หน้า:นิทานโบราณคดี - ดำรงราชานุภาพ - ๒๔๘๗.pdf/265

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
250

กบดจะตีเอาเงินที่ไนคลังไม่ได้ ก็พากันเที่ยวเก็บเรือทเลบันดามีที่เมืองระนอง และไปปล้นฉางเอาข้าวบันทุกลงไนเรือ แล้วก็พากันลงเรือแล่นหนีไปทางทเลประมาน 300–400 คน ที่ไปทางเรือไม่ได้ก็พากันไปทางบก หนีไปยังที่เหมืองแร่ไนแขวงเมืองหลังสวนประมาน 300–400 คน พอประจวบกับเวลาเรือรบไปถึงเมืองระนอง เหตุที่อั้งยี่เมืองระนองเปนกบดก็สงบลง ไม่ต้องรบพุ่งปราบปราม เพราะเปนกบดแต่พวกปูนเถ้าก๋งหนีไปหมดแล้ว พวกงี่หินที่ยังหยู่หาได้เปนกบดไม่

แต่ที่เมืองพูเก็ตมีจีนกัมกรหลายหมื่น จำนวนมากกว่าเมืองระนองหลายเท่า และพวกจีนก็มีเหตุเดือดร้อนด้วยดีบุกตกราคาเช่นเดียวกันกับเมืองระนอง ทั้งยังมีเหตุอื่นนอกจากนั้น ด้วยพวกอั้งยี่ปูนเถ้าก๋งสงสัยว่า เจ้าเมืองลำเอียงเข้ากับพวกงี่หิน มีความแค้นเคืองหยู่บ้างแล้ว พอพวกอั้งยี่ที่หนีมาทางเรือจากเมืองระนองมาถึงเมืองพูเก็ตแยกย้ายกันไปเที่ยวอาสัยหยู่ตามโรงกงสีอั้งยี่พวกของตนตามตำบนต่าง ๆ ไปเล่าว่า เกือบจะตีเมืองระนองได้ หากเครื่องยุธภันท์ไม่มีพอมือ จึงต้องหนีมา ก็มีพวกหัวโจกตามกงสีต่าง ๆ ชักชวนพวกอั้งยี่ไนกงสีของตนไห้รวมกันตีเมืองพูเก็ตบ้าง แต่ปกปิดมิไห้หัวหน้าต้นแซ่รู้ ก็รวมได้ แต่บางกงสีไม่พรักพร้อมกัน เวลานั้น พระยามนตรีสุริยวงส์ (ชื่น บุนนาค) เมื่อยังเปนที่เจ้าหมื่นเสมอไจราช หัวหมื่นมหาดเล็ก เปนข้าหลวงประจำหัวเมืองฝ่ายตะวันตกทั้งปวงหยู่นะเมืองพูเก็ต มีเรือรบ 2 ลำกับโปลิสสำหรับรักสาสำนักรัถบาลประมาน 100 คนเปนกำลัง ส่วนการปกครอง