หน้า:โฉมหน้าศักดินาไทย (9th ed).pdf/47

หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร
 ๗๔  โฉมหน้าศักดินาไทย

จะเทียบก็เทียบได้กับการหัตถกรรมและการค้าผูกขาดของสังคมศักดินาอันเป็นการผลิตอันดับรอง และเป็นเงื่อนไขที่จะก้าวไปสู่การอุตสาหกรรม และพาณิชยกรรมเสรีนิยมของระบบทุนนิยม

การรวมพลังกันต่อสู้กับนายทาสนี้ ย่อมเป็นนิมิตหมายอันแสดงว่าความขัดแย้งหลัก (Main contradiction) ของสังคมทาสได้พัฒนามาสู่จุดสุดยอดคือขั้นแตกหัก (antagonism) แล้วนั่นเอง และจุดนี้แหละที่เป็นจุดเริ่มต้นแห่งการอวสานของระบบทาส แต่อย่างไรก็ดีการต่อสู้ของพวกทาสต้องประสบกับความพ่ายแพ้ครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งนี้เพราะขาดการจัดตั้งอันมีระเบียบและขาดการนําอันเด็ดเดี่ยวถูกต้อง ทาสส่วนมากยังติดข้องอยู่กับการฝากชีวิตไว้กับตัวบุคคล

ขบวนการปลดแอกของชนชั้นทาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ก็คือ การลุกฮือของทาสชาวโรมันแห่งกรุงโรม ภายใต้การนําของสปาร์ตาคัส (Spartacus) ทาสผู้ยิ่งใหญ่ เมื่อราว ๑๐๐ ปี ก่อนคริสต์ศักราช (คือราว ๒๐๐๐ ปี มาแล้ว) สปาร์ตาคัสรวมกําลังทาสหนีนายเข้าไว้ถึง ๗๐,๐๐๐ คน (บางแห่งว่า ๙๐,๐๐๐ คน บางแห่งว่า ๑๐๐,๐๐๐ คน) จุดหมายของการต่อสู้ของพวกทาสก็คือ "โลกใหม่ที่ไม่มีทาส ไม่มีนายทาส มีแต่เพียงประชาชนอาศัยอยู่ร่วมกันด้วยสันติและภราดรภาพ...เมืองที่ไม่ต้องมีกําแพง...ไม่มีสงคราม, ไม่มีความลําเค็ญ และไม่มีความทุกข์ยากอีกต่อไป" เขาปรารถนาที่จะสร้างสังคมที่ถือศีลธรรมใหม่ที่ว่า : อะไรที่เป็นความดีแก่ประชาชนเป็นสิ่งที่ถูก อะไรที่ทําร้ายประชาชนเป็นสิ่งที่ผิด

"การลุกฮือของสปาร์ตาคัสได้เป็นที่สนใจของผู้นําแห่งการปฏิวัติของชนกรรมาชีพมานานแล้ว คาลมาร์กซ์ได้เขียนถึงเฟรเดอริก เองเกิลส์เมื่อ ๑๘๖๑ ว่า "ในตอนเย็นๆ ผมผ่อนอารมณ์ด้วยการ