พงศาวดารล้านช้าง

กลับไปหน้าหลัก
ก่อนหน้า
แม่แบบผิดพลาด: มีการลบช่องที่ไม่ได้ใช้ออก โปรดเติมกลับเข้าไป (โปรดดูเอกสารกำกับแม่แบบ)
พงษาวดารล้านช้าง (ตามถ้อยคำในฉบับเดิม)

บริเฉทที่ ๑ แก้ไข

๏ อันนี้จักจารึกด้วยวงษา อันเปนพระยายักษ์ผุดแต่เมืองลังกา มาเปนใหญ่ในนครศรีสัตนาคนหุตนี้แต่ปฐมหัวที ยังมีพระยายักษ์ตนหนึ่งชื่อว่านันทา เมียชื่อพระมหาเทวี ลูกชื่อนางการี (คือเมรี) เขาเจ้าผัวนางตายก่อนเมีย จึงไปเปนพระยาอินทปัตเกิดลูกชื่อเจ้าพุทธเสน (พระรท) มาเอานางกางรีเปนเมีย มีลูกผู้ชายผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวพิศี มีลูกหญิงผู้หนึ่งชื่อว่านางพิไสย เขาเจ้าเอากันเปนผัวเมียกัน จึงมีลูกชายผู้หนึ่งชื่อว่าอ้ายชะเลิกเอิก ลูกหญิงผู้หนึ่งชื่อเอื้อยชลึมฟ้า เขาเจ้าพี่น้องเอากันเปนผัวเมีย จึงมีลูกชายผู้หนึ่งชื่อ อ้ายเจตไห มีลูกหญิงผู้หนึ่งชื่อนางเกล้าใหญ่ปากกว้างหูรี เขาเจ้าเอากันเปนผัวเมียกัน เขาฝูงนั้นหากเปนวงษานันทามหาเทวีแต่นางกางรีพู้นมาแล เขาฝูงนั้นฉิบหายไปแล้ว ยังมีเจ้าฤๅษีสองตนน้องพี่มาเทศนาธรรมสอนสั่งฝูงปิศาจยักษ์ร้ายนาคา แลมีพระยางูเหลือมอยู่ถ้ำภูช่อง มีนางพระยาเงือกอยู่ภูข้างฟากน้ำลานก่ำเหนือทั้งศพเขหลวงปากอุ่นก็มา นาคใหญ่แก่งหลวงก็มา งูหลวงแก่งวังใหญ่ก็มา กับทั้งตัวอยู่ในผาแนบน้ำก็มา กับทั้งนาคตัวอยู่ผาสองเสื้อก็มา ไหว้บาทฟังธรรมเจ้า เจ้าฤๅษีเทศนาสั่งสอนคนทั้งหลายว่าไผอย่ายาดบ้านชิงเมืองเพื่อน อย่ายาดลูกชิงเมีย อย่ายาดข้อยชิงไพร่เพื่อนองค์เปนเจ้าก็เปนการลำบากดังนี้แล ยามหนึ่งหนาวคราวหนึ่งร้อน หนาวมีหอมีฮงหามายังปมน้ำอุ่นแลน้ำเย็นช่วยผ่อแทนหากันก็มีป่างนั้นแล แล้วเจ้าฤๅษีพี่น้องจึ่งแปงเมืองบ้านล้านช้างเปนปฐมก่อน เจ้าก็จึงมาตั้งเสาอินทขิณ คือว่าหลักมั่นไว้ตวันออกอันหนึ่ง อันถ้วนสองไว้ข้างนาไร่เดียว อันถ้วนสามไว้สุพโฮมเมืองอันนี้ลวดได้ชื่อว่าเชียงทอง เหตุเอาต้นทองเปนนิมิตร ชื่อว่าเชียงคง เหตุเอานามดงเปนนิมิตร ชื่อว่าล้านช้าง เหตุเอาภูช้างเปนนิมิตร แลเมืองอันนี้จึงเรียกชื่อว่า ศรีสัตนาคนหุต เหตุเอานาคทั้งเจ็ดเปนนิมิตร จึงเรียกศรีสัตนาคนหุตราชธานีศรีเชียงคงเชียงทองเพื่ออัน แล้วเจ้าฤๅษีก็เสด็จหนีตามฤทธิ แต่นั้นจิรกาลล่วงมา ยังมีผู้หนึ่งอยู่เวียงจันทรพานิชซา จึงขึ้นมาค้าในเชียงคงเชียงทอง ในคืนวันหนึ่งนั้นท่านก็ฝันว่ามือขวาป่ายพระอาทิตย์ มือซ้ายป่ายพระจันทร์ สองตีนยันกงรถพระสุริยาปรากฎออกมา พานิชจึงไปหาพ่อค้าแก้คำฝันอันเปนอัศจรรย์ พ่อค้าผู้นั้นว่าผู้น้อยฝันใหญ่จักได้กินขี้เพื่อน พ่อค้าพานิชซาจึงเมื้อไหว้มหาเถรเจ้าแก้คำฝัน มหาเถรเจ้าจึงให้พานิชชาคืนมาหมกขี้ฮ้ากินแล้วสะหัวเสียแล้วมาหาเฮาเทอญ มหาเถรว่าดังนั้นมันก็ตามคำมหาเถรเจ้า แล้วมหาเถรจึงทำนายทายว่า อุบาสกขึ้นเมือเงินคำจักติดสันถ่อขึ้นมา อุบาสกอย่าได้เอาเมือฮวดเชียงทองเงินกำจักเนืองนองมามาก แก้วแหวนหากเหลือตรา ช้างม้ามากมูลมาถวายบูชาอุบาสกดีหลีแล เมื่อนั้นพานิชซาก็ไหว้มหาเถรเจ้าแล้วก็ขึ้นมา เงินคำติดถ่อขึ้นมา พานิชซาก็บ่เอา มาฮวดเชียงทองเห็นเงินคำหลายหลากสองฝั่งฟากน้ำของ เท่าเอามาให้ทานยาจกคนขอเปนอันมาก ชาวเมืองเห็นหลากแก่ตา ก็จึงอุศยาภิเศกเปนพระยาในเชียงคง เชียงทอง สร้างบ้านแปงเมืองสืบแนวเนื่องราชวงษาชั้นนั้นแล้ว

๏ ยังมีผู้หนึ่งชื่อว่าขุนชวาจึงมาสร้างบ้านแปงเมืองในเชียงคงเชียงทอง ลวดว่าเมืองชวาตามวงษา ขุนชวาจึงไว้ลูกผู้หนึ่งชื่อยีบา ขุนชวาตายไว้เมืองแก่ยีบา ๆ ไว้ลูกผู้หนึ่งชื่อว่าวิริยา ขุนวิริยาตาย ไว้ลูกผู้หนึ่งชื่อกันฮาง ขุนกันฮางไว้ลูกผู้หนึ่งชื่อลกลิง ขุนลกลิง ไว้ลูกผู้หนึ่งระวัง ขุนระวังไว้ลูกผู้หนึ่งชื่อยีผง เมื่อขุนกันฮางอยู่ สร้างบ้านแปงเมืองชวา ลูกมันผู้ชื่อลูกลิงก็ยัง หลานมันผู้ชื่อระวังก็ยัง เหลนมันผู้ชื่อยี่ผลก็ยัง เขา ๘ คนพ่อลูกหลานเหลน ยังเปนขุนใหญ่อยู่กินบ้านล้านช้างที่นี้มาก่อนแล ปฐมนิทานํ นิฎฺฐิตํ

บริเฉทที่ ๒ แก้ไข

๏ ดูราสปุริสทั้งหลาย ดังเราจักรู้มามีในกาลเมื่อก่อนเถ้าเก่าเล่ามา เปนคำปรำปราสืบ ๆ มาว่าดังนี้ กาลเมื่อก่อนนั้น ก็เปนดินเปนหญ้าเปนฟ้าเปนแถน ผีแลคนเที่ยวไปมาหากันบ่ขาด เมื่อนั้นยังมีขุนใหญ่ ๓ คน ผู้หนึ่งชื่อว่าปู่ลางเชิง ผู้หนึ่งชื่อขุนคาน อยู่สร้างบ้านเมืองลุ่ม กินปลาเฮ็ดนาเมืองลุ่มกินเข้า เมื่อนั้นแถนจึงใช้ให้มากล่าวแก่คนทั้งหลายว่า ในเมืองลุ่มนี้กินเข้าให้บอกให้หมาย กินแลงกินงายก็ให้บอกแก่แถน ได้กินขึ้นก็ให้ส่งขาได้กินปลาก็ให้ส่งรอยแก่แถน เมื่อนั้นคนทั้งหลายก็บ่ฟังคามแถน แม้นใช้มาบอกสองทีสามที ก็บ่ฟังหั้นแล

๏ แต่นั่น แถนจึงให้น้ำท่วมเมืองลุ่ม ลีดเลียงท่วมเมืองเพียงละลายคนทั้งหลายก็ฉิบหายมากนักชะแล

๏ ยามนั้นปู่ลางเชิงแลขุนเด็กขุนคาน รู้ว่าแถนเคียดแก่เขา ๆ จึงเอาไม้ขาแรงเฮ็ดแพเอาไม้แปงเรือนเฮ็ดพวง แล้วเขาจึงเอาลูกเอาเมียเข้าอยู่ในแพนั้น แล้วน้ำจึงพัดเขาขึ้นเมือบน ขนเอาเมือเมืองฟ้าพู้นแล

๏ พระยาแถนจึงถามเขาว่า สูจักมาเมืองฟ้าตูพี้เฮดสัง เขาจึงบอกเหตุการณ์ทั้งมวญ พระยาแถนจึงว่าตูใช้ให้ไปกล่าวแก่สูสองสามทีให้ยำแถนยำผีเถ้ายำเจ้ายืนกาย สูสั่งบ่ฟังคำกูจึงเท่าสูแล้ว

ทีนั้นพระยาแถน จึงให้เขาไปอยู่ที่บึงดอนแถนลอหั้นแล แต่นั้นน้ำจึงแห้งจึงบกเปนพื้นแผ่นดิน เขาจึงไหว้ขอพระยาแถนว่า ตูข้อยนี้อยู่เมืองบนบ่แกว่นแล่นเมืองพ้าบ่เปน ตูข้อยขอไปอยู่เมืองลุ่มลิดเลียง เมืองเพียงพักย่อมพู้นเทอญ เมื่อนั้นพระยาแถนจึงให้เอาลงมาส่ง ทั้งให้ควายเขาลู่แก่เขา จึงเอากันลงมาตั้งอยู่ที่นาน้อยอ้อยหนูนก่อหั้นแล แต่นั้นเขาจึงเอาควายนั้นเฮ็ดนากิน นานประมาณ ๓ ปี ควายเขาก็ตายเสีย เขาละซากควายเสียที่นาน้อยอ้อยหนูหั้นแล้ว อยู่บ่นานเท่าใด เครือหมากน้ำก็เกิดออกฮูดังควายตัวตายนั้นออกยาวมาแล้ว ก็ออกเปนหมากน้ำเต้าปูง ๓ หน่วย แลหน่วยนั้นใหญ่ประมาณเท่ารินเขาปลูกเข้านั้น เมื่อเครื่องหมากนั้นแก่แล้ว คนทั้งหลายก็เกิดมาอาไศรยซึ่งหมากน้ำ เปนดังนางอาสังโนเกิดในท้องดอกบัวเจ้าฤๅษีเอามาเลี้ยงไว้ คนทั้งหลายฝูงเกิดในผลหมากน้ำเต้าฝูงนั้นก็ร้องก้องนีนันมากนัก ในหมากน้ำนั้นแล

๏ ยามนั้นปู่ลางเชิงจึงเผาเหล็กชีแดงชีหมากน้ำนั้น คนทั้งหลายจึงบุเบียดกันออกมาทางฮูทีชีนั้น ออกมาทางฮูทีนั้นก็บ่เบิ่งคับคั่งกัน ขุนคานจึงเอาสิ่วไปสิ่วฮู ให้เปนฮูแควนใหญ่แควนกว้าง คนทั้งหลายก็ลุไหลออกมานานประมาณ ๓ วัน ๓ คืนจึงหมดหั้นแล คนทั้งหลายฝูงออกมาทางฮูชีนั้นแบ่งเปน ๒ หมู่ ๆ หนึ่งเรียกชื่อไทยลม หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยลี ผู้ออกทางฮูสิ่วนั้นแบ่งเปน ๓ หมู่ หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยเลิง หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยลอ หมู่หนึ่งเรียกชื่อไทยควางแล

