อำมาตย์ราชจัตุรงค์ทั้งปวง ก็เสด็จกลับคืนมาหาเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครของพระองค์ นั้นแล ครั้นอยู่มาแต่นั้นไปนานได้ ๓ ปี พระองค์มีอายุแต่ชาติมาได้ ๔๒ ปี พระองค์ก็ถึงแก่พิราไลยไปตามบุญกรรมของท่านนั้นแล แต่นั้นเสนาอำมาตย์ราชบัณ ฑิตย์แลไพร่พลเมืองทั้งปวง ก็ปฤกษาพร้อมมูลกันยกเอาเจ้ากิถนาวะราชกุมาร ขึ้นครองราชสมบัติเปนเจ้ากระษัตริย์ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติ มหานครนั้นแล้วจึงปฤกษาพร้อมมูลกัน ก็ยกเอาเจ้า ศรีวรวงษาราชกุมารให้ไปเปนเจ้าเมืองเวียงจันทนบุรีราชธานีแล้ว จึ่งแต่งทูตนำราชสาสนไปบอกข่าวแก่พระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์ในเมือง เชียงใหม่ว่าพระเจ้าโพธิสารอันเปนพระราชบิดาของพระองค์นั้นก็ได้ถึงพิราไลย ไปแล้วแล
๏เมื่อนั้น จึ่งพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากระษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังข่าวสารนั้นแล้ว ก็มิอาจที่จะตั้งอยู่ได้ ด้วยน้ำพระไทยของท่านก็ลำลึกนึกถึงยังพระราชบิดาแลบ้านเมืองของท่านนั้น พระองค์จึ่งพิจารณาในน้ำพระไทยว่า ควรแก่กูผู้เปนพระมหากระษัตริย์ได้ไปดูบ้านเมืองของกูก่อน จะได้ทำบุญให้ทานพร้อมกับด้วยญาติพี่น้องทั้งปวง ถวายพระราชกุศลไปแก่พระราชบิดาของกูจึ่งควรแล ครั้นพระองค์ทรงคิดในน้ำพระไทยดังนี้แล้ว พระองค์จึ่งทรงพระวิตกต่อไปว่า เมื่อกูผู้เปนพระมหากระษัตริย์ไปถึงเมืองชวาละวัติมหานครของกูแล้ว ที่จะได้กลับคืนมาหาเมืองเชียงใหม่นั้นจะช้าเร็วประมาณสักเท่าใดกูก็หาทราบ ไม่เลย ควรแต่กูผู้เปนพระมหากระษัตริย์เชิญเอาพระแก้วเจ้าไป