หน้า:ประวัติฯ ศรีสุริยวงศฯ - ดำรง - ๒๔๗๒.pdf/39

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๓๒

กราบแล้วว่า อันฝ่าเท้ากรุณา (ว่า) ทั้งนี้ควรหนักหนา เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศดูท่วงทีขุนนางทั้งปวง เห็นยังไว้อารมณ์เป็นกลางอยู่ มิลงใจเป็นแท้ จึงสั่งทลวงฟันให้กุมเอาตัวขุนมหามนตรีและบ่าวไพร่ซึ่งพายเรือมานั้นไว้ให้สิ้น ทลวงฟันก็กรูกันจับเอาขุนมหามนตรีและไพร่ไปคุมไว้ ขุนนางทั้งปวงเห็นดังนั้น ต่างคนตกใจหน้าซีดลงทุกคน เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศเห็นดังนั้นจึงว่า บัดนี้ พระเจ้าแผ่นดินว่า เราทำการประชุมขุนนางพร้อมมูลทั้งนี้ คิดการเป็นกบฏ ก็ท่านทั้งปวงซึ่งมาช่วยโดยสุจริตนั้นจะมิพลอยเป็นกบฏไปด้วยหรือ ขุนนางพร้อมกันกราบเรียนว่า เป็นธรรมดาอยู่แล้ว อุปมาเหมือนหนึ่งนิทานพระบรมโพธิสัตว์เป็นนายสำเภา คนทั้งหลายโดยสารไปค้า ใช้ใบไปถึงท่ามกลางมหาสมุทรต้องพายุใหญ่ สำเภาจะอับปางอยู่แล้ว พระบรมโพธิสัตว์จึงคิดว่า ถ้าจะนิ่งอยู่ดังนี้ ก็จะพากันตายเสียด้วยสิ้นทั้งสำเภา จึงตั้งสัจอธิษฐานว่า ถ้าอาตมาจะสำเร็จแก่พระบรมโพธิญาณ ขออย่าให้สำเภาอับปางในท้องมหาสมุทรเลย เดชะอานุภาพพระบารมีบรมโพธิสัตว์ สำเภาจึงมิได้จลาจล แล่นล่วงถึงประเทศธานีซึ่งจะไปค้านั้น ก็เหมือนการอันเป็นครั้งนี้ ถ้าฝ่าเท้ากรุณานิ่งตาย คนทั้งหลายก็จะพลอยตายด้วย ถ้าฝ่าเท้ากรุณาคิดการรอดจากความตาย คนทั้งปวงก็จะรอดด้วย เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศได้ฟังขุนนางว่าดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่า เจ้าแผ่นดินว่าเราเป็นกบฏแล้ว เราจะทำตามรับสั่ง ท่านทั้งปวงจะว่าประการใด ขุนนางทั้งปวงกราบแล้วจึงว่า ถ้าฝ่าเท้ากรุณาจะทำการใหญ่จริง ข้าพเจ้าทั้งปวงจะขอเอาชีวิตสนอง