๏ แต่นั้นฝูงปู่ลางเชิง จึ่งบอกสอนเขาให้เฮ็ดไฮ่ไถนา ทอผ้าทอสิ้นเลี้ยงชีวิตรเขา แล้วก็ปลูกแปงเขาให้เปนผัวเปนเมีย มีเย่ามีเรือนก็จึงมีลูกหญิงลูกชายมากนักแล เมื่อนั้นปู่ลางเชิงเล่าบอกให้เขารักพ่อเลี้ยงรักแม่เลี้ยง เคารพยำเกรงผู้เถ้าผู้แก่กว่าตนเขาแล อยู่หึงนานไปพ่อแม่เขาก็ตาย ท่านปู่ลางเชิงเล่าบอกให้เขาไหว้พ่อแม่เขาแล้วให้ส่งสการเมี้ยนซากฝูงออกมา ทางฮูสิ่วให้เผาเสีย เก็บถูกล้างสร้อยสีแล้วให้แปงเถียง ใส่ลูกไว้ให้ไปส่งเข้าส่งน้ำชุมื้อ ฝูงออกทางฮูชีนั้นให้ฝังเสียแล้วแปงเถียงกวมไว้เล่า ให้ไปส่งเข้าน้ำชุวันคั้นเขาไปบ่ได้ปู่ลางเชิงบอกให้แต่งเพื่อน เข้าเหล้าไว้ห้าห้องเรือนเขาแล้วให้เขาเรียกพ่อแม่เขาฝูงตายนั้นมากินหั้นแล

๏ แต่นั้นคนทั้งหลายฝูงเกิดมาในน้ำเต้า ฝูงออกมาทางฮูสิ่วนั้นเปนไทย ฝูงออกมาทางฮูชีนั้นเปนข้า คนฝูงนั้นลวดเปนข้อยเปนไพร่เขาเจ้าขุนทั้งสามนั้นแล เมื่อนั้นคนแผ่พวกมามากนัก มากอย่างทรายหลายอย่างน้ำ ท่อว่าหาท้าวหาพระยาบ่ได้ ปู่ลางเชิงทั้งขุนเด็กขุนคานบอกสอนเขาก็บ่แพ้ แม้ว่าใคเขาก็บ่เอาคำ ขุนทั้งสามก็จึงขึ้นเมือขอหาท้าวพระยากวนแถนหลวง พระยาแถนจึงให้ขุนครูแลขุนครอง ลงมาเปนท้าวพระยาแก่เขาหั้นแล

๏ เมื่อขุนทั้งสองลงมา สร้างบ้านก็บ่เปลือง สร้างเมืองก็บ่กว้าง สูกินเหล้าชุมื้อชุวัน นานมาไพร่ค้างทุกขค้างยากก็บ่ดูนา

๏ เมื่อนั้นขุนเด็กขุนคาน จึ่งขึ้นเมือไหว้สาแก่พระยาแถน ๆ จึ่งถกเอาทังสองหนีเมือบนหนเมือฟ้าดังเก่าเล่าแล พาหิระนิทานํนิฏฐิตํ

๏ ปางนั้นพระยาแถนหลวงจึงให้ท้าวผู้มีบุญ ชื่อว่าขุนบูลมมหาราชาธิราช (บรมมหาราชาธิราช) อันได้อาชญาพระยาแถนแล้ว ก็จึ่งเอารี้พลคนทั้งหลายลงเมือเมืองลุ่มลีดเลียงเมืองเพียงคักค้อย มาอยู่ที่นาน้อยอ้อยหนูอันมีลุ่มเมืองแถนหั้นก่อนแล

๏ ทีนั้นคนทั้งหลายฝูงออกมาแต่น้ำเต้าปูงนั้น ผู้รู้หลักนักปราชญ์นั้นเขาก็มาเปนลูกท่านเบ่าเธอขุนบูลมมหาราชา แลผู้ใบ้ช้านั้นเขาก็อยู่เปนไพร่ไปเปนป่า สร้างไฮ่เฮ็ดนากินแล

๏ เมื่อนั้นขุนบูลมมหาราชา ก็เจรจากับเจ้าขุนทั้งหลายฝูงลงมาพร้อมตนนั่นว่า แรกแต่นี้เมื่อน่าเราจักเฮ็ดสิ่งใด ให้มีอันนุ่งอันกินแก่คนทั้งหลายนี้จา แต่ก่อนพู้นพระยาแถนเจ้าให้ขุนคองลงมาปกห้อมคนทั้งหลายดังนั้น สองเขามาสร้างบ้านก็บ่เปลือง สร้างเมืองก็บ่กว้าง แถนจึงถกเขาหนีเมือเมืองบน ขนเขาหนีเมือเมืองฟ้าพู้นแล้ว ในที่นี้แถนเล่าให้เราพี่น้องลงมาปกมาฮวมเขานี้แลมาดูคนทั้งหลายนี้ มากดังทรายหลายดังน้ำ เราจะคิดการอันใดให้มีอันห่มอันปกเขา ให้มีอันจักกินแก่เขานี้จา มาเราเปนพี่น้องให้ขุนเสลิงเมือไหว้สาพระยาแถนเจ้าเทอญ ยามนั้นขุนเสลิงก็เมือไหว้เมือสาเล่าแก่พระยาแถนชุประการหั้นแล

๏ เมื่อนั้นพระยาแถนหลวงจึ่งให้แถนแต่ง แลพิศณุกรรมลงมาแต่แปงแก่เขา แถนแต่งจึงมาแต่ยามให้ทำไร่ทำนา ปลูกเข้าปลูกผักปลูกลูกไม้หัวมันทั้งมวญอันจักควรกิน เล่าบอกยามอันทอผ้า หาที่หากเปนเชื้อชาติพืชพรรณยา แถนชื่อ แถนกรม แถนตรา เกลางกเกลางา ตับค้ายเกิดเมืองคนมาเอาปฏิสนธิด้วยโอปปาติกะชาติองอาจนักหนา ทั้งอรรคชายานางนาฎ โฉมพิลาศชื่อนางแอกแดง ทั้งนางยมพาลาแฝงฝ่ายข้าง ทั้งให้ช้างงาแดงกอดลงมาทั้งกองฮาง เงินฮาง ง้าวกับทั้งตาวฮางกร แลดาบเหล็กพวนฝักหวาย ทั้งง้าวปายชายด้ำมาศ ทั้งเกิบแลดาบฝักคำ ทั้งคันธนูกับแล่ง หอกละมังแมงคันคำทั้งให้ไถกลอนมาสอนคำแปงคำ ให้จำนำแห่แหนเขาเจ้าทั้งสามแถนปลงความว่า ให้ขุนเสลิงลงถือแถนคำ ให้ขุนคานลงมาถือศรคำ ให้ขุนคองลงฮางถือง้าว ให้ขุนเมืองลงมาถือตาวฮางกร ให้ขุนทอนเลาถือดาบฝักหอย ให้ขุนแวนลงถือง้าวปลายไชย ให้ขุนพีลงถือเกิบฝักคำ ให้ขุนพลลงถือมุกคันคำ ให้ขุนพานลงถือธนู

๏ เมื่อนั้นขุนบูลมจึ่งขัดไถ้แสง สพายแวงสลิคันไชย ถือตาวแมวี กับมีดน้อยสวยเรียม แล้วก็จึ่งขึ้นขี่ช้างงาเกี้ยวงากอด จึ่งเอานางแอกแดงขี่ถัดขุนบูลมนั้น แลเอานางยมพาลาขี่ตาม แล้วแถนจึ่งให้ขุนสารขี่ตอนช้างขุนบูลมลงมา แถนเล่าให้ขุนค้ายถือเสียมลงมาตามหลัง ขุนยี่ให้ถือพ้าถือมีดมา ขุนอุ่นให้ถือขวานถือแอกลงมา ขุนคำให้ถือไถ่ถือเปดลงมามวญ ขุนทั้ง ๘ นี้จึ่งมาตามหลังขุนบูลมราชาแล ส่วนพิศณุกรรมจึ่งบอกคุณอันเข่นพร้ามีดจกเสียมเครื่อง เวียกการช่างเขาทั้งมวญ เล่าบอกคุณอันทำหูกทอฝ้าย แพรเขมฝ้ายด้ายไหมทั้งมวญ อันควรนุ่งควรกินทั้งมวญหั้นแล

๏ แถนจึ่งสั่งสอนขุนบูลม ผู้เปนท้าวเปนพระยาในลุ่มฟ้านี้ว่าไทยควางให้ออกหาขุนควาง ไทยวีให้ออกหาขุนวี ไทยเลิงให้ออกหาขุนเลิง ไทยเลนให้ออกหาขุนเลน ไทยลอให้ออกหาขุนลอ แถนแต่งเล่าจึ่งว่ากับขุนบูลมดังนี้ ตั้งแรกแต่นี้เมื่อน่า ชาวเมืองลุ่มนี้ได้กินขึ้นให้ส่งขาแก่แถน ได้กินปลาให้ส่งรอยแก่แถน ให้เฮ็ดแหวนเฮ็ดหัวส่งแก่ล่าม ใช้แถนแต่มื้อลวงคะลำแก่ผู้ชาย มื้อรวายให้คะลำแก่ผู้หญิง เดือนเจี๋ยงให้คะลำพื้น มื้อกดมื้อกาบเดือน

๏ ให้กะลำพื้น มื้อเต่ามื้อระวาย พักบาทอย่าราน พักบาทขวานอย่าป้ำ ฟืนหาบน้ำอย่าตัก สากอย่าตำอย่าร่อน ได้จึ่งจะดีก็สูตาย

๏ เมื่อนั้นแถนแต่งแล้วพิศณุกรรมคั้นว่าสั่งสอนมวญขุนบูลมราชากับอำมาตยแลทั้ง หลายดังนี้แล้ว ก็จึ่งเมือบอกเมือเล่าแก่พระยาแถนว่า มือขวาให้ห้ามผู้ชาย มือซ้ายให้ห้ามผู้หญิง เผือข้อยทั้งสองก็ไปแต่ง แปงบอกสอมเขาชุประการแล้ว เมื่อนั้นพระยาแถนเล่าถามว่าเครื่องอันจักเล่นจักหัว แลเสพรำคำขับทั้งมวญนั้นยังได้แต่งแปงให้แก่เขาไป ยามนั้นแถนแพนจึงว่าเครื่องฝูงนั้นข้อยไป่ได้แต่งแปงกาย เมื่อนั้นพระยาแถนหลวงจึงให้ศรีคันธพะเทวดา ลาลงมาบอกสอนคนทั้งหลายให้เฮ็ดฆ้องกลองกรับ เจแวงปีพาทยพิณเพี้ยะเพลงกลอนได้สอนให้ดนตรีทั้งมวญ แลเล่าบอกส่วนครูอันขับฟ้อนฮ่อนนะสิ่งสว่าง ระเมงละมางทั้งมวญถ้วนแล้ว ก็จึ่งเมื้อเล่าเมื้อไหว้แก่พระยาแถนหลวงชุประการหั้นแล

๏ เมื่อนั้นพระยาแถนหลวงจึ่งกล่าวว่า แต่นี้เมือน่า อย่าให้เขาขึ้นมาหาเฮาซ้ำสองทีทอญ แม้นเราก็อย่าลงไปหาเขาซ้ำสองทีทอญ แถนหลวงจึ่งให้ตัดข้อหลวงอันแรงกายหลายหลวงอันแรงเรียวนั้นเสีย แต่นั้น ผีแลคนลวดบ่เทียวไปมาหากันได้หั้นแล

