใหม่ได้ อีกประการหนึ่ง กรมรับฟ้องซึ่งได้ตั้งขึ้นตามความในข้อ ๕ แห่งประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐ นั้น ก็ได้รับฟ้องของราษฎรทั้งปวงแลประทับส่งไปให้ศาลพิจารณาโดยถูกต้องตามพระธรรมนูญตลอดปีรัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑ โดยเรียบร้อยดีอยู่ แต่บัดนี้ ทรงพระราชดำริห์เพื่อจะให้โอกาสแก่ราษฎรทั้งหลายผู้มีอรรถคดีได้ปฤกษาหาฤๅผู้รู้พระราชกำหนดกฎหมายเรียบเรียงคำฟ้องให้ถูกต้องแก่ความจริงอันเกิดขึ้นชอบด้วยตัวบทกฎหมายแล้ว ก็ไม่จำเปนจะต้องให้มีกรมรับฟ้องอีกต่อไป
 
เหตุอันนี้ ก็เป็นการสมควรแก่กาลสมัยที่จะต้องจัดแก้ไขธรรมเนียมรับฟ้องเสียใหม่ แลเปลี่ยนศาลให้พอแก่การพิจารณาคดีที่คั่งค้างอยู่มากแลน้อย อีกประการหนึ่ง ค่าธรรมเนียมค่าเชิงประกัน ๒ บาทซึ่งเรียกแก่โจทย์จำเลยตามพิกัดค่าธรรมเนียมศาลในข้อ ๗ แห่งประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรมนั้น ทรงพระราชดำริห์ว่า ควรจะแก้ไขเสียด้วย จึ่งมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศให้ทราบทั่วกันต่อไปดังนี้
 
 
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๑'''}}
 
{{c|'''เลิกศาลอุทธรณ์คดีหลวง'''}}
 
{{c|'''ให้ความอุทธรณ์ที่ยังค้างอยู่มารวมในศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์'''}}
 
 
 
ศาลอุทธรณ์คดีหลวงซึ่งตั้งขึ้นไว้ตามความในข้อ ๓ แห่งประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐ นั้น ให้ยกเลิกเสียตั้งแต่วันที่ ๑ เดือนเมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ เปนต้นไป แลบรรดาความอุทธรณ์ซึ่งยังคงค้างพิจารณาอยู่ในศาลอุทธรณ์คดีหลวงนั้น ให้ยกมารวมพิจารณาในศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ต่อไป แลบรรดาความอุทธรณ์ซึ่งจะร้องฟ้องกันขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ เดือนเมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ เปนต้นไปนั้น ความเดิมจะเปนคดีหลวงก็ดี คดีราษฎร์ก็ดี ก็ให้ฟ้องแลประทับไปยังศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์ทั้งสิ้น ถ้าราษฎรผู้มีอรรถคดีจะฟ้องอุทธรณ์กล่าวโทษคำพิพากษาตัดสินของศาลอุทธรณ์คดีราษฎร์แล้ว ก็ให้ทูลเกล้าฯ ถวายฎีกาทีเดียวตามความในข้อ ๖ แห่งประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐ นั้น
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๒'''}}
 
{{c|'''ตั้งศาลราชทัณฑ์พิเฉทให้พิจารณาความอาญาขึ้นอีกศาลหนึ่ง'''}}
 
 
 
ศาลพระราชอาญามีอยู่ศาลเดียว ยังไม่พอแก่การพิจารณาความอาญาที่ยังคงค้างอยู่แลที่จะเกิดขึ้นใหม่อีกต่อไป จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งศาลเพิ่มขึ้นอีกศาลหนึ่ง ให้เรียกนามว่า ศาลราชทัณฑ์พิเฉท แลให้ศาลพระราชอาญาแลศาลราชทัณฑ์พิเฉททั้งสองนี้เปนกระทรวงพิจารณาพิพากษาตัดสินความอาญาทั้งปวง แลความอาญาที่คงค้างอยู่ในศาลพระราชอาญานั้นก็ให้แบ่งแยกมาพิจารณาในศาลราชทัณฑ์พิเฉทด้วยตามสมควร บรรดาความอาญาซึ่งจะร้องฟ้องกันขึ้นใหม่ตั้งแต่วันที่ ๑ เดือนเมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ เปนต้นไปนั้น ให้แบ่งประทับไปยังศาลพระราชอาญาแลศาลราชทัณฑ์พิเฉททั้งสองนี้ตามพระธรรมนูญ
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๓'''}}
 
