หน้า:ประชุมพงศาวดาร (ภาค ๕๒) - ๒๔๙๗.pdf/37

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๓๑

ประชานาถ ที่พระตำหนักสวนกุหลาบ[1] ในเวลานั้น สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ กำลังยังอ่อนเพลียมาก ด้วยทรงพระประชวรมากว่าเดือน และซ้ำประสบทรงโศกศัลย์แรงกล้า ไม่สามารถจะทรงพระราชดำเนิรได้ ต้องเชิญเสด็จทรงพระเก้าอี้หามขึ้นไปจนในพระที่นั่งภานุมาศจำรูญที่สรงพระบรมศพ พอทอดพระเนตรเห็นพระบรมศพสมเด็จพระบรมชนกนาถ ได้แต่ยกพระหัตถ์ขึ้นถวายบังคมเท่านั้นแล้วก็ทรงสลบนิ่งแน่ไป เจ้านายผู้ใหญ่ซึ่งเสด็จอยู่ที่นั่นกับหมอที่ตามเสด็จกำกับเข้าไปช่วยกันแก้ไขพอฟื้นคืนได้สมประฤดี แต่พระกำลังยังอ่อนนัก ไม่สามารถจะเคลื่อนพระองค์จากเก้าอี้ได้ จึงมีรับสั่งขอให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์ ถวายน้ำสรงทรงเครื่องพระบรมศพแทนพระองค์ เจ้านายผู้ใหญ่เห็นว่า จะให้สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ที่นั่นต่อไป เกรงพระอาการประชวรจะกลับกำเริบขึ้น จึงสั่งให้เชิญเสด็จมายังพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยซึ่งได้จัดห้องในพระฉากข้างด้านตะวันออกไว้เป็นที่ประทับระหว่างเวลากว่าจะได้ทำการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมนเทียร[2] ทางโน้น เจ้าฟ้าฯ กรมขุนบำราบปรปักษ์ สรงน้ำทรงเครื่องพระบรมศพ แล้ว


  1. การที่ให้พระยาสุรวงศ์วัยวัฒนไปเชิญเสด็จนั้น ทำตามแบบอย่างครั้งเมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จผ่านพิภพ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงศ์ เวลานั้น เปนเจ้าพระยาพระคลัง หัวหน้าข้าราชการทั้งปวง ให้เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ซึ่งเป็นบุตร เวลานั้น เป็นจมื่นราชามาตย์ ไปเชิญเสด็จที่วัดบวรนิเวศ
  2. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ เวลาก่อนทำพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ก็ประทับที่พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยเหมือนกัน แต่เมื่อในรัชกาลที่ ๔ เวลาระหว่างเฉลิมพระราชมนเทียรถึงเดือนครึ่ง จึงปลูกพลับพลาถวายเป็นที่ประทับที่โรงแสงใน เพื่อให้ทรงสำราญกว่าประทับพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย.