หน้า:คหก ขุนหลวงฯ - ๒๔๕๙.pdf/27

หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร

ในแดนพระเจดีย์สามองค์เข้ามา ก็ไล่รุกบุกบันกันเปนหนักหนา พระนเรศร์จึ่งถอยพลางสู้รบไม่ต้านทานอยู่ได้ ด้วยพลรบข้างหงษานี้มากนัก หักโหมกระโจมแล้วไล่มา ฝ่ายไทยนั้นรบรามาในไพร ส่วนพระนเรศร์จึ่งมึสิงหนาทกับเหล่าอาทมาตทหารใหญ่ทั้งหกร้อยอันร่วมพระไทย ว่ากูจักเข้าโจมทัพในบัดนี้ ให้ เร่งกะเกณฑ์กันให้ครบทั้งช้างแลพลทหารตามที่ ส่วนพระนเรศร์จึ่งแต่งองค์แล้วก็เสด็จขึ้นยืนอยู่บนเกยไชย อันช้างพระที่นั่งอยู่ที่ริมเกยกับนายควาญช้าง เมื่อจักมีบรมโพธิสมภาร จึ่งบันดาลให้ประจักษ์ในทัพขันธ์ ในเวลากลางวันก็บันดาลให้มีอัศจรรย์มา พระอาทิตย์นั้นก็ทรงกลด อันแดดนั้นก็มิได้ต้องพระองค์ ร่มอยู่สักศอกปลาย ส่วนที่นอกนั้นก็สว่างเปนแสงแดดอยู่ ก็เห็นเปนอัศจรรย์ทั่วกันไปสิ้นทั้งทัพ แล้วแลเห็นพระบรมธาตุเสด็จมาบนกลางอากาศ มีพระรัศมีเปนอันมาก ปาฏิหารแล้วผ่านมาที่น่าพลับพลาไป ก็เห็นเปนมหาพิไชยฤกษ์ใหญ่หนักหนา พระองค์จึ่งตัดปลอกคชสาร แต่กลางช้างกับควาญนั้นขึ้นได้ทันเปนสามทั้งพระองค์ด้วยกัน ก็เข้าไปโจมทัพไล่ไพรี จัตุลังคบาทสี่คนนั้นวิ่งมาพอทันช้างพระที่นั่ง อันว่าพหลมนตรีนอกนี้มิได้ทันพระองค์ แต่ช้างพระองค์เข้าหักโหมกระโจมตี ทัพมอญก็ยับย่อยพ่ายพังไปไม่นับได้ บ้างก็ล้มตายเจ็บปวด บ้างก็วิ่งหนีซอกซอนไปในป่า อันทัพรามัญนั้นไม่เปนสมฤดี บ้างซมซานกราบไหว้ บ้างก็บรรไลยลำบากแตกหนี พระองค์ก็ไสช้างเข้าไล่หักโหมกระโจมแทงแล้วเหยียบค่ายให้พังไปทั้งสิ้น ฝ่ายข้างทหารพลรามัญก็เข้มแขง ฟันแทงแย้งยิง