หน้า:ประชุมพงศาวดาร (ภาค ๑๗) - ๒๔๖๓.pdf/16

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๑๐

 มีข้อสันนิฐานอิกอย่าง ๑ ว่า จำนวนเงิน ๒๖๐,๐๐๐ นั้นมากอยู่ ในสมัยนั้นรัฐบาลเห็นจะไม่ยอมให้อยู่ในมือนายอากรเดียว เพราะฉนั้น อากรบ่อนเบี้ยซึ่งปรากฎในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกษฐ์ครั้งกรุงเก่าว่าอยู่ในนายอากรเดียว เห็นจะแยกกันเปนหลายคนขึ้นในชั้นหลังมา จะเปนในชั้นกรุงเก่าตอนปลายฤๅในชั้นกรุงธนบุรีก็เปนได้ ครั้นเมื่อมีนายอากรเปนหลายคนขึ้น จึงเกิดลักษณการแบ่งแขวงอากรบ่อนเบี้ยขึ้นพร้อมกัน คือ นายอากรคน ๑ ให้เปนนายบ่อนแต่ในแขวงอัน ๑ ที่ตัวได้รับอำนาจ ข้อนี้เปนข้อสำคัญอันหนึ่งของลักษณอากรบ่อนเบี้ยซึ่งจะอธิบายต่อไปข้างน่า

ในรัชกาลที่ ๓ จัดระเบียบแบบแผนการภาษีอากรต่าง ๆ หลายอย่าง ประกอบกับที่การค้าขายเจริญขึ้นโดยลำดับมา ปรากฎว่า เงินอากรบ่อนเบี้ยได้ราวปีละ ๔๐๐,๐๐๐ บาท นอกจากเงินอากรหวยซึ่งตั้งขึ้นเมื่อในรัชกาลที่ ๓ นั้นอิกอย่าง ๑ ซึ่งจะกล่าวต่อไปข้างน่า ครั้นต่อมาถึงรัชกาลที่ ๔ ตั้งอากรการพนันเพิ่มเข้าในอากรบ่อนเบี้ยอิกอย่าง ๑ บัญญัติว่าถ้าใครจะเล่นพนันเอาทรัพย์สินกันในการเล่นเหล่านี้ คือ ไพ่จีน ๑ ไพ่ไทย ๑ ไพ่แปดเก้า ๑ ไพ่ช้างงา ๑ ต่อแต้ม ๑ พุ่งเรือ ๑ หมากรุก ๑ สะแก ๑ สะกา ๑ ดวด ๑ วิ่งวัวคน ๑ วิ่งวัวระแทะ ๑ วิ่งม้าฤๅวิ่งวัวควาย ๑ แข่งเรือ ๑ ชนไก่ ๑ ชนนก ๑ กัดปลา ๑ ต้องเสียภาษีแกอากรบ่อนเบี้ยในแขวงที่จะเล่นนั้นก่อนจึงจะเล่นได้ เงินอากรการพนันบวกขึ้นในอากรบ่อนเบี้ย เพราะฉนั้น เมื่อ