๏ เมื่อนั้นขุนบูลมราชา อันเปนท้าวพระยาในเมืองลุ่มนี้สร้างบ้านก็บ่ทันเปลือง สร้างเมืองก็บ่ทันกว้าง ยังมีเครือเขากาด (แกลบ) เกิดเปนอุบาทว์ในห้องกวาทานนั้นแล แดนดินสูงขึ้นได้แลโยชน์ มีกิ่งเง่าแลปกรกกวมเมืองแถนทั้งมวญ อยู่สัพพรั่มเงาเอื้อมเมืองแมนพู้นแล คอยฟ้าก็บ่เห็น หนาวเย็นจักผิงแดดก็บ่ได้ ทั้งหลายเฮ็ดไร่ไถนากินก็บ่ดี

๏ เมื่อนั้นขุนบูลมจึ่งให้ไผไปตัดไปฟันเสียก็ว่าเข็ดแล้วนักบ่อาจจักไปตัดได้ ยามนั้นยังมีเถ้าแก่สองคน ผู้หนึ่งชื่อว่าเถ้าเย่อ ผู้หนึ่งชื่อว่าเถ้ายา ทั้งสองเขาจึ่งขันไปฟันเครือเขากาดต้นนั้น เขาจึ่งว่าเมื่อใดเผือข้อยหากตายไปแท้ ให้คนทั้งหลายได้ถือเวรทางเผือข้อยครั้นจักเฮ็ดจักกินอันใดก็ดี ให้ได้เรียกพาเผือข้อยก่อนจึ่งเฮ็ดจึ่งกินทอญ ยามนั้นเขาทั้งหลายว่า เออดีแล้ว ตูทั้งหลายหากจักเรียกหาเขือปู่ก่อน แล้วช่างเฮ็ดช่างกินชอบแล เมื่อนั้นเขาสองเถ้า ก็แบกขวานเข้าไปฟันชุวัน ๆ นานประมาณ ๓ เดือน ๓ วัน จึงขาดเครือเขากาดก็ล้มท่าวไป สองชายเขาก็ตายไปหั้นแล ปางนั้นคนทั้งหลายก็พอกพลีกรรมสองเขา จึ่งเรียกว่าเย่อกิน ยามนั้นเขาเกิดเปนอารักษเทวดา ก็ลวดกินเครื่องพอกเครื่องพลี ตามวิถีวิญญาจิตรอันคติหั้นแล ด้วยแท้จิลการนานนัก แต่นั้นมาภายน่าผีฝูงชาวล้านช้างเฮานั้นล้วนเอาความอันนั้นเปนนิมิตร ลวดว่ามาเย่อเปนโวหาร เรียกกันในกาลเมื่อจักเฮ็ดเวียดก็ดีจักกินก็ดี ฐานทีนั้นก็จึงเปนบ้านเปนเมืองกว้างว่างใหญ่ คนทั้งหลายจึงหมายชื่อว่าเมืองแถน เหตุฟ้าแล่นลงมาแต่งแปงให้ จึงเปนบ้านเปนเมืองแล

๏ เมื่อนั้นขุนบูลมราชาธิราช สร้างบ้านก็จึงเปลือง สร้างเมืองก็จึงฮู่ง ฝูงไพร่ก็อยู่ไถนาตกก้า ข้าก็อยู่พางฟันไร่เฮ็ดนากินแล ภายน่าแต่นั้นอยู่หึงนาน ท้าวบูลมจึงมีลูกชาย ๗ คน ได้ด้วยนางแอกแดงก่อนผู้พี่อ้ายชื่อว่าขุนลอ ผู้ยี่ว่ายี่ผาลาน ผู้สามชื่อว่าสามจูสง ถัดนั้นจึ่งได้ลูกด้วยนางยมพาลา ๓ คน ผู้อ้ายชื่อว่าไสผงผู้หนึ่งชื่อว่างัวอิน ผู้หนึ่งชื่อว่าลกกลม แล้วก็ได้ด้วยนางแอกแดงผู้ถ้วน ๗ นั้น เรียกชื่อว่าเจ็ดเจิงแล เมื่อลูก ๗ คนนั้นก็ดี เมื่อลูกขุนบูลมนี้ใหญ่ขึ้นมารู้หลักนักปราชญ์แล้ว ขุนบูลมจึงรำพึงว่าลูกกูนี้ก็ใหญ่หนากล้าขึ้นมา รู้หลักพอสร้างบ้านแบ่งเมืองเปนชะแลปานนี้พอควรกูแผ่แม่ปลงลูกกู ไปก่อบ้านแปงเมืองให้กว้างขวางกินทอญ ครั้นขุนบูลมคิดดังนี้แล้ว ก็จึงกล่าวบอกลูกทั้งหลายว่ากูก็จักปลูกแปงลูกเจ้าให้ไปสร้างบ้านแปงเมือง กินที่กว้างหว่างพู้นแล เมื่อขุนบูลมกล่าวเท่านั้นแล้ว จึ่งมาปันเครื่องให้เขาพี่น้องคือว่าให้ฆ้องราง ง้าวตาว แม่วี แก่ขุนลอ ให้หอกมังคะละคันคำแก่ยี่ผาลาน ให้เกิบกับดาบฝักคำแก่สามจูสง ให้น่าซองคำแล่งชายคำไสผง ให้ง้าวปากไชยด้ำมาศแก่งัวอิน ให้ดาบท่อพวนฝักถักหวายแก่ลกกลม ให้ตาวรางกวนแก่เจ็ดเจิง

๏ เมื่อนั้นช้างเขียวงากอม (กรอม) แต่ปู่เจ้าแถนหลวงแบ่งมาดอมพ่อเขานั้น ครั้นตาย ขุนบูลมจึงให้เลื่อยงาช้างก่ำขวานั้นเปน ๔ ท่อน ๆ กกนั้นให้แก่ขุนลอท่อน ๑ ถัดนั้นให้แก่ยี่ผาลานท่อน ๑ ถัดปลายนั้นให้สามจูสงท่อน ๑ ปลายนั้นให้แก่เจ็ดเจิง ๔ คนเขานี้ลูกนางแอกแดงแล แล้วให้เลื่อยงาก่ำซ้ายนั้น เปน ๓ ท่อน ๆ กกนั้นให้แก่ไสผง ๑ ท่อนกลางให้แก่งัวอิน ๑ ท่อนปลายนั้นให้แก่ลกกลม ๓ คนนี้ลูกนางยมพาลาแล

๏ ขุนบูลมเล่าจักปันแก้วแหวนแก่ลูกทั้งหลาย จึ่งกล่าวว่า อันแหวนธำมรงค์เลื่อมแสงใสมณีโชติแก้ว ปู่เจ้าแถนกันแต่งมานั้น ให้ไว้แก่เจ้าขุนลอ หน่วยปัทมราช โชติแสงสิงตาวัน แถมคำกีใส่ถุงมาพร้อมนั้น ให้ไว้แก่ยี่ผาลาน หน่วยมุกตั้งเลื่อมผิวเงินเลียงล่องนาคราชน้อมนำมาส่งส่วยแถน ให้ไว้แก่จูสง หน่วยเพ็ชรเชิดตั้งแผ้วแผ่นบาดาลใคร ๆ แหงะหน้าคอยมิได้นั้น ไว้แก่เจ้าไสผง หมากนิลเลื่อมผ่านส่องแสงสองแถนลูบไลลมนิ้วส่งมานั้น ไว้แก่เจ้างัวอินอัมพาผ่องผายงามปัตลอดลิงลำไว้ห้า พากแพบนนั้น ให้ไว้แก่เจ้า ลกกลม มีหน่วยปัดคำแสงเลื่อมหลาย หลากแก้วแต่ฟ้าตนเจ้าปู่แถนนั้น ให้ไว้แก่เจ็ดเจิงทอญ ครั้นว่าขุนบูลมราชาแบ่งปันของแก่ลูกชายทั้งหลาย ๗ คนนี้แล้ว จึงบอกชี้ที่บ้านเมืองให้แก่เขาพี่น้องว่าขุนลอให้ไปสร้างเมืองชวา เปนท้าวเปนพระยาแก่คนทั้งหลายทอญยี่ผาลานให้ไปสร้างเมืองหัวแต สามจูสงให้ไปสร้างเมืองแกวช่องบัวไสผงให้ไปสร้างเมืองยวนโยนก งัวอินไปสร้างเมืองชาวใต้อโยทธยาลกลมให้ไปสร้างเมืองเชียงคม ยอสามเจ็ดเจิงให้ไปสร้างเมืองพวนครั้นชี้บ่อนให้แก่เขาแล้ว จึงให้คำสอนอธิษฐานไว้ดังนี้

๏ เจ้าพี่น้องหากแม่นลูกกูผู้เดียวดาย เมื่อกูตายไปอยู่ลูกหลังกูพ่อสูเจ้าก็ป้านแปงเมือง บุญผู้ใดมีหากได้นั่งบ้านสร้างเมือง อันกว้างขวางว่างใหญ่ บุญผู้ใดบมีหลาย หากจักได้ที่แคบขันอันชะแล กูปันให้สูเจ้าแล้วดังนี้ ภายน่าผู้ใดอย่าโลภตัณหาอิจฉามักมาก แลเอารี้พลช้างม้าไปตกแดน เอาหอกดาบเขนแพนไปตกท่ง แล้วรบเลวเอาบ้านเมืองกันดังนั้น ให้ผู้นั้นวินาศฉิบหาย ทำอันใดอย่าให้เปนเข็นอันใดอย่าให้ได้ ปลูกไม้อย่าทันตาย ปลูกหวายอย่าทันล่อนข้อม่อนอย่าให้รี ปีมันอย่าให้กว้าง เทียวทางให้ฟ้าผ่า เมือป่าให้เสือกิน ไปทางน้ำให้เงือกท่อเรือฉก ไปทางบกให้เสือท่อม้ากินมันแล

๏ เมืองอ้ายไว้แก่อ้าย เมืองน้องไว้แก่น้อง อย่าทำร้ายเบียดเบียนกัน อย่าผิดข้องข่มเหงเอาก็พ่อทอญ

๏ เมื่อขุนบูลมสั่งลูกปลูกแปงสำแดงบ้านเมือง ให้แก่ลูกตนดังนั้นแล้วอยู่บ่นานเท่าใด ก็ถึงอนิจกรรมตายไปตามกรรมท่านแล ถัดนั้นนางแอกแดงก็ดี นางยมพาลาก็ดี ก็ถึงอนิจกรรมตายตามกรรมแห่งตนชุคนหั้นแล เมื่อนั้นเขาพี่น้องก็ส่งสการเลิกทรากพ่อแม่เขาแล้ว ก็จึ่งให้ปฎิญาณแก่กันว่าตั้งแรกแต่นี้เมื่อน่า เราพี่น้องไปสร้างบ้านแปงเมืองที่พ่อแม่เราปันให้นั้นทอญ เราหมั่นให้ส่งข่าวสารการสนิทมิตรไมตรีต่อกันอย่าขาด ตามอาชญาพ่อแม่เราสั่งไว้นั้นทอญ ครั้นเขาพี่น้องสั่งกันแล้ว ส่วนเจ้าขุนลอจึ่งเอิ้นสั่งชาวเมืองทั้งหลายว่า

ปู่เย่อแถนถ่องบ้าน เปาลา
จักจากเจียรไกลตา ก่อนแล้ว
สิ่งโสมสอดโสภา แพงโพด พู้นพี่
ขกพี่ให้บุญแผ้ว แผ่นพื้นนครชวา (หลวงพระบาง)


ยี่ผาลานเอิ้นสั่งว่า

ปู่เย่อนาบ่อนน้อย แถนแถลง
เรียมจักจากจอมแพง พากข้าง
จักเดินผ่ายผันแสวง ชมเพื่อน พู้นพี่
ไปแต่งบ้านเมืองกว้าง แห่งห้องหอแต (หนองแส)


กัดจูสงเล่าเอิ้นสั่งว่า

ปู่เย่อแม่นบ่อนบ้าน บูรี
จักจากไปจุลนี ก่อนแล้ว
สมภารพี่ยังมี เมื่อข่ม เขาพู่น
องอาจขึ้นปางแก้ว โกฐแท้แท่นบัว (อานามประกัน)


