หน้า:2482-278 (Ministry of Finance v. Prajadhipok & Rambai Barni).pdf/2

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
ข่าวโฆษณาการ
 

ภาคพิเศษ
คำพิพากษาศาลอุทธรณ์
เรื่อง ความแพ่งในระหว่างกระทรวงการคลัง โจทก์ สมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ ๑
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ที่ ๒ จำเลย
(สำเนา)
คำพิพากษา
  • คดีดำที่ ๑๙๗ พ.ศ. ๒๔๘๒
  • คดีแดงที่ ๒๗๘ พ.ศ. ๒๔๘๒
 
ศาลอุทธรณ์
วันที่ ๒๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒
ความแพ่ง
ในระหว่าง  กระทรวงการคลัง โจทก์

สมเด็จพระปกเกล้าฯ ที่ ๑ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ที่ ๒ จำเลย
คำสั่ง ลงวันที่ ๒๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๘๒

ผู้พิพากษา ซึ่งมีนามต่อไปข้างท้ายนี้ ได้พร้อมกันตรวจสำนวนคดีเรื่องนี้แล้ว จึ่งพิพากษาเด็ดขาด ดั่งจะกล่าวต่อไปนี้

คดีนี้ โจทก์ฟ้องเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๘๒ มีใจความว่า จำเลยได้โอนทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ไปเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของจำเลย โจทก์จึ่งฟ้องเรียกเงินรวมทั้งดอกเบี้ยจนถึงวันฟ้อง เป็นเงิน ๖,๒๗๒,๗๑๒ บาท ๙๓ สตางค์

ในวันเดียวกันนั้นเอง โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ทั้งหมด รวมทั้งทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลยด้วย และโดยที่กรณีมีเหตุฉุกเฉิน จึ่งขอให้ศาลมีคำสั่งจัดให้มีวิธีคุ้มครองตามคำขอโดยไม่ชักช้า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๒ และ ๒๖๗

ศาลแพ่งได้ทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งในวันนั้นเองให้ยกคำร้องของโจทก์เสีย คำสั่งนี้เป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๖๗

ในวันที่ ๒๐ เดือนเดียวกัน โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอใหม่ตามความในมาตรา ๒๖๗ วรรค ๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง

ในคำร้องฉะบับหลังนี้ โจทก์คงขอให้ศาลมีคำสั่งให้ยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยไว้ทั้งหมด รวมทั้งทรัพย์สินของบุคคลภายนอกซึ่งถึงกำหนดชำระแก่จำเลยด้วย เช่นเดียวกับคำขอในคำร้องฉะบับแรก