(15) ผู้ขับร้องบรรเลงขออาหาร[1]
(16) ผู้ไร้บ้านและเที่ยวท่องไปเรื่อย[2]
(17) ผู้ถือกะลามะพร้าวเที่ยวขอทาน[3]
(18) คนหูหนวก
(19) คนตาบอด
(20) โสเภณี[4]
(21) หญิงลามก[5]
(22) หญิงมีครรภ์
(23) ผู้ไม่เป็นทั้งชายทั้งหญิง[6]
(24) ผู้เป็นทั้งชายทั้งหญิง[7]
(25) พ่อมดและแม่มด
(26) คนบ้า[8]
(27) แพทย์ซึ่งมิได้เรียนตำราแพทย์[9]
(28) คนทำรองเท้า[10]
(29) ชาวประมง
(30) คนติดพนันขันต่อ[11]
(31) โจรและขโมย[12]
(32) คนเจ้าอารมณ์[13]
(33) เพชฌฆาต
จะสังเกตได้ว่า ข้อแตกต่างใด ๆ ในระหว่างตัวบทของพระมนูฮินดูกับตัวบทของลักษณะพยานสยาม ถ้าจะมี ก็คือ ตัวบทของฮินดูระบุบางกรณีเป็นการทั่วไปมากกว่า ขณะที่ตัวบทของสยามเจาะจงมากกว่า ตัวอย่างเช่น ประมวลกฎหมายพระมนูระบุในลักษณะทั่วไปว่า ทารกและคนชราจะนำมาเป็นพยานมิได้ ส่วนลักษณะพยานเจาะจงกว่า โดยจำกัดอายุที่เขาเหล่านั้นมีต่ำกว่าหรือสูงกว่าแล้วจะเป็นพยานไม่ได้ อีกประการหนึ่ง ประมวลกฎหมายพระมนูระบุอย่างทั่วไปว่า ให้ตัดผู้ประกอบอาชีพโหดร้าย ผู้ขาดอวัยวะในการรับรู้ ผู้มาจากวรรณะต่ำสุด ฯลฯ จากการเป็นพยาน ขณะที่ลักษณะพยานลงรายละเอียดและระบุว่า คนเหล่านี้ได้แก่ใครบ้าง แต่ในภาพรวมแล้ว ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ทั้งตัวบทของฮินดูและสยามกำลังเปรยถึงสิ่งเดียวกัน
กฎหมายฮินดูมีหลักว่า ดอกเบี้ยไม่ควรเกินต้น (พระมนู เล่ม 8 หน้า 151–153) ลักษณะกู้หนี้[14] ของสยามก็ปรากฏหลักอย่างเดียวกันว่า
"เมื่อบุคคลทำสัญญาเป็นหนี้ และจ่ายดอกเบี้ยให้เดือนหนึ่ง สองเดือน หรือสามเดือนก็ดี แต่หลังจากนั้นก็ไม่กระทำเช่นนั้นอีก และเมื่อเจ้าหนี้มาทวง ก็ผัดผ่อนหลบเลี่ยงชำระเสีย เจ้าหนี้ซึ่งมิได้ทั้งต้นทั้งดอกมาช้านาน จึงเรียกให้มาอยู่ต่อหน้าตุลาการ [ดังนี้ ให้ถือว่า] ดอกเบี้ยที่ลูกหนี้จ่ายไปในเดือนแรก เดือนสอง หรือเดือนสามนั้น เป็นกำไรที่เจ้าหนี้ควรได้ เจ้าหนี้จะเรียกดอกเบี้ยจำนวนที่ค้างจ่ายอีกก็ได้ แต่ถ้าหนี้นั้นเนิ่นนานนักหนาแล้ว ดอกเบี้ยให้คิดไม่เกินต้น ตามความในกฎหมาย"[15] (คำแปลกฎหมายสยามว่าด้วยหนี้ของอาร์เชอร์ หน้า 6)
หลักกฎหมายฮินดูมีว่า ถ้าจำเลยกล่าวเท็จว่าไม่ได้เป็นหนี้ เขาจะถูกปรับสองเท่าของจำนวนหนี้ (พระมนู เล่ม 8 หน้า 59) ลักษณะกู้หนี้ของสยามก็ปรากฏหลักอย่างเดียวกันว่า
"เมื่อลูกหนี้ที่ถูกเรียกมาอยู่ต่อหน้า
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 334) ว่า "คนขับขอทานท่าน" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 333) ว่า "คนไม่มีเรือนเที่ยวจร" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 333) ว่า "คนถือกระเบื้องกระลาขอทาน" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 333) ว่า "หญิงนครโสภิณี" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 333) ว่า "หญิงแพศยา" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 333) ว่า "เปนกระเทย" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 333) ว่า "เปนบันเดาะ" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 333) ว่า "คนเปนพิกลจริต" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 334) ว่า "หมอยาหมีได้เรียนคำภีรแพท" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 334) ว่า "ช่างเกือก" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 334) ว่า "คนนักเลงเล่นเบี้ยบ่อน" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 334) ว่า "คนเปนโจร" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในพระไอยการลักษณภญาณ (แลงกาต์ 2481a, น. 334) ว่า "คนโทโสมาก" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
- ↑ ชื่อกฎหมายโบราณของสยามเกี่ยวกับหนี้
- ↑ ข้อความดั้งเดิมในภาษาไทย คือ มาตรา 34 ของพระไอยการลักษณกู้หนี้ ซึ่งระบุว่า (แลงกาต์ 2481b, น. 186) "กู้เงินท่าน แลส่งดอกเบี้ยรายมาถึงเดือนหนึ่ง 2 เดือน 3 เดือนแล้วก็ดี แลอยู่มามิส่งนายเงิน ๆ ก็ไปทวง แลทำประเว่ประวิงไปมา ต้นเงินก็มิส่ง ดอกเบี้ยก็มิให้ เปนช้านาน นายเงินให้สมภักนักการเรียกหา แลท่านบังคับว่า ซึ่งดอกเบี้ยส่งรายเดือนหนึ่ง 2 เดือน 3 เดือนนั้น เปนลาภแก่นายเงินแต่ที่ได้ไว้แล้วนั้น แลซึ่งดอกเบี้ยยังไม่ส่งนั้น ให้บังคับตามมากแลน้อย ถ้าแลช้านานเท่าใด ให้บังคับแต่ต่อหน้าโดยพระราชกฤษฎีกา" (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)