ถัดนั้นไสผงเล่าเอิ้นสั่งว่า

ปู่เย่อน้ำเต้าปุ่ง เติมตน
จักจากไปเดินหน ห่างหั้น
โดยคองที่ทางชน เชียงใหม่
บุญหากมีดังนั้น อาจสร้างเสวยเมือง (ล้านนา)


ถัดนั้นงัวอินเล่าเอิ้นสั่งว่า

ปู่เย่อพระพ่อเจ้า สืบเชื้อ
ลูกเกิดมาสายลม บูลม ลูกเอย
จักจากเจียรจอมชม ชาวอื่น ละพ่อ
ไปเสพศุขเสวยเกื้อ เกิบก้ำอโยทธยา (สยาม)


ถัดนั้นลกกลมเล่าเอิ้นสั่งว่า

ปู่เย่อแม่เชื้อชาติ ชาวแถง
ลูกเกิดมีเผือแฝง ฝ่ายข้าง
จักไปสืบบุญแปง เปนเพื่อน ผาบพู่น
เอ็ดหมู่เมืองมอญกว้าง เกิดก้ำเชียงคม (คำเกิด)


๗ เจื้องเล่าเอิ้นสั่งกันแล้วดังนี้ ก็หนีไปสู่วิไสยบ้านเมืองแห่งตน ชุคนฮั้นแล เมื่อนั้นขุนลอก็เอารี้พลตนล่องมาทางน้ำฮวดน้ำฮูก็ถูล่องมาฮวดน้ำของ ขอนผาติงสบอูแล้วก็ตั้งทัพฮาวคาวจอดอยู่หั้นก่อนแล้วเมื่อนั้นขุนชวา ผู้เปนใหญ่ในเมืองชวาแต่ก่อน เรียกชื่อขุนชวานั้นมันอยู่สร้างบ้านแปงเมืองชวานี้แต่ก่อนแล ขุนชวาตายไว้เมืองแก่ยี่บาผู้ลูก ยี่บาได้ลูกคนหนึ่งชื่อวิริยา ยีบาตายไว้เมืองแก่วิริยา ๆ ได้ลูกผู้หนึ่งเรียกอ้ายกันฮาง วิริยาตายไว้เมืองแก่อ้ายกันฮาง ขุนกันฮางได้ลูกผู้หนึ่งชื่อว่าลกลิง ๆ ได้ลูกผู้หนึ่งชื่อว่าระวัง ขุนระวังได้ลูกผู้หนึ่งชื่อว่ายี่ผง เมื่ออ้ายกันฮางเปนขุนอยู่เมืองชวา ลูกมันผู้ชื่อลกลิงก็ยัง หลานมันผู้ชื่อระวังก็ยัง เหลนมันผู้ชื่อยี่ผงก็ยัง เขาสามคนพ่อลูกปู่หลานนี้ยังเปนขุนใหญ่อยู่กินเมืองชวาหั้นแลยามนั้นขุน ลอล่องมาฮวดน้ำของ ก็นองรี้พลเข้ามาเมืองชวารบฆ่ากันแพ้ เขาพ่อลูกปู่หลานเหลนก็อยู่บ่ได้ลวด พ่ายหนีเมือตกเมืองผาน้ำทาพู้นแล เมื่อนั้นขุนลอก็จึ่งได้ตั้งเมืองเปนท้าวเปนพระยา แก่ลาวทั้งหลายก่อน ท้าวพระยาลาวทั้งหลายมวญ ลวดได้ปรากฎว่าขุนชวาตามวงษาปู่เขาแต่ก่อนนั้นมาแล ขุนบูลมอพันธละนิฏฐิตํ

๏ เจ้าขุนท้าวพระยาในเมืองชวาล้านช้าง สืบราชวงษากันมาดังนี้เมื่อขุนลอลูกบรมราชาธิราชมารบฆ่ากันฮางแพ้ ลวดได้เปนเจ้าเปนขุนลาวอยู่ในเมืองชวานี้ก่อนแล

๏ เมื่อนั้นขุนลอมีลูกชายผู้หนึ่ง ลวดใส่ชื่อว่าขุนชวาตามวงษาปู่เขาผู้กินเมืองแต่ก่อนหั้นแล เมื่อขุนลอตายก็ไว้เมืองแก่ขุนชวาแทนหั้นแล เมื่อนั้นขุนชวาได้ลูกผู้หนึ่งขุนชวาเลา ขุนชวาเลามีลูกชื่อว่าขุนสูง ขุนชวาตายไว้เมืองแก่ขุนสูง ๆ มีลูกชื่อขุนเด็ก เมื่อขุนสูงตายก็ไว้เมืองแก่ขุนเด็กเล่าแล เมื่อนั้นขุนเด็กก็มีลูกผู้หนึ่งใส่ชื่อว่าขุนคุมเล่าแล เมื่อนั้นขุนคุมมีลูกผู้หนึ่งชื่อว่าขุนคีมแล เมื่อนั้นขุนคีมมีลูกชายผู้หนึ่งใส่ชื่อขุนคัว เมื่อขุนคีมตายก็ไว้เมืองแก่ขุนคัวเล่าแล ขุนคัวมีลูกชายผู้หนึ่งใส่ชื่อว่าขุนคาน เมื่อขุนคัวตายไว้เมืองแก่ขุนคาน ขุนคานมีลูกชื่อว่าขุนแพง เมื่อขุนคานตายไว้เมืองแก่ขุนแพง ๆ มีลูกชายผู้หนึ่งชื่อว่าขุนเพ็ง เมื่อขุนแพงตายไว้เมืองแก่ขุนเพ็ง ๆ มีลูกชายใส่ชื่อว่าขุนพี เมื่อขุนเพ็งตายไว้เมืองแก่ขุนพี ๆ มีลูกชายผู้หนึ่งชื่อว่าขุนคำ เมื่อขุนพีตายไว้เมืองแก่ขุนคำ ๆ มีลูกชายผู้หนึ่งชื่อว่าขุนฮุง เมื่อขุนคำตายไว้เมืองแก่ขุนฮุงเล่าแลเมื่อขุนฮุงกินเมืองปางนั้นบ่อยู่ตาม บุราณจารีต มักลีดม้างคองผู้เถ้าผู้แก่แต่ก่อนเสีย แลอวดอ้างยอตน มักยกรี้พลไปบละเหตุเหตุดังนั้นลวดให้บ้านเมืองชาวราชธานีเศร้าสูญเสียสามปี แล้ว จึ่งจัดตั้งอยู่มั่นเมื่อภายลูรเล่าแล แต่นั้นคืนหลังราชาเขาแปงเปนโวหารไว้ว่าขุนแลฮวมฝูงเปนขุนลาวทั้งมวญ มีขุนลอเปนเก๊ามาตามต่อเท่าถึงขุนฮุงนี้ได้ ๑๕ ขุนแล แต่นั้นมาภายน่าราชาเขาแปงว่าท้าวเลาแลเมื่อนั้นขุนฮุงมีลูกชายผู้หนึ่งชื่อ ว่าท้าวแทนโม ขุนฮุงตายไว้เมืองแก่ท้าวแทนโมกินแทนแล เมื่อนั้นท้าวแทนก็มีลูกชายผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวยุง ท้าวแทนตายไว้เมืองแก่ท้าวยุง ๆ มีบุตรชื่อว่าท้าวเยิก ท้าวยุงตายไว้เมืองแก่ท้าวเยิกเล่าแล เมื่อนั้นท้าวเยิกมีลูกชายคนหนึ่งว่าท้าวพิณท้าวเยิกตายไว้เมืองแก่ท้าวพิณ ๆ มีลูกชายคนหนึ่งชื่อท้าวงผาด ท้าวพิณตายไว้เมืองแก่ท้าวผาด ๆ มีลูกชายคนหนึ่งท้าวหว่าง ท้าวผาดตายไว้เมืองแก่ท้าวหว่างเล่าแล

๏ ด้วยแต่ราชาเขาแปงว่าท้าวมีท้าวแทนเปนเก๊า ตราบต่อเท่าถึงท้าวหว่างได้อยู่กินเมืองสืบ ๆ กันมาในเมืองชวาล้านช้างนี้แล ภายน่าแต่นั้นราชาเขาแปงว่าพระยาเล่าแล ท้าวหว่างมีลูกชายผู้หนึ่งชื่อท้าวลัง เมื่อท้าวหว่างตายไว้เมืองแก่ท้าวลัง จึงขึ้นชื่อว่าพระยาลังแต่นั้นมา พระยาลังมีลูกชายผู้หนึ่งคำผง เมื่อพระยาลังกินเมืองปางนั้นก็บ่ประกอบชอบธรรมบุราณจารีต แต่นั้นเขาลวดปลงพระยาลังเสีย เอาไปใส่ทับไว้ที่เชียงแพดสบอูหั้นแล เขาก็เอาคำผงผู้เปนลูกแทนเล่าแล ลวดใส่ชื่อพระยาคำผงแล เมื่อนั้นพระยาคำผงมีลูกชายผู้หนึ่งจักใส่ชื่อลูกตน จึ่งให้หอหลวงเมือเล่าแก่พระยาลังว่า หลานพระยาเจ้าเกิดมาแล้ว จักชื่อสิ่งใด ลูกพระยาเจ้าให้เผือข้ามาถามพระยาเจ้าดาย ยามนั้นพระยาลังตนนั้นเคียดแก่เขา เหตุว่าปลงตนเสียดังนั้น พระยาลังลวดบ่ปากสักคำทีนั้นเขาจักหนีก็จึ่งซ้ำถามพระยาลังว่า พระยาเจ้าจักใส่ชื่อหลานพระยาเจ้าชื่อใดจา ยามนั้นพระยาลังจึงว่าสูว่ากูบ่ดี ฮะกูหนีจากเมืองแล้ว บัดนี้สูเล่ามาถามกูสังจา เยียวว่าผีฟ้าบ่สู้สูนา พระยาลังว่าท่อนั้นแล้ว ข้าผู้ใช้ก็รู้ว่าพระยาเคียดแก่เขา เขาก็ล่วงหนีมาไหว้พระยาคำผง ว่าพ่อพระยาเจ้าเคียดกล่าวเยียวผีฟ้าบ่สู้สูนาพระยาลังว่าท่อนั้นดาย ยามนั้นพระยาคำผงว่าพ่อพระยาก็หากว่าผีฟ้าก็ว่าผีฟ้านั้นทอญ แต่นั้นคนทั้งหลายลวดเรียกกุมารนั้นว่าท้าวผีฟ้าเพื่อหั้นแล เมื่อท้าวผีฟ้าใหญ่มากล้าสูงมาแล้วก็มีลูกชาย ๖ คน ผู้หนึ่ง ชื่อว่าฟ้างุ้ม ผู้หนึ่งชื่อว่าฟ้าเงี้ยว ผู้หนึ่งชื่อว่าฟ้ายาน ผู้หนึ่งชื่อว่าคานคำ ผู้หนึ่งชื่อว่าฟ้าก่ำ ผู้หนึ่งชื่อว่าฟ้าเขียว

๏ เมื่อนั้นท้าวผีฟ้าเล่นชู้ด้วยนางสนมพ่อตน ชื่อว่านางคำนัน พระยาคำผงจึ่งขับท้าวผีฟ้าลูกตนหนีจากเมืองลาวทั้งมวญ บ่ให้อยู่ให้เซาทีใดสักแห่ง ดังนั้นท้าวผีฟ้าลวดบ่ได้เปนพระยาแทนพ่อเพื่ออันแล

