หน้า:เทศาภิบาล - ดำรง - ๒๔๙๘.pdf/36

หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร
๓๑

พาหนะ ในวันเดียวหาม้าและผู้คนสำหรับหาบหามสิ่งของได้พอต้องการหมด แล้วตัวเองอาสาขี่ม้านำข้าพเจ้าแต่เมืองอ่างทองไปจนถึงเมืองสุพรรณ ข้าพเจ้าจึงได้ชอบมาแต่นั้น

ครั้นถึงสมัยเมื่อตั้งมณฑลเทศาภิบาลแล้ว ความปรากฏว่า หลวงศรีมงคลปล่อยให้พรรคพวกไปเที่ยวปล้นในเมืองอื่น แล้วรับของที่โจรได้มาเป็นประโยชน์ แต่แรกกรมขุนมรุพงศ์ศิริพัฒน์ สมุหเทศาภิบาล ก็ไม่ทรงเชื่อ เพราะทรงใช้สอยหลวงศรีมงคลจนโปรดเหมือนกัน แต่ไต่สวนได้หลักฐาน จึงต้องฟ้องศาลข้าหลวงพิเศษ ศาลพิพากษาให้จำคุกหลวงศรีมงคลหลายปี กรมขุนมรุพงศ์ฯ จึงออกพระโอษฐ์ว่า วิธีเลี้ยงขโมยไว้จับขโมยนั้นใช้ไม่ได้ แต่เมื่อถึงสมัยเทศาภิบาล มีกรมการอำเภอตั้งประจำอยู่ตามบ้านนอกและมีตำรวจภูธรแล้ว ก็ไม่ต้องอาศัยกรมการบ้านนอกเหมือนอย่างแต่ก่อน

มีกรมการอีกพวกหนึ่งเรียกว่า กรมการจีน เพราะเป็นจีนหรือลูกจีนซึ่งยังไว้ผมเปียทั้งนั้น พวกนี้ขึ้นจากจีนนอกที่ไปตั้งทำมาหากินตามหัวเมือง บางคนไปตั้งตัวได้เป็นหลักฐานแล้วเข้ารับผูกภาษีอากร

ก็ตามกฎหมายแต่ก่อนนั้น ต่อบุคคลถือศักดินาแต่ ๔๐๐ ไร่ขึ้นไป เป็นความในโรงศาล จึงแต่งทนายว่าความแทนตัวได้ การเก็บภาษีอากรมักต้องเป็นถ้อยความกับราษฎรเนือง ๆ ถ้าเจ้าภาษีนายอากรต้องไปติดว่าความเสียในโรงศาล ก็ไม่สามารถจะเก็บภาษีอากรได้ เพื่อจะแก้ไขความขัดข้องข้อนี้ เมื่อรัฐบาลตั้งใครเป็นเจ้าภาษีนายอากร จึงนับว่า เป็นข้าราชการ ให้มียศเป็นขุนนางชั้นขุน ถือศักดินา ๔๐๐ ไร่ เมื่อทำราชการต่อมาได้เลื่อนเป็นหลวงหรือเป็นพระก็มี พวกที่อยู่ในกรุงเทพฯ เรียกกันว่า ขุนนางเจ้าภาษี