{{c|'''เลิกค่าเชิงประกัน'''}}
 
 
 
ค่าธรรมเนียมค่าเชิงประกัน ๒ บาทซึ่งเรียกแต่ราษฎรผู้ต้องคดีในศาลหัวเมืองทั้งปวง ศาลกองตระเวน ศาลในสนามสถิตยุติธรรม แลศาลข้าหลวง ศาลอุทธรณ์ แลศาลฎีกา ดังที่กำหนดไว้ในพิกัดค่าธรรมเนียมศาลในข้อ ๗ แห่งประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐ นั้น ให้ยกเลิกเสีย ถ้าแลศาลจะบังคับให้ผู้ต้องคดีหาประกันแลรับเรือนตามกฎหมายแล้ว ก็ให้ผู้ต้องคดีฤๅผู้ประกับผู้รับเรือนทำหนังสือประกันหนังสือรับเรือนให้ไว้แก่ตุลาการ ณ ศาลนั้นตามเดิม แต่ห้ามมิให้ศาลทั้งปวงซึ่งกล่าวชื่อมาแล้วนี้เรียกเงินค่าเชิงประกันแก่ผู้ต้องคดีเปนอันขาด
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๔'''}}
 
{{c|'''เรียกค่ายหมายเรียกแลหมายเกาะจำเลยฉบับละ ๑ บาท'''}}
 
 
 
ถ้าศาลในหัวเมืองทั้งปวง ศาลกองตระเวน ศาลในสนามสถิตย์ยุติธรรม แลศาลข้าหลวง ศาลอุทธรณ์ แลศาลฎีกา ฤๅศาลใดศาลหนึ่งซึ่งจะได้ตั้งขึ้นอีกต่อไปภายน่า จะออกหมายเรียก หมายเกาะ ฤๅหมายจับจำเลยฤๅคนใดคนหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องต้องคดีอยู่ในศาลนั้น ก็ให้ศาลเรียกค่าธรรมเนียมออกหมายแต่โจทย์ผู้ซึ่งกล่าวหาคดีแลเปนผู้มาขอให้ศาลออกหมายนั้น ฉบับละ ๑ บาท
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๕'''}}
 
{{c|'''เลิกกรมรับฟ้อง'''}}
 
 
 
กรมรับฟ้องสนามสถิตย์ยุติธรรมซึ่งได้ตั้งขึ้นไว้ตามความในข้อ ๕ แห่งประกาศตั้งกระทรวงยุติธรรม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐ นั้น ให้ยกเลิกเสียตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ เปนต้นไป
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๖'''}}
 
{{c|'''ให้ผู้มีคดียื่นฟ้องต่อศาล'''}}
 
 
 
ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ เปนต้นไป ให้ราษฎรทั้งหลายผู้มีอรรถคดีซึ่งเปนความแพ่ง ความอาญา แลความอุทธรณ์ มาฟ้องต่อศาลสนามสถิตย์ยุติธรรมศาลใดศาลหนึ่งสุดแต่มูลคดีของตนจะเปนกระทรวงของศาลนั้นได้พิจารณาตามพระธรรมนูญ แลให้บรรดาศาลทั้งปวง ณ สนามสถิตย์ยุติธรรมตั้งจ่าศาลไว้เปนเจ้าพนักงานรับฟ้องสำหรับศาลจงทุก ๆ ศาล เพื่อได้รับฟ้องของราษฎรผู้มีอรรถคดีแลนำขึ้นเสนอต่อผู้พิพากษาศาลนั้นจะได้ตรวจแลสั่งประทับให้เปนฟ้องได้ตามพระธรรมนูญ
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๗'''}}
 
{{c|'''ผู้มีอรรถคดีจะให้การต่างฟ้องเองก็ได้'''}}
 
{{c|'''ฤๅจะให้ผู้รู้กฎหมายแต่งให้ก็ได้'''}}
 
 
ราษฎรทั้งหลายผู้มีอรรถคดีจะปฤกษาหาฤๅผู้รู้กฎหมายให้เรียบเรียงแต่งฟ้องให้ตนตามมูลคดีที่ตนเชื่อว่าเปนความสัตย์จริงให้ถูกต้องชอบด้วยพระราชกำหนดกฎหมายก็ได้ แล้วให้นำมายื่นต่อศาล ฤๅจะมาให้การต่างฟ้องต่อจ่าศาลก็ได้ ให้จ่าศาลเรียบเรียงขึ้นเปนฟ้องให้ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ฟ้องฉบับใดซึ่งราษฎรผู้มีอรรถคดีให้ผู้รู้กฎหมายเรียบเรียงแต่งให้นั้นต้องให้ผู้แต่งแลผู้เขียนลงลายมือเขียนชื่อของตนมาในท้ายฟ้องด้วยตามความในประกาศว่าด้วยลงชื่อผู้แต่งผู้เขียนหนังสือฟ้องเรื่องราวแลฎีกา รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๐
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๘'''}}
 