๏ ด้วยแท้ตำนานผีฟ้าพ่อลูก ตกเมืองเฮายังจักกล่าวภายน่าพู้นกว้างนักแล

๏ ส่วนฟ้างุ้มลูกผีฟ้าหลานพระยาคำผงนั้น เกิดมาปีระวายศีศักราชได้ ๖๗๘ อายุ ได้ ๓๗ จึ่งได้เปนพระยาแทนปู่ในปีกาใช้ศักราช ๗๑๕ปีเปนพระยาได้ ๔ ปี ก็ละธรรมคำสอนพระมหาเถระเจ้าปาสมันตนลุกแต่พระนครหลวงมาเปนครูตนหั้นเสีย ลวดกระทำผิดทุจริต เสนา อำมาตยพร้อมกันแล้ว เล่าขับพระยาฟ้างุ้มหนีจากเมืองลาวในปีกาเป้าไปอยู่ดอมพระยาคำที่เมืองน่าน พู้น อายุท่านได้ ๕๘ ปีตายปีกาบยี่ศักราช ๗๓๖ นั้นแล เมื่อฟ้างุ้มเปนพระยาได้ ๓ ปี ศักราช ๗๑๘ ปี ก็มีลูกชายผู้หนึ่ง ชื่อท้าวอุ่นเรือน ยามนั้นหมอทั้งหลายก็ถวายว่ากุมารผู้นี้จักแพ้พ่อดาย เมื่อนั้นฟ้างุ้มลวดให้เอาไปไหลน้ำเสียฝูงข้อยเลี้ยงทั้งหลาย ก็เอาไปไหลเสียตามความพยากรณ์นั้น เขาก็ปรากฎเห็นฉ้อธงกั้งกางกุมารนั้นไป เขาจึ่งไปเล่าแก่หอหลวงยามนั้น หอหลวงจึ่งให้ไปเอากุมารมาเลี้ยงไว้ในเรือนมัน ใหญ่มาได้ ๑๗ ปี เมื่อเขาขับพระยาฟ้างุ้มผู้พ่อหนีจากเมืองแล้ว เขาจึ่งเอากุมารมาตั้งราชาภิเศกเปนพระยาแทนในปีนั้นแล เมื่อเปนพระยาได้ ๓ ปี ก็จึ่งให้จัดตราดูหน่อยเบี้ยคนทั้งหลายฝูงเปนไทยเปนลาวอันเรือนปองกองขึ้น ทั้งมวญได้ ๓๐๐๐๐๐ เบี้ย เส้นศึกคนทั้งหลายฝูงเปนชาวต่างบ้านต่างเมืองมาอยู่ก็บ่นับ ข้าเก่าเจ้ากูทั้งหลายก็บ่นับเหตุดังนั้นคนทั้งหลายจึงหมายชื่อไว้ว่า สามแสนเมืองไทยเพื่ออันแลแต่เปนพระยามาได้ ๕๓ ปี มีความกรุณาไพร่ฟ้าข้าไทยทั้งหลายศุขเกษม ด้วยบุญสมภารคราวนั้น เหตุท่านตั้งอยู่ตามบุราณจารีตคองท้าวพระยาแต่ก่อนแล สมบัติตามคำสอนพระยามหาเถรเจ้าปาสมันตนเปนครูพระยาฟ้างุ้มตนเปนพ่อนั้นแล อายุทั้งมวญท่านได้ ๖๐ ทัศตายปีระวายสันศักราชได้ ๗๑๘ ตัว ถัดนั้นพระยาสามแสนไทยก็มีลูกชาย ๖ คน ผู้หนึ่งชื่อหมื่นบาน ผู้หนึ่งชื่อลานคำแดง ผู้หนึ่งชื่อท้าวไส ผู้หนึ่งชื่อท้าวคำเต็ม นี้มีกับนางแก้วยอดฟ้าลูกพระยา อโยทธยาชาวใต้ ผู้หนึ่งชื่อท้าวกองแก้ว มีกับนางน้อยออกสาลูกพระยาเชียงใหม่ ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวฦๅไชย มีลูกหญิง ๕ คนผู้หนึ่งชื่อนางแก้วพิมพา ผู้หนึ่งชื่อนางอนุชา ผู้หนึ่งชื่อนางมโนรา ผู้หนึ่งชื่อนางสุพัทรา ลูกชาย ๖ คนนั้นท้าวลานคำผงใหญ่มาได้ ๔๑ ปี ได้เปนพระยาแทนพ่อ เขาก็หมายชื่อไว้ว่าพระยาลานคำแดง เปนพระยาได้ ๑๑ ปี มีอายุได้ ๕๒ ปี จึ่งตายปีเปิกสันศักราชได้ ๗๙๐ ตัว นั้นแล เมื่อนั้นพระยาลานคำแดงมีลูกชาย ๕ คน ผู้หนึ่งชื่อท้าวพรหมทัต ผู้หนึ่งชื่อท้าวยุคล เมื่อพระยาลานคำแดงตาย เขาจึ่งเอาท้าวพรหมทัตเปนพระยาแทนพ่อเสวยเมืองได้ ๑๐ เดือน เขาก็ว่าไม่ดีลวดฆ่าเสียที่ผาเดียวต่อแง่สบคานหั้นแล ทีนั้นเขาจึ่งเอาท้าวคำเต็มลูกพระยาสามแสนไทย ผู้ไปพ้นเมืองห้วยหลวง เปนพระยา ลวดใส่ชื่อว่า พระยาปากเพื่ออันแล พระยาปากเปนพระยาได้ ๕ เดือนเขาลวดส่งเสีย ทีนั้นเขาเล่าไปเอาท้าวใสก็หากแม่นลูกพระยาสามแสนไทยชุคนแล ผู้ไปกินเมืองตะบองขอนมาเปนพระยา ลวดใส่ชื่อว่าพระยาหมื่นเพื่ออันแล เปนพระยาได้ ๖ เดือนเขาจักฆ่าเสีย ท่านรู้สึกตัวจึ่งผูกฅอตายในสร้วมอาบน้ำทีเชียงทองหั้นแล

๏ ถัดนั้นเขาเล่าเอาท้าวไคลูกฟ้าคืน หลานพระยาสามแสนไทยผู้ไปกินเมืองเชียงไค มาเปนพระยา ลวดใส่ชื่อว่าพระยาไคเปนพระยาได้ ๓ ปี เขาเล่าฆ่าเสียที่สบคานหั้นแล เขาเอาท้าวกอนคำลูกพระยาสามแสนไทยผู้ไปกินเมืองสาพู้นมาเปนพระยา ชื่อว่าพระยาเชียงสา ลูนมาจึ่งเอาลูกพระยาลานคำแดง มาเปนพระยาแทนเสวยเมืองได้ ๘ เดือน เขาเล่าจักฆ่าเสีย พระยารู้สึกตัวจึ่งเอาบ่าวไพร่หนีไปพึ่งชาวใต้ เขานำทันเขาก็ถามดูช้างม้าข้าคนในโรงทอง มันผู้น้อยก็บอกเล่าแก่เขาชุวัน เหตุพ่อมันหากบอกสอนไว้แต่ก่อน เมื่อนั้นเขาใส่ใจว่าพระยาสามแสนไทยเจ้ามาเกิดแท้ เขาก็ยกขึ้นให้เปนพระยา ใส่ชื่อว่าพระยาคำเกิดหั้นแล

๏ เมื่อพระยาคำเกิดเปนพระยาได้ ๓ ปี ลวดเปนลมตายเสีย ด้วยคิดอุบายร่ายกินของราชสมบัติมหากระษัตริย์ผู้มีบุญ บาปจนตัวตายหั้นแล

๏ ด้วยแท้เหตุลาวชาวล้านช้าง ปางนั้นมักฆ่าท้าวพระยาราชวงษา เสีย แต่นั้นหากเปนมหาเทวีผู้หนึ่ง ก็หากแม่นลูกพระยาสามแสนไทยนั้นแล นางเทวีผู้นั้นประกอบด้วยมารยาสาไถยจรรไรร้ายนัก ท้าวพระยาผู้ใดไม่ชอบใจนางผู้นั้น นางเทวีผู้นั้นก็อาณัติบ่าวคนสนิทแลเสนาอำมาตยให้ฆ่าเสียสิ้นแล

๏ เมื่อนั้นเสนาอำมาตยราชมนตรีทั้งหลาย จึ่งมาชุมนุมกันว่าดังนี้ราชเทวีนี้มักฆ่ามักตีท้าวพระยาวงษาลูกหลานตนจาไม่ ชอบไม่ควรดีหลีแท้แล ทีนั้นเขาจึงพร้อมกันจึ่งเอามหาเทวีผู้นั้นไปฆ่าเสียที่บ้านผาเดียวหัวหนุน หินตีนเลื้อยน้ำละเสียหั้นแล เมื่อนั้นเสนาอำมาตยจึ่งปฤกษากันว่า เราคิดดูเชื้อพระยาเจ้าแห่งเรานี้ เห็นจะไม่มีใครจักคนเสียแล้ว เราจะเอาใครมาเปนพระยาแห่งเรานี้จา แต่นั้นกุมารทั้งสองจึ่งว่าให้ไปเอาท้าวลือไชยวันไปกินเมืองซ้ายนั้นมาเปนพ ระยาแห่งเราก่อนทอญ กุมารน้อยทั้งสองว่าดังนี้ แต่นั้นคนทั้งหลายก็พร้อมกันไปพูดกับเจ้าซายมอย (ซายคำ) แต่นั้นเจ้าลือไชยผู้เปนเจ้าซายมอยกับทั้งชาวเมืองชาวเสนาทั้งหลาย ก็นำเจ้าลือไชยขึ้นมาถึงเมืองชวา แล้วก็ราชาภิเศกขึ้นชื่อว่าพระยาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว ๆ เกิดมาปีดับเม็ด ศักราชได้ ๗๗๐ ตัว เมื่ออายุได้ ๒๓ ปีจึ่งได้เปนพระยาในปีเปิกสง้า ศักราชได้ ๘๐๐ ตัว พระยาไชยจักรพรรดิก็มีลูกชาย ๑๐ คน ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวก้อนแก้ว ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวแท่งคำ ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวยวน ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวขวดอ่อน ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวจาง ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวหล้า ชาย ๗ คน ก็มีลูกหญิงผู้หนึ่งชื่อว่านางศรีไวย ผู้หนึ่งชื่อว่านางอิน ผู้หนึ่งชื่อว่านางคาด ผู้หนึ่งชื่อว่านางคำยาด ผู้หนึ่งชื่อว่านางมัง ผู้หนึ่งชื่อว่านางขาว ผู้หนึ่งชื่อว่านางทารา แลลูกชาย ๕ คนนั้น ท้าวก้อนแก้วได้เปนพระยาแสนเมือง ลวดขึ้นชื่อว่าพระเจ้าเชียงลอ ท้าวแท่งคำได้กินเมืองซ้าย เมื่อพระยาไชยจักพรรดิแผ่นแผ้วองค์พ่อกับทั้งลูกเต้าทั้งมวญ ยังทรมานเสวยราชสมบัติทัศวิมานเชียงทองด้วยลีดคองอันชอบบุราณประเวณี มีประมาณนานได้ ๔๒ เข้า ถึงปีกัดไก๊ศักราชได้ ๘๔๒ ตัว ยามนั้นบัวขวางชุนแลเนิกอง ก็เอารี้พลคนศึกเข้ามาเลวเมืองลาวลวดเสียเมืองชวา ที่พระไชยจักรพรรดิอยู่นี้ เหตุว่าแกวเข้ามาสู่บ้านเมือง เสนาอำมาตยทั้งหลายไม่มาช่วยเจ้าได้ ต่างคนต่างสกัดรบเลวที่ไผ่ที่มันลวดเสียพระเจ้าเชียงลอที่ลาดหลวงลบสนาม เมืองเชียงทองหั้นแล เล่าเสียหมื่นหลวง หมื่นบุญ กับหมื่นหล้าที่เชียงเลือหลักหมั่นถัดวัดปสกหลวงหั้นแล

๏ เมื่อนั้นพระไชยจักรพรรดิราชก็ละเมืองเสีย ลวดหนีไปเชียงคานพู้นแล ก็ลวดเวนแผ่นดินให้แก่เจ้าชายแทนหากแม่นลูกตนชื่อว่าท้าวแทนคำหั้นแล ทีนั้นเจ้าแทนคำจัดเอารี้พลกำลังแลเมืองเชียงคาน กับรี้พลฝูงล่องไปนำพระไชยจักรพรรดิองค์พ่อ มารบเลวแกวที่ซายเถาปากพูนหั้นแพ้แกวลวด ได้ฆ่าบัวขวางชุนตายเสียหั้น แกวทั้งมวญฝูงเหลือตายจึ่งพ่ายขึ้นมาข้ามท่าบ้านเชียงขามหั้น ลางทีก็มาข้ามที่ตาดน้ำหั้น เจ้าแทนคำก็ไล่ไปถึงแดนเมือง คราวนั้นบัวขวางชุนอันอยู่เมืองพวนพู้น ก็รีบเอารี้พลฝูงเหลือตายพ่ายเมือเมืองหั้นแล เมื่อบัวขวางชุนพ่ายไปเลยเข้าเขตรเมืองแกว ๖ คืน ฟ้าก็ผ่าเจ้าบัวขวางชุนตายเสียหั้นแล ไปถึงเมืองเติกองหนึ่งกลับเปนฝีปะโข (ลำเสา) ตายเสียที่หั้น

