หน้า:นิทานโบราณคดี - ดำรงราชานุภาพ - ๒๔๘๗.pdf/78

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
63

"พิสพรรนปลาว่ายเคล้า คิดถึงเจ้าเสร้าอารมน์" เปนต้น บทเก่าก็เลยสูญไป เหลือแต่ช้าละวะเห่ อันคงไช้เห่เพียงไนเวลาเมื่อเรือพระที่นั่งจะถึงท่า การเห่เรือพระที่นั่งนั้น สังเกตตามประเพนีไนชั้นหลัง เห่แต่เวลาสเด็ดโดยขบวนพยุหยาตรา ซึ่งชวนไห้เห็นว่า เห็นจะไช้เวลาไปทางไกล เช่น ยกขบวนทัพ เพื่อไห้พลพายรื่นเริง ถ้ามิไช่พยุหยาตรา เปนแต่ขานยาว ทำนองเห่ก็เปน 3 หย่างต่างกัน ถ้าพายจังหวะช้า เห่ทำนองหย่างหนึ่งเรียกว่า มูลเห่ มีต้นบทว่านำวัคหนึ่ง ฝีพายว่าตามวัคหนึ่ง ถ้าพายจังหวะเร็วขึ้นเปนหย่างกลาง เรียกว่า สวะเห่ ต้นบทว่าเนื้อความฝีพายเปนแต่รับว่า "ฮ้าไฮ้" เมื่อสิ้นวัคต้น และรับว่า "เหเฮฯ" เมื่อสิ้นวัคปลาย ยังมีคำสำหรับเห่เมื่อพายจ้ำเช่นว่าแข่งเรือ ต้นบทว่า "อีเยอวเยอว" ฝีพายรับว่า "เย่อว" คำคล้ายกับที่ไช้ขานยาว ดูชอบกล

เมื่อฉันไปเห็นลักสนะที่มหาราชาพารานสีรับฉันที่วังรามนครดังพรรนนามาแล้ว กลับมานึกถึงความไนบทละครเรื่องรามเกียรติ์เมื่อทสกันถ์รับเจ้าเมืองยักส์ที่เปนมิตรสหาย ไม่ปรากตว่า มเหสีเทวีออกมาพบแขก เปนแต่ทสกันถ์เชินแขกนั่งร่วมราชอาสน์สนทนาปราสัย แล้วมีนางกำนัลเชินเครื่องออกมาตั้งเสวยด้วยกัน และไนเวลาเสวยนั้น มีนางรำออกมาฟ้อนรำไห้ทอดพระเนตร ทสกันถ์รับพระยายักส์แขกเมืองทีไร ก็รับหย่างนั้นทุกคราว ประเพนีไนอินเดีย แม้ไนปัจจุบัน