{{c|'''วิธีแต่งฟ้อง'''}}
 
 
 
ในฟ้องทุก ๆ ฉบับนั้นต้องกล่าวข้อความดังนี้ คือ
 
(๑) {{gap|0.5em}} นามศาลซึ่งโจทย์มายื่นฟ้อง
 
(๒) {{gap|0.5em}} นชื่อตัวฤๅชื่อยศของโจทย์ กับสังกัดมูลนาย แลตำบาลบ้านที่อยู่อาไศรย
 
(๓) {{gap|0.5em}} นชื่อตัวฤๅชื่อยศของจำเลย กับสังกัดมูลนาย แลตำบลบ้านที่อยู่อาไศรยตามที่โจทย์สืบรู้ได้
 
(๔) {{gap|0.5em}} นสรรพเหตุการต่าง ๆ ซึ่งให้เกิดมูลคดีพิพาท เมื่อใดแล ณ ที่ใดให้กล่าวแต่ใจความให้ชัดเจน แลวแบ่งแยกออกเปนข้อหาเรียงเปนลำดับข้อ ๑ ข้อ ๒ ฯลฯ ไปแต่โดยสังเขป ซึ่งโจทย์เชื่อแน่แก่ใจว่า เปนความจริงอาจสืบพยานให้สมได้ในเวลาพิจารณา
 
(๕) {{gap|0.5em}} นในท้ายฟ้อง ให้มีคำร้องขอให้ศาลพิจารณพิพากษาตัดสินประการใดตามกฎหมายแลยุติธรรมก็สุดแต่ความประสงค์ของโจทย์
 
ถ้าในฟ้องจะอ้างถึงสรรพหนังสือ เอกสารสำคัญ ฤๅสารบบบาญชีใด ๆ ก็ให้คัดสำเนาติดมากับท้ายฟ้อง ห้ามมิให้เขียนลงในฟ้องเปนอันขาด
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๙'''}}
 
{{c|'''คดีไม่ควรรับไว้พิจารณา ให้ยกฟ้องเสีย'''}}
 
{{c|'''ถ้าฟ้องบกพร่อง ให้คืนไปให้โจทย์แก้เสียให้ถูกต้อง'''}}
 
 
 
ถ้าศาลตรวจดูฟ้องซึ่งโจทย์แต่งมาเองเห็นว่า มูลคดีที่กล่าวหาในฟ้องนั้นไม่เปนคดีอันควรรับไว้พิจารณาตามกฎหมาย ก็ให้ตัดสินยกฟ้องเสียทีเดียว ไม่ต้องออกหมายเรียกจำเลยมาแก้คดี แลให้ค่าธรรมเนียมรับฟ้องเปนภัพแก่โจทย์ไป เว้นแต่ฟ้องที่โจทย์มาให้การต่างฟ้องต่อศาลซึ่งจ่าศาลเรียบเรียงแต่งให้นั้น ค่าธรรมเนียมรับฟ้องจึ่งไม่เปนภัพแก่โจทย์ ควรให้ศาลคืนให้แก่โจทย์ไป
 
ถ้าศาลตรวจดูฟ้องซึ่งโจทย์แต่งมาเองเห็นว่า มูลคดีที่กล่าวหาควรรับไว้พิจารณาได้ตามกฎหมายแล้ว แต่ข้อหายังบกพร่องอยู่ ฤๅกล่าวความไม่ชัดเจนเคลือบคลุมสงไสยประการใด ก็ให้ศาลคืนฟ้องให้โจทย์ไปแก้ไขเสียใหม่ให้ถูกต้องชัดเจนดีแล้วจึ่งรับไว้พิจารณา
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๑๐'''}}
 
{{c|'''โจทย์ทิ้งฟ้องไว้เกิน ๑๕ วัน ให้ตัดสินยกฟ้องเสีย'''}}
 
 
 