๏ เหตุว่าแกวหากเสียความแช่งความสบถ มาแต่ขุนบูลมตนปู่ได้แช่งได้เวนไว้ ด้วยว่าเขาถือดาบลงนาพาแพนลงท่งหั้นแล แล้วศึกแกวนั้นไม่นานเท่าใด ส่วนดังพระยาไชยจักรพรรดิแผ่นแผ้ว มีอายุสังขารประมาณได้ ๖๕ ปีก็ถึงอนิจกรรมที่เชียงคาน ในปีกัดไก๊เดือนห้าขึ้น ๑๓ ค่ำหั้นแล ครั้งนั้นเจ้าแทนคำจึงให้ก่อเจดีย์บรรจุธาตุพ่อตนไว้ แล้วให้สร้างพุทธรูปองค์หนึ่ง สร้างวัดกวมไว้เปนที่ไหว้นบบูชาส่งบุญหาพ่อตน คนทั้งหลายเลยเรียกชื่อว่าวัดสบเชียงคานหั้นแล ครั้งนั้นเจ้าแทนคำลูกพระไชยจักรพรรดิผู้ถ้วนสอง เวลาเจ้าเกิดมานั้นปีดับเป้าศักราชได้ ๘๑๗ ตัวใหญ่มา ๓๔ ปี ได้เปนพระยาแทนพ่อในปีกัดไจ๊ คนทั้งหลายจึงราชาภิเศกขึ้นชื่อว่า พระสุวรรณปาสัง ก็ขึ้นมาตั้งอยู่เชียงคงชียงทองที่เก่าพ่อตน ก็เอาท้าวของน้องเจ้าแทนคำผู้กินเมืองเชียง มากินเมืองซ้ายแทนพี่ตนหั้นแล คนทั้งหลายจึงเรียกชื่อว่าซ้ายชองเพื่ออันแล

๏ เมื่อพระสุวรรณปาสังเสวยราชย์ได้ ๗ ขวบเข้าปีระวายซง้าอายุทั้ง มวญได้ ๔๑ ปี ศักราชได้ ๘๒๘ ก็สิ้นชีวิตรไปตามกรรมแห่งตน ในโรงเชียงทองหั้นแล แต่นั้นคนทั้งหลายจึงเอาท้าวแสนไทย ลูกพระยาไชยจักรพรรดิเกิดมาปีกาเม็ดศักราชได้ ๘๕๐ ปี เมื่อใหญ่มาได้ ๒๔ ปี จึงได้เปนพระยาแทนพี่ตนในปีระวายซง้า แต่นั้นคนทั้งหลายก็ราชาภิเศก ขึ้นชื่อว่าพระยาล่าน้ำแสนไทยไตรภูวนารถแล

๏ เจ้าก็เสวยศิริราชสมบัติได้ ๑๐ ปี อายุทั้งมวญได้ ๖๖ ปี ถึงอนิจกรรมที่โรงเชียงงามพู้น ในปีระวายสีศักราชได้ ๘๕๘ ตัวหั้นแล ครั้งนั้นท้าวชมภู ลูกพระยาล่าน้ำแสนไทยไตรภูวนารถ เกิดมาปีปึกสันได้ ๙ ปี เขาเล่าเอาตั้งเปนพระยาแทนพ่อได้ ๕ ขวบ เขาเลยปลงเสียในปีลวงเล้า อายุทั้งมวญได้ ๑๕ ปี เลยตายปีเต่าเส็ดหั้นแล ท้าวลุเพไชยกุมารลูกพระไชยจักรพรรดิราช เกิดมาปีเมืองไก๊ศักราชได้ ๘๒๙ เมื่อใหญ่มาได้ ๓๔ จึงได้เปนพระยาปีลวงเล้าศักราชได้ ๘๖๓ ครั้งนั้นคนทั้งหลายจึงราชาภิเศกขึ้นชื่อว่า พระยาวิชุณหราชาธิบดี ศรีสัตนาคนหุตแล

๏ เหตุว่าเมื่อกระทำมุรธาภิเศกแล้ว สายฟ้าก็มีแมบเมื้องเรืองรุ่งในอากาศทั้งมวญแล เมื่อพระวิชุณหราชาได้เสวยศิริสมบัติแล้ว จึงเอาน้องตนชื่อว่าท้าวเทพานั้นให้ไปกินเมืองขาว คนทั้งหลายจึงเรียกว่าเจ้าขาวเทพาแล เมื่อพระวิชุณหราชาเสวยเมืองได้ ๒๐ ปี แต่ชาติมาได้ ๕๓ ปี จึงถึงอนิจกรรมในปีกดสีศักราชได้ ๘๘๒ หั้นแล เมื่อพระ วิชุณหราชาเสวยราชสมบัติได้ ๑๕ ขวบเข้าศักราช ๘๖๘ ปีระวายยี่ มีลูกชายผู้หนึ่ง ชื่อว่าโพธิสาราชกุมาร เหตุว่าเมื่อจะประสูตรนั้นไอยกามหาเทวีตนย่าฝันเห็นต้นมหาโพธิ แลต้นรังรุ่งเรืองงามไปด้วยดอกแลใบ มีหมู่นกทั้งหลายต่าง ๆ บินมาจับอยู่ชมดอกแลใบมากนักหนา เหตุดังนั้นนักปราชญ์เจ้าทั้งหลาย จึงหมายชื่อว่าโพธิสาราชกุมารหั้นแล

๏ เมื่อโพธิสาราชกุมารใหญ่มาได้ ๑๕ เข้าก็ได้เปนพระยาแทนพ่อตนในปีกดสี คนทั้งหลายก็ราชาภิเศกขึ้นชื่อว่าพระโพธิสาราชาธิบดีทัศวรคุณ ชละแล เมื่อพระโพธิสาราชเสวยศิริสมบัติได้ ๗ ปี ก็จึงปลงพระราชอาชญาไปในอาณาเขตรเมืองล้านช้างทั้งมวญ ให้ม้างรีดเสียยังมิจฉาทิษฐิผีเย่าผีเรือนทั้งผีเสื้อ อันอยู่เรือนอยู่กว้านขึ้นแทบที่สบดงหั้นก็ให้ม้างเสีย ให้รีดเลิกเสียหมด แล้วให้สร้างแปลงให้เปนวัดวามหาพิหาร อันใหญ่ก็ใส่ชื่อว่าวัดศรีสวรรคเทวโลก ในปีเมืองไก๊ศักราชได้ ๘๘๙ ตัวหั้นแล จำเดิมแต่นั้นมาพระโพธิสาราชเจ้า ก็มีลูกชาย ๓ คน ผู้หนึ่งชื่อว่าเจ้าเชษฐวังโส ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวท่าเรือ ผู้หนึ่งชื่อว่าเจ้าวรวังโส (คือวงษ) แลเหล่ามีลูกหญิง ๓ คน ผู้หนึ่งชื่อนางแก้วกุมารี ผู้หนึ่งชื่อนางคำเหลา มีด้วยนางสนมผู้หนึ่งชื่อนางคำไครหั้นแล ส่วนเจ้าเชษฐวังโสเกิดมาปีกาบซง้าศักราชได้ ๘๙๖ ตัว ครั้นใหญ่มาได้ ๑๒ ปีนั้น พระโพธิสาราชเจ้าก็ไปยู้ไว้ให้เปนพระยาในเมืองเชียงใหม่ ในพงษาวดารเชียงใหม่มีว่า เมื่อพระยาสามปราแน่ในกินเชียงใหม่ หัวมาตกล้านนามหาเถรชื่อศรีเชษฐวังโสลุกจากลาวมาอยู่แวนแพ่นออกถือความเมือง แต่งฟ้าห้อตายพ่ายหนีไปเสี้ยง ก็ราชาภิเศกขึ้นชื่อว่าพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า ในปีระวายซง้า ศักราช ๘๙๑ ตัวนั้นแล เหตุว่าวงษาท้าวพระยาในเมืองลานนาหากฉิบหายเสียแล้ว เสนาอำมาตยราชมนตรีชียามหาเถรเจ้าทั้งหลายพร้อมกันแล้ว ก็มาเวนบ้านเมืองทั้งปวงให้แก่พระโพธิสาราชเจ้า จึงได้ไปปลูกลูกตนเพื่ออันแล เมื่อพระโพธิสาราชเจ้าคืนมาอยู่เสวยราชย์ในเมืองล้านช้าง เริ่มตั้งรีดคองบ้านเมืองสืบมาต่อเท่าทุกวันนี้ พระโพธิสาราชคืนจากลานนามาได้ ๓ ปี แต่ชาติมาได้ ๔๒ ปีก็ถึงอนิจกรรมเหตุอันท่านขี่ช้างแม่ช้างโขลงช้างเถื่อน แลล้มทับตนตายไปในสนามหัวยอดนครกลางเมืองชวานั้น ในปีเมืองเม็ดศักราชได้ ๙๐๙ ตัวนั้นแล เมื่อพระโพธิสาราชเจ้าจุติไปปรโลกภาคน่าแล้วนั้น เสนาอำมาตยทั้งหลายทางใต้แต่เมืองจันถึงเมืองของ ก็พร้อมกันเอาเจ้าวรวังโสผู้น้องหล้าตน ให้เปนพระยาราชาภิเศกขึ้น ตั้งพระนามว่าพระเจ้าล้านช้างแล แต่นั้นเสนาบดีทั้งหลายฝ่ายเหนือแต่เมืองเชียงคานมาถึงเมืองชวา ก็เอาท้าวท่าเรือตั้งไว้ให้เปนพระยา แทนพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า แล้วจึงให้ไปอาราธนาพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า แต่เมืองลานนานั้นมาถึงแล้วก็ชะนะน้องทั้งสองเลยได้เปนพระยา คนทั้งหลายก็ราชาภิเศกขึ้นชื่อว่าพระอุปภัยพุทธบวรไชยเชษฐาธิราช เหตุว่าได้เปนเจ้าเปนใหญ่ในเมืองทั้งสอง ในปีปึกสันศักราชได้ ๙๑๐ ตัวนั้นแล เมื่อพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า อยู่เสวยเมืองในศรีสัตนาคนหุตอุตมมหานครราชธานีศรีเชียงคงเชียงทอง ได้สามวรรษาแล้วกลับคืนไปเมืองลานนา อยู่เสวยสมบัติในเวียงเซียงแสนได้ ๙ ปี แล้วก็เลยล่องมาเมืองล้านช้าง อยู่สร้างจันทบุรีให้เปนราชธานีแล้ว ก็จึงสถาปนาเวียงเชียงคงเชียงทองที่เมืองชวาให้เปนวิหารสถานที่ทรงพระพุทธ สาสนาแก้วสามประการ ในปีกาบไจ๊ศักราชได้ ๙๒๖ ตัวนั้นแล เมื่อพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าไปอยู่เมืองจันทบุรีก็ได้สร้างมหาเจดีย์องค์หนึ่ง กวมบุราณธาตุ อันพระยาศรีธรรมโศกราช หากให้สร้างแปงแต่ก่อนนั้นเล่า (ธาตุพนม) ก็ยังสมตึงสปารมีกฎหมาย ๓๐ ทัศ ล้อมมหาธาตุลูกนั้นแล ก็สละเข้าของแก้วแสงบูชาพระสาริริกธาตุที่นั้นมากนักแล ไม่อาจจักนับจักอ่านได้แล ที่แท้เมื่อพระไชยเชษฐาธิราชเจ้ายังอยู่เสวยศิริสมบัติด้วยอันประกอบชอบธรรม จึงทำเปนไมตรีมิตรติดต่อท้าวพระยาสามนตราชทั้งหลายทุกแห่ง แล้วก็ได้ยังราชธิดาพระยาเชียงใหม่มาเปนนางอรรค มเหษี จึงได้ลูกสาวท้าวเชียงธงมาเปนบาทบริจา จึงได้ลูกสาวพระยาเขมรัฐ ๓ คน ได้ลูกสาวพระยาเชียงรุ้ง ๒ คน แล้วได้ลูกสาวองจัวกางลานผู้ ๑ แล้วได้ลูกสาวแกวองแสนเมืองอานามผู้ ๑ แล้วได้ลูกสาวเจ้าบัวดึกผู้ ๑ แล้วได้ราชกัญญานี (กัลยาณี) ศรีอโยทธยาชาวใต้ ๒ คนมาเปนบริจาริก อยู่เสวยศุขสนุกนักในบ้านเมืองแห่งตนคราวนั้นแล (คราวเดียวกับพระมหาจักรพรรดิ ส่งพระแก้วฟ้าไปแทนพระวิสุทธิกระษัตรีย์ ภายหลังจึงส่งพระวิสุทธิกระษัตรีย์ไปอิก)

