หน้า:นิทานโบราณคดี - ดำรงราชานุภาพ - ๒๔๘๗.pdf/154

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
139

2 วัน พูเขาเลากาอะไรก็ไม่มีคั่น ความนิยมกลับตรงกันข้ามถึงหย่างนั้น

ระยะทางบกแต่บางมูลนาคไปถึงเมืองเพชรบูรน์ราว 3,000 เส้น เดินทางไนรึดูแล้งเมื่อแผ่นดินแห้งแล้วไม่ลำบากหย่างไร ออกจากบางมูลนาคเปนที่ลุ่มราบซึ่งน้ำท่วมไนรึดูน้ำไปสัก 300 เส้นถึงเมืองภูมิเก่า ว่า เปนเมืองโบราน ทำนาได้ผลดี ยังมีบ้านช่องแน่นหนา ออกจากเมืองภูมิไป ยังเปนที่ลุ่ม เปนพรุ และเปนป่าไผ่อีกสัก 500 เส้นจึงขึ้นที่ดอน เปนโคกป่าไม้เต็งรัง ชายโคกเปนห้วยเปนดงสลับกันไปสัก 1 ,000 เส้น ถึงเชิงเทือกเขาบันทัด ที่เปนเขตแดนจังหวัดพิจิตรกับจังหวัดเพชรบูรน์ต่อกันบนสันเขานั้น ทางตอนข้ามเขาบันทัดเปนดงดิบเช่นเดียวกับดงพระยาไฟ แต่เดินขึ้นเขาได้สดวกเพราะทางลาดขึ้นไปไม่สู้ชันนัก เมื่อฉันไปถึงที่พักแรมตำบนซับมาแสนบนสันเขาบันทัด พวกชาวเมืองเพชรบูรน์มารับ ผลัดหาบหามจากพวกเมืองพิจิตร คืนวันนั้น ได้เห็นความรื่นเริงของพวกที่ไปจากเมืองพิจิตรเปนครั้งแรก พากันร้องเพลงเล่นหัวเฮฮาหยู่จนเวลาจะนอน ถึงต้องไห้ไปห้ามปากเสียง ครั้นรุ่งเช้า เมื่อก่อนจะออกเดินทาง ฉันเรียกพวกเมืองพิจิตรมาขอบไจและสแดงความยินดีที่ไม่มีไครเจ็บไข้ พวกเหล่านั้นบอกว่า ได้มาเห็นหย่างนี้แล้วก็สิ้นกลัว บางคนถึงพูดว่า “ถ้าไต้เท้ามาอีก ผมจะมารับอาสาไม่ไห้ต้องเกนทีเดียว” ออกเดินจากตำบนซับมาแสน เปนทางลงจากเขามาสัก 200 เส้น ก็พ้นดงเข้าเขตบ้านล่องคล้า เดินแต่บ้านล่องคล้าขึ้นไปทางเหนือสัก 500 เส้นถึงบ้านนายม ไปจากบ้านนายมอีกสัก 400 เส้นก็ถึงเมืองเพชรบูรน์