หน้า:นิทานโบราณคดี - ดำรงราชานุภาพ - ๒๔๘๗.pdf/148

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
133

ดังเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ บอก จึงไห้พระสงครามภักดีขึ้นไปเปนผู้รั้งราชการเมืองเพชรบูรน์ แกไปถึง พอเรียนรู้ความเปนไปไนท้องที่แล้ว ก็ลงมือจัดการปกครองตามแบบมนทลพิสนุโลก บ้านเมืองมีความจเรินขึ้น พระสงครามภักดีก็ได้เลื่อนขึ้นเปนที่พระยาเพชรรัตนสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรน์เต็มตำแหน่ง เมื่อ พ.ส. 2442

การที่พระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) สามาถจัดระเบียบแบบแผนปกครองเมืองเพชรบูรน์สำเหร็ดนั้น เปนมูลไห้ต้องปรารภต่อไปถึงเมืองหล่มสักและเมืองวิเชียรบุรีที่หยู่ลุ่มลำน้ำสักด้วยกัน เห็นว่า ถึงเวลาควนจะจัดการปกครองไห้เข้าแบบแผนด้วย แต่จะเอาหัวเมืองทางลำน้ำสักไปเข้าไนมนทลได ก็ขัดข้องด้วยทางคมนาคมดังกล่าวมาแล้ว จะปกครองได้สดวกหย่างเดียวแต่รวมหัวเมืองไนลุ่มน้ำสัก 3 เมือง แยกเปนมนทลหนึ่งต่างหาก จึงตั้งมนทลเพชรบูรน์ขึ้น (ดูเหมือน) เมื่อ พ.ส. 2443 ผู้ที่จะเปนสมุหเทสาภิบาลเพชรบูรน์ก็ไม่มีผู้อื่นหยากเปน หรือจะเหมาะเหมือนพระยาเพชรรัตนฯ (เฟื่อง) เพราะหยู่คงความไข้ และได้สแดงคุนวุทธิไห้ปรากตแล้วว่า สามาถจะปกครองได้ พระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) ก็ได้เปนสมุหเทสาภิบาล แต่แรกคนทั้งหลายหยู่ข้างจะประหลาดไจ ด้วยสมุหเทสาภิบาลมนทลอื่นล้วนเปนเจ้านายหรือข้าราชการผู้ไหย่อันปรากตเกียรติคุนแพร่หลาย แต่มิไคร่รู้จักพระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) เพราะแกเคยรับราชการหยู่แต่ไนท้องที่ลับลี้ห่างไกล คนเห็นสมุหเทสาภิบาลแปลกหน้าขึ้นไหม่ ก็พากัน