หน้า:นิทานโบราณคดี - ดำรงราชานุภาพ - ๒๔๘๗.pdf/262

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
247

พระยาโชดึกฯ) คนหนึ่ง กับหลวงพิชัยวารี (มลิ) คนหนึ่ง (เปนชั้นลูกจีนทั้ง 3 คน) เปนผู้พิพากสาสำหรับชำระตัดสินคดีที่คู่ความเปนจีนทั้งสองฝ่าย ด้วยไช้ภาสาจีนและประเพนีจีนไนการพิจารนา แต่ห้ามมิไห้รับคดีที่คู่ความเปนจีนแต่ฝ่ายเดียวหรือคดีที่เปนความอาญาว่ากล่าวไนสาลนั้น นอกจากตั้งสาล ไห้แบ่งเขตท้องที่อันมีจีนหยู่มาก เช่น ไนสำเพ็ง เปนหลายอำเพอ ตามหัวเมืองก็ไห้ปลัดจีนมีอำนาดว่ากล่าวคดีจีน อำเพอที่มีจีนหยู่มากก็ตั้งหัวหน้าไห้มีเงินเปนตำแหน่ง "กงสุลจีนไนบังคับสยาม" สำหรับเปนผู้อุปการะจีนหยู่ไนอำเพอนั้น ๆ

ส่วนการควบคุมพวกอั้งยี่นั้น สมเด็ดเจ้าพระยาฯ ก็อนุโลมเอาแบบหย่างอังกริด "เลี้ยงอั้งยี่" ที่ไนแหลมมลายูมาไช้ ปรากตว่า ไห้สืบเอาตัวจีนเถ้าแก่ที่เปนหัวหน้าอั้งยี่ได้ 14 คน แล้วตั้งข้าหลวง 3 คน คือ เจ้าพระยาภานุวงส์ฯ เมื่อยังเปนพระยาเทพประชุน (ซึ่งเคยไปปราบอั้งยี่ที่เมืองพูเก็ต) คนหนึ่ง พระยาโชดึกราชเสตถี คนหนึ่ง พระยาอินทราธิบดีสีหราชรองเมือง (เนียม) ซึ่งเปนผู้บังคับการกองตระเวน (โปลิส) ไนกรุงเทพฯ คนหนึ่ง พร้อมด้วยขุนนางจีนเจ้าพาสีอีกบางคน พาพวกหัวหน้าอั้งยี่ 14 คนนั้นไปทำพิธีถือน้ำกะทำสัจไนวิหารพระโตนะวัดกัลยานมิตรซึ่งจีนนับถือมาก รับสัญญาว่า จะไม่คิดประทุสร้ายต่อพระเจ้าหยู่หัว และจะคอยระวังพวกอั้งยี่ของตนมิไห้คิดร้ายด้วย แล้วปล่อยตัวไปทั้ง 14 คน แต่นั้น สมเด็ดเจ้าพระยาฯ ก็เอาพวกหัวหน้าอั้งยี่