หน้า:นิทานโบราณคดี - ดำรงราชานุภาพ - ๒๔๘๗.pdf/163

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
148

ต้องชลอเรือหลีกหินมาเนือง ๆ แม่น้ำสักตอนข้างเหนือยังผิดกับล้ำน้ำอื่น ๆ อีกหย่างหนึ่ง ที่ทางเปลี่ยวเปนหย่างยิ่ง บางวันฉันถามคนทำทางว่า “นี่เรามาถึงไหนแล้ว” แกตอบว่า “ที่ตรงนี้ยังไม่เคยมีชื่อ” วันหนึ่งแกบอกว่า “พรุ่งนี้จะถึงท่าแดง” ฉันก็เข้าไจว่าคงจะได้เห็นบ้านเรือน แต่เมื่อไปถึงท่าแดง เห็นแต่ไร่หยู่ที่ชายตลิ่งแห่งหนึ่ง แต่ตัวเจ้าของไร่ขึ้นไปขัดห้างหยู่บนกอไผ่ ถามได้ความว่า บ้านหยู่ห่างลำน้ำไปสักวันหนึ่ง มาตั้งทำไร่ชั่วคราว ไม่กล้าปลูกทับกะท่อมหยู่กับแผ่นดิน ด้วยกลัวเสือ จึงขัดห้างหยู่บนกอไผ่ สัตว์ป่าก็ชุมจิงหย่างว่า จอดเรือเข้าแห่งได ตามชายตลิ่งก็เห็นรอยสัตว์ป่าเกลื่อนกล่น มีทั้งรอยช้างเถื่อน รอยเสือ รอยกวางและหมูป่า เพราะตอนนี้เทือกพูเขาห่างทั้งสองฝ่าย ถึงรึดูแล้งที่แผ่นดินแห้งผากไม่มีน้ำ สัตว์ป่าต้องลงมากินน้ำไนลำน้ำสัก ๆ ตอนนี้ก็เปนที่เปลี่ยว ไม่มีคนไปมาเบียดเบียน สัตว์ป่าจึงชอบมาอาสัยไนรึดูแล้ง ประหลาดหยู่หย่างหนึ่งที่ลำแม่น้ำสักข้างตอนไต้ไนแขวงเมืองสระบุรี ไม่ปรากตว่ามีจระเข้ แต่ไนตอนเปลี่ยวมีจระเข้ชุม เห็นรอยตามตลิ่งเกลื่อนไป

การล่องลำแม่น้ำสักตอนเหนือถึงลำบากก็สนุก สนุกตั้งแต่ลงเรือเล็ก ๆ แยกกันลำละคนสองคน แล่นเรียงเคียงคลอล้อเล่นกันเรื่อยมา แต่หลายวันเข้าก็เกิดไม่สบาย ด้วยหยู่ไนเรือได้แต่นอนกับนั่งราบมา 2 ท่าตลอดวันยังค่ำจนเมื่อยขบและปวดหัวเข่า บางคนบ่นว่า เหมือนกับมาไนโลง ต่างคนก็คิดอุบายแก้เมื่อยขบด้วยประการต่าง ๆ