๏ ยามนั้นยังมีอุปัทวะ หากเกิดมีในเมืองลานนาเชียงใหม่นั้นแล คือว่าเจ้าฟ้าหงษาวดีเอารี้พลมาตีเมืองเชียงใหม่เสีย คราวนั้นเสนาบดีในเมืองเชียงใหม่สองคน ผู้หนึ่งชื่อว่าพระยาสามล้าน ผู้หนึ่งชื่อว่าพระยาจ่าบ้าน ก็เอารี้พลคนทั้งหลายฝูงเปนบ่าวไพร่หนีมาพึ่งเมืองล้านช้างเรานี้

๏ ครั้งนั้นลูกเจ้าฟ้าหงษาเรียกชื่อว่าอิมเล แลน้องเจ้าฟ้าชื่อว่าพระยาอังวะ เขาก็ขับไล่เอาพระยาสามล้านแลพระยาจ่าบ้าน ก็เข้ามารบเอาถึงเมืองล้านช้าง แม้ไม่ได้สองเขาก็ได้มหาอุปราชเจ้าทั้งเมียอันเปนน้องพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า เลยได้นางแทนคำกับทั้งพระราชมารดาตนเปนแม่นางแท่นคำนั้น ได้ทั้งนางคำไครผู้เปนน้องหญิง ก็เอาหนีไปอยู่กับเจ้าฟ้าหงษาวดี ที่เมืองหงษาวดีหั้นแล ในปีกาบไจ๊ศักราชได้ ๙๒๖ ตัวหั้นแล แต่นั้นมาถึงปีปึกสีศักราชได้ ๙๓๐ ตัว ครั้งนั้นเจ้าฟ้าหงษาวดีก็เอารี้พลม่านเมงเงี้ยวยวนชาวใต้มามากนัก มาถึงเมืองล้านช้าง ว่าจักรบเลวเอาพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าให้ได้แล้ว จักปลูกแปงเมืองล้านช้างนี้ไว้ให้เปนอาณารัฐแห่งตนหั้นแล ถ้าว่าเดชะอานุภาพแห่งพระไชยเชษฐาธิราชเจ้ามีมากนัก แม้เจ้าฟ้าไปแวดล้อมอ้อมขังเอาที่เวียงปากงึมนั้น ก็ไม่อาจจักได้แล เหตุดังนั้นเจ้าฟ้าหงษาวดีจึงยกเอารี้พลหนีไปบ้านเมืองแห่งตนอยู่นั้นแล

๏ พระไชยเชษฐาธิราชเจ้า ก็เลยสร้างบ้านแปงเมืองรุ่งเรืองดีดังเก่าอยู่แล ส่วนพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าแต่ได้เสวยศิริสมบัติทั้งมวญนานประมาณได้ ๒๔ วรรษา ถ้าจักกล่าวแต่ชาติมา อายุทั้งมวญได้ ๓๙ ปี ก็ไปกระทำยุทธกรรมสงครามในเมืองรามรักองการ กาลวิปริตผิดกองเลยถึงแก่พระองค์ ก็หลงเสียในเมืององการนั้น ในปีระวายเม็ดเดือน ๔ ขึ้น ๓ ค่ำ ศักราชได้ ๙๓๓ ตัวนั้นแล ครั้งนั้นราชกุมารองค์หนึ่ง อันเปนลูกพระไชยเชษฐาธิราชเจ้า ประสูตรออกมาในปีลวงเม็ดวันจันทร์เดือน ๔ แรม ๓ ค่ำ มื้อดับเล้าเวลาเย็น ตรงปีเดือนกับพ่อตนตายเสียหั้นแล คนทั้งหลายก็จึงหมายชื่อไว้ว่าพระหน่อแก้วกุมาร เหตุว่าเกิดมาแท่นพ่อหน่อแทนลำนั้นแล แต่นั้นยังมีมหาเสนาสองคน ผู้หนึ่งชื่อว่าพระยาแสนสุรินทรขว้างฟ้า เปนแสนเมืองล้านช้างเรานี้ ผู้หนึ่งชื่อว่าพระยาจันทสีหราช กินเมืองจันล้านช้างเรานี้แล ครั้งนั้นพระยาทั้งสองนี้ ต่างคนจักชิงเอาราชกุมารไปเลี้ยงไว้ในเรือนแห่งตน แล้วหวังจักแต่งตั้งแผ่นดินใช้กินทั้งมวญ ตามอันชอบแห่งตน ครั้งนั้นเขาก็วิวาทผิดเถียงกัน คาดช้างห้างเครื่องรบเลวกันอยู่หั้นแล ครั้งนั้นพระสงฆเจ้าทั้งหลายในเมืองคุกเวียงจัน ทั้งเมืองชองแลเมืองตะบอง มาพร้อมกันแล้วก็ห้ามคนทั้งสอง เขาก็จึงดีด้วยกัน

๏ อยู่มาน้อยหนึ่งแล้วไม่นานเท่าใด อยู่ได้ ๓ เดือน (พระไชยเชษฐาองค์นี้ ซึ่งเปนที่นับถือของพวกข่าไพร่มาแต่ก่อน) เขาก็กลับรบเลวกันอิก ครั้งนั้นพระสงฆเจ้าทั้งหลายไม่ทันห้าม เขาเลยขี่ช้างรบกัน พระยาจันทสีหราชขี่ช้างกงจักรรถมันผายออกมา ครั้งนั้นเสนาฝ่ายพระยาแสนสุรินทร จึงได้ฆ่าพระยาจันทตายกับหัวช้างตัวมันขี่นั้น ในเมืองจันทั้งมวญเลยเปนชุกลหุกมากนักหั้นแล ครั้นเมื่อพระยาจันทตายเสียแล้วดังนั้น เสนาอำมาตยราชมนตรีทั้งหลายเจ้าแผ่นดินทั้งมวญฝูงยัง ก็เลยไล่เข้าไปสู่เมืองหาพระยาแสนสุรินทรหมดแล เขาก็เลยกระทำราชาภิเศกให้เปนเจ้าแผ่นดินแทนราชกุมารพระหน่อเจ้านั้น พระนามชื่อว่าพระสุมังคละโพธิสัตว ไอยการาชา เหตุว่าท่านปราถนาเปนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ชื่อว่าสุมังคละ อันว่าท่านให้เปนท่านปู่พระหน่อเลยได้ชื่อว่า ไอยการาชะแล แต่นั้นมาคนทั้งหลายลวดเรียกว่าพระเจ้าปู่หลาน ในปีเต่าสันศักราชได้ ๙๓๕ ตัวนั้นแล อายุท่านได้ ๖๐ ทัศจึ่งได้เปนเจ้าแผ่นดินแล ด้วยพระยาแสนตนนี้เกิดมาในวงษากวานบ้านหนองคาย ด้วยท่านนี้ฉลาดหลักแหลมเปนคนแกล้วกล้า จึ่งออกมาปฏิบัติแก่พระโพธิสาราชเจ้าก็เลี้ยงให้เปนกุมาร แต่นั้นจึ่งให้ไปกินเมืองผาน้ำทานั้นชื่อว่าแสนสี่หมื่นเมืองผา ก็ให้ไปอาสารบศึกยวนเมื่อจักเอาพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าไปตั้งในเมืองเชียงใหม่ นั้นแล้ว แต่นั้นมาเลยให้ไปกินเมืองห้วยหลวง เลยใส่ชื่อว่าพระยายศฦๅเกียรติ์แล

๏ แล้วไปเมืองเชียงใหม่คราวหลังนี้ ฝูงยวนโจรทั้งมวญ ก็เอาเสนาหม่อยเปนเจ้ารี้พลเขาแล้ว เลยรบเลวรี้พลพระเจ้าล้านช้างไม่ให้ไปเมืองยวนนั้นแล ครั้งนั้นพระไชยเชษฐาเจ้าก็ให้พระยายศฦๅเกียรติ์เปนหัวหาญแกล้วกล้า ไปรบรี้พลยวนทั้งมวญชนะ ยวนก็กระจัดกระจายไปแล้ว จึ่งได้เวียงเชียงแสนอยู่หั้นแล ทีนั้นก็ยกท่านให้กินเมืองซ้ายที่แคว้นใหญ่นั้นแล จำเดิมแต่นั้นมาเมื่อพระไชยเชษฐาเจ้าเลยกลับคืนมาสร้างบ้านจัดเมืองล้านช้าง เราที่เวียงจันโน้นแล คราวนั้นฟ้าอิมเมอังวะมาไล่เอาพระยาสามล้านแลพระยาจ่าบ้าน เลยได้มหาอุปราชาล้านช้างหนีครั้งนั้น พระไชยเชษฐาเจ้าก็มีอาชญาแก่พระยาซาย ให้ถือรี้พลทั้งมวญรบพุ่งรี้พลม่านเม็งทั้งหลายหนีจากเมืองล้านช้าง แล้วก็เลยให้ท่านเปนแสนเมือง จึ่งเรียกชื่อว่าพระยาแสนสุรินทรขว้างฟ้าตั้งแต่นั้นมา เท่าถึงพระไชยเชษฐาเจ้าไปหลงเสียในองการ ทีนี้ท่านเลยได้แทนศิริสมบัติเปนเจ้าแห่งตนในเมืองล้านช้างได้ ๔ ปี ถึงปีดับไก๊ศักราชได้ ๙๓๗ ตัวนั้นแล เจ้าฟ้าหงษาวดีจึ่งเอารี้พลม่านเม็งเงี้ยวยวนชาวใต้แลเขมรเข้ามามากนัก รบพุ่งเอาเมืองล้านช้างทั้งมวญ ฉิบหายไปคราวนั้นมากนัก แต่นั้นเลยได้พระเจ้าปู่หลานหนีไปไว้เมืองหงษาวดีโน้นแล ก็จึ่งตั้งพระมหาอุปราชเจ้าอันไปอยู่เมืองหงษาวดีแต่ก่อนนั้น ให้เปนเจ้าแผ่นดินในเมืองล้านช้างเรานั้นแล

๏ ครั้งนั้นเมืองล้านช้างเราเลยได้ส่วยช้าง ๑๐ สารคำหมื่น ๑ แต่เจ้าฟ้าหงษาวดีโน้น นานประมาณได้ ๕ ปีก็มีจริงแล