ถ้าศาลรับฟ้องไว้แล้ว โจทย์เพิกเฉยทิ้งฟ้องเสียไม่นำหมายเรียกจำเลยฤๅไม่ร้องตักเตือนให้ศาลออกหมายเรียกจำเลยแต่ในกำหนด ๑๕ วันนับตั้งแต่วันศาลรับฟ้องไว้เปนต้นไป ก็ให้ศาลตัดสินยกฟ้องเสีย แล้วให้โจทย์เสียค่าธรรมเนียมตัดสินจงเต็ม แต่ก่อนวันที่ศาลจะตัดสินยกฟ้องเสียนั้น ให้ศาลออกหมายบอกโจทย์ให้รู้ล่วงน่าเสีย ๓ วันก่อนว่า ถ้าโจทย์ไม่มานำหมายเรียกจำเลยฤๅขอให้ออกหมายเรียกจำเลยแต่ในกำหนดแล้ว ศาลก็จะตัดสินยกฟ้องเสียตามกฎหมาย แล้วให้โจทย์ค่าธรรมเนียมออกหมายนี้ด้วย
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๑๑'''}}
 
{{c|'''ฟ้องแย้งให้รวมพิจารณา แต่มิให้เอาฟ้องของจำเลยเปนคำให้การ'''}}
 
{{c|'''ให้ทั้งสองฝ่ายให้การแก้ฟ้องกัน'''}}
 
 
 
ถ้าราษฎรสองฝ่ายต่างคนต่างมาฟ้องแย้งกล่าวโทษกันในศาลเดียววันเดียวกัน ก็ให้ศาลรับฟ้องไว้ทั้งสองฉบับรวมพิจารณาเปนคดีสำนวนเดียวกัน แล้วให้ศาลตรวจดูฟ้องฝ่ายใดควรเปนโจทย์ฝ่ายใดควรเปนจำเลย ก็ให้ปฤกษาตัดสินให้ฝ่ายหนึ่งเปนโจทย์ฝ่ายหนึ่งเปนจำเลยตามพระราชกำหนดกฎหมาย แต่ห้ามมิให้เอาฟ้องของฝ่ายจำเลยเปนคำให้การแก้ฟ้องของโจทย์เปนอันขาด ให้ฟ้องทั้งสองฉบับคงเปนฟ้องอยู่ตามเดิม แล้วให้ศาลบังคับให้โจทย์จำเลยทั้งสองฝ่ายต่างคนต่างให้การแก้ฟ้องกันเหมือนดังความสองสำนวนฉนั้น
 
 
 
{{c|'''ข้อ ๑๒'''}}
 
{{c|'''ฟ้องความอาญา โจทย์ต้องสาบาลตัว'''}}
 
{{c|'''เว้นแต่กรมอัยการฟ้องไม่ต้องสาบาล'''}}
 
 
 
บันดาฟ้องที่กล่าวหาเปนความอาญาแล้ว ให้ศาลบังคับโจทย์ให้สาบาลตัวเสียก่อนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยบังคับโจทย์ให้สาบาลก่อนฟ้องความอาญา รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑ เว้นไว้แต่ความอาญาซึ่งเปนน่าที่ของกรมอัยการฟ้องเปนโจทย์เท่านั้น เจ้าพนักงานกรมอัยการผู้ฟ้องไม่จำเปนต้องสาบาลตามพระราชบัญญัติที่กล่าวชื่อมานี้ แต่ถ้ามีพยานคนใดคนหนึ่งผู้รู้ว่า มูลคดีที่กรมอัยการฟ้องหาเปนความอาญานั้นเปนความจริง เจ้าพนักงานกรมอัยการจะนำพยานผู้นั้นมาสาบาลเหมือนดังตัวโจทย์ก็ได้
 
 
 
 
 
ประกาศมา ณ วันที่ ๓๑ มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๑ เปนวันที่ ๘๙๐๗ ในรัชกาลปัตยุบันนี้
 
 
 
 
 
== เชิงอรรถ ==
 
{{reflist}}
 
 
 
 
 
----
{{ท้ายเรื่อง}}
----
<pages index="พรบ จัดการ ศย ๑๑๑.pdf" from="1" to="6"/>
{{ข้อมูลข่าวสารของราชการ-ไทย}}
==บรรณานุกรม==
 
* {{อรก|{{PAGENAME}}|2436|30 เมษายน|10|5|31|36|พรบ จัดการ ศย ๑๑๑.pdf}}
[[หมวดหมู่:พระธรรมนูญศาลยุติธรรม]]
{{สทย}}
[[หมวดหมู่:พระราชบัญญัติ/จ]]
[[หมวดหมู่:พระราชบัญญัติ/๒๔๓๑-๒๔๔๐]]
[[หมวดหมู่:พระราชบัญญัติ/เลิกใช้แล้ว]]