๏ เมื่อศักราชได้ ๙๔๑ ตัวปีกัดเม้านั้น ยังมีคนอุบาทว์ผู้หนึ่งฉลาดด้วยสาตรศิลป์สำแดงตนว่า แม้นพระไชยเชษฐาธิราชเจ้าล้านช้างอันไปหลงเสียที่องการนั้น มันก็ปดประโลมเอาข่าส่วยทั้งหลาย ฝ่ายเมืองโสกเมืองชุงน้ำเซกองโน้นให้เข้าในอำนาจอาชญาแห่งมัน แล้วก็ไปตั้งรั้วยกเวียงโรงศาล อยู่ในทุ่งแอกกระบือ ความไทยเราว่าทุ่งคี่ควาย มูลควาย แล้วเลยไปครอบงำเอาชาวเมืองหมัน (สารวลับ) คำทอง, ของ, ได้ทั้งมวญแล้ว ก็ยกรี้พลไปรบพุ่งรี้พลพระเจ้า เวียงจันนี้แล ครั้งนั้นพระมหาอุปราชเจ้า จึ่งให้พระยาเชียงใต้ พระยาเชียงเหนือ พระยานครแสน แลเจ้าขุนท้าวพระยาหมื่นแสนทั้งหลาย ขับเอารี้พลไปรบเขาที่นั้น ชาวแอกกระบือเขาก็เอารี้พลมารบท้าวพระยาฝ่ายเหนือนี้ เลยชนะกระจัดกระจายหนีมาคราวนั้น เขาเลยไล่เข้ามาถึงเมืองนครนั้นแล้ว ก็ตั้งเวียงอยู่ในเมืองนครนั้นก่อน เขาจึ่งแต่งรี้พลคนศึกขึ้นมารบเอาถึงเมืองคุกเวียงจันนี้ ก็เลยแตกฟุ้งเสียเมืองเวียงจันปีนั้นแล ส่วนพระมหาอุปราชเมืองล้านช้าง ก็พ่ายหนีจากเวียงจันขึ้นมาทางเรือ หวังจักไปพึ่งเจ้าฟ้าหงษาวดีดังเก่านั้นแล ทีนั้นเลยขึ้นมาถึงปู่ยามพังแห่งหั้น เรือก็ล่มจมเสียตัวพระยามหาอุปราชกับราชธิดากุมารี ลูกหญิงทั้งสองก็เลยตายตกน้ำเสียที่นั้น ไปตามกรรมแห่งเขาเจ้าพ่อลูกทั้งสามนั้นแล อปรินิทานํ นิฏฐิตํ

๏ ศักราชได้ ๙๔๒ ตัว ปีกดสี พระมหาอุปราชาเมืองหงษาวดีจึ่งตั้งพระยาแสนสุรินทรขว้างฟ้า ให้เปนเจ้าล้านช้างดังเก่าแล จึ่งกวาดครัวอพยพชาวล้านช้าง หนีไปเมืองหงษาวดี ทั้งพระยาพวนไปได้ ๒๐ วันจึงกลับมาแล

๏ ศักราชได้ ๙๔๔ ตัวปีเต่าซง้า พระยาแสนสุรินทรเปนเจ้าล้านช้างตายเสียแล้ว จึ่งเอาพระยานครน้อยอันเปนลูกพระยาแสนนั้นเปนเจ้าล้านช้าง เลยไม่ชอบใจท้าวพระยาทั้งหลาย เขาจึงไปไหว้เจ้าฟ้าหงษา ๆ จึงใช้มาเอาพระยานครน้อยกับทั้งท้าวพระยาทั้งหลาย ไปอยู่เมืองหงษาได้เดือนหนึ่งจึงกลับมาแล

๏ ศักราชได้ ๙๔๕ ตัวแต่ปีกาเม็ดนั้นไปได้ ๘ ปี เมืองล้านช้างไม่มีเจ้าแผ่นดินแล

๏ ศักราชได้ ๙๕๖ ตัวปีลวงเม้า พระสงฆเจ้าทั้งปวงในเมืองล้านช้าง มีมหาสังฆราชเจ้าครูโรงคำเปนแก่ จึ่งพร้อมกันขึ้นไปถึงเมืองหงษาวดี ขอเอาพระหน่อเมืองผู้เปนลูกพระไชยเชษฐาธิราช ขอกับเจ้าฟ้าอิมเลลงมานั่งเปนเจ้าล้านช้างดังนั้น เจ้าฟ้าหงษาวดีจึ่งให้เจ้าหน่อเมืองลงมานั่งเวียงจันปีนั้นแล ตั้งแต่ศักราช ๙๕๔ ตัวปีเต่าสี มา เมืองลาวล้านช้างไปเลวเมืองส่วยทั้งหลายทั้งพระยาพวนก็ไป

๏ ศักราชได้ ๙๖๖ ตัวปีล่วงเม็ด พระหน่อเมืองเกิดพุเด ๒๐ ปี ถึงปีลวงเม้าศักราชได้ ๙๖๔ ได้เปนเจ้าล้านช้างแล มาถึงปีระวายสันศักราชได้ ๙๗๑ ตัว เจ้าเสวยราชย์ได้ ๖ เข้าอายุพระหน่อเจ้าได้ ๒๖ ก็ถึงแก่อนิจกรรมไปในปีนั้น เขาจึ่งเอาพระวงษาลูกน้าพระหน่อเกิดมาได้ ๑๔ ปี มาเปนเจ้าล้านช้างนั้นแล เสวยเมืองได้ ๔ ปี อุปยุว์จึ่งเกิดพ่อจึ่งขึ้นชื่อว่า พระธรรมิกราช ลูกชื่อพระอุปยุวราช เขาเจ้าพ่อลูกจึ่งเปนเจ้าล้านช้างในเวียงจัน

๏ ศักราชได้ ๙๘๓ ตัวปีลวงเล้า พระธรรมิกราชแลพระอุปยุวราชเขาเจ้าพ่อลูกผิดกัน รบเลวกันด้วยมีคนส่อนั้นแล ศักราชได้ ๙๘๔ ตัวปีเต่าเส็ดเดือนสี่ขึ้นค่ำหนึ่งวันอาทิตย พระอุปยุวราชตนลูกได้เวียงจันแลเดือนเจ็ดแรมห้าค่ำวันเสาร์ พระธรรมิกราชเจ้าตายน่าเชียงแคงทั้งหม่อมไชยทั้งพระยานุชิตลูกท้าวทั้งหลาย เขาฆ่าตายเสียหมดแล พระอุปยุวราชเกิดปีปึกเสร็จศักราช ๙๖๑ เดือนสิบสองแปดค่ำวันศุกร อายุได้ ๒๕ ปีเสวยราชย์ เปนเจ้าล้านช้าง ศักราช ๙๘๕ ตัวปีกาไก๊ เดือนสี่ขึ้นห้าค่ำวันอาทิตย พระอุปยุวราชตายแล เดือนห้าขึ้นสามค่ำเสนาทั้งหลาย จึ่งราชาภิเศกพระยามหานาม ผู้เปนพระยานครขึ้นเปนเจ้าล้านช้าง ขึ้นพระนามชื่อว่าบัณฑิตยโพธิสาราชนั้นแล ในปีเตาสันพระบัณฑิตยโพธิสาราช เสวยเมืองได้ ๕ ขวบ ศักราชได้ ๙๘๙ ตัว ปีเมืองเม้าเดือนห้าขึ้น ๑๔ ค่ำ วันอาทิตยเวลาเย็น พระโพธิสาราชถึงอนิจกรรมไปแล คนทั้งหลายจึ่งเอาพระหม่อมแก้วลูกพระธรรมิกราช น้องชายพระอุปยุวราชนั้นขึ้นเสวยเมืองปีนั้นแล วันเดียวกับผู้พี่ตายนั้นแล พระหม่อมแก้วขึ้นเสวยราชย์เปนเจ้าล้านช้างถึงแก่อนิจกรรมไปแล้ว คนทั้งหลายจึ่งเอาพระอุปเยาวราช ลูกเจ้าหม่อมแก้ว ขึ้นเสวยราชย์เปนเจ้าล้านช้างนั้น พระอุปเยาวราชจึ่งมีลูกสอง ชายผู้หนึ่งชื่อเจ้าตอนคำ ผู้น้องชื่อเจ้าท้าววิไชย แต่นั้นพระอุปยุวราชองค์พ่ออนิจกรรมไปดังนั้น ยังกระษัตริย์ ๒ พี่น้องทั้งหลาย จึ่งเอาขึ้นเสวยราชย์เปนเจ้าล้านช้างในเวียงจัน ส่วนเจ้าตอนคำผู้พี่มีลูกสาม ชายผู้หนึ่งชื่อว่าเจ้าชมภู ผู้หนึ่งชื่อเจ้าบุญชู ผู้หนึ่งชื่อเจ้าสุริยราชกุมารแล ส่วนว่าเจ้าท้าววิไชย อันเปนน้องเจ้าตอนคำนั้นมีลูกสอง ชายผู้หนึ่งว่าเจ้าปู ผู้หนึ่งชื่อท้าวช้อยหั้นแล แต่นั้นเจ้าตอนคำกับเจ้าท้าววิไชย ก็ถึงแก่อนิจกรรมไปแล้วดังนั้น เจ้าสุริยกุมารลูกหล้าเจ้าตอนคำ ได้เสวยเมืองล้านช้างผาบแผ่นดินลาวทั้งมวญ ทรงนามกรขึ้นชื่อว่า พระสุริยวงษาธรรมิกราชาบรมบพิตรราชะ เจ้าล้านช้างร่มขาวแล แล้วใส่มาบรรพาชนิยกรรม ขับพี่อ้ายทั้ง ๔ องค์หนีจากเมือง ส่วนดังเจ้าชมภูผู้เปนพี่ต้น จึ่งเอาเมียทั้งแสนทิพนาบัวหนีไปอยู่เมืองแวพึ่งแกวนั้นแล ครั้งนั้นเจ้าบุญชูหนีไปบวชอยู่ภูหอภูโฮงโน้นแล ท้าวบุนั้นพ่ายหนีมาอยู่เชียงคาน ก็อนิจกรรม เสียหั้นแล ท้าวส้อยผู้น้องนั้นพ่ายไปอยู่สะพือหลวง ก็ถึงอนิจกรรมเสียนั้น ดังเจ้าชมภูไปพึ่งอยู่สะพือหลวงแกวนั้นมีลูกผู้หนึ่งชื่อพระไชยองค์แว เจ้าชมภูผู้พ่อนั้นตายเสีย แสนทิพนาบัวจึ่งเอาเจ้าแม่พระไชยองค์แวนั้นแล จึ่งมีลูกสองคน ผู้หนึ่งชื่อว่าท้าวนอง ผู้หนึ่งชื่อว่าเจ้าราชวงษ์ ก็ยังเอากันอยู่ในเมืองแวนั้นก่อนแล เหตุว่ายังกลัวเจ้าสุริยผู้อาวนั้นแล ส่วนดังพระยาสุริยขึ้นเสวยราชย์เปนเจ้าล้านช้างดังนั้น มีอาณาเขตรกงลาวภายใต้แต่ลิผี ทางเหนือถึงผาได ก้ำซ้ายถึงอโยทธยา คู่สองต้นก่ำขวาถึงแกว สารสามงาน้ำมาสามดอนเรือนมีร้านบ้านมีเสาสวยลาว เรือนบ่มีร้านบ้านบ่มีเสา อยู่พื้นดินกินเข้าเจ้า หม่อยส่งเข้าเปนแดนแกว ที่ไม่มีร้านส่วยแกว แต่ขุนฮุงหลานขุนบูลม (บรมราชา) เท่าถึงเจ้าฟ้างุ้ม เท่าถึงเจ้าสุริยธรรมิกราชนี้แล ส่วนดังข่ายกองแวจุ้มตราผาสาทจันทประเทศ กินบ้านกินเมืองไว้กับหัวจุม () หัวคลังขุนกว้าน แต่พระไชยแผ่นจุมคนทั้งหลายในเมืองหลวง แล้วจึงไปสร้างเวียงจันปางนั้น ลางแผนจุมพระไชยก็มี ลางแผนจุมพระหน่อเมืองก็มี ลางแผนพระธรรมิกราชก็มี ลางแผนพระอุปโยราชก็มี ลางแผนพระอุปเยาวราชก็มี ลางแผนท้าวตอนคำก็มี ลางแผนเจ้าท้าววิไชยก็มี ลางแผนเจ้าสุริยวงษ์ก็มี แคว้นมีหลายพวกเทียรกินบ้านกินเมือง แต่พระไชยเชษฐาธิราชไปตั้งเมืองเวียงจันมาแล จุ้มลางอันคือมีคำทูลเข้าก็มีลางอันท้าวโจจุ้มว่าตราอย่างหนึ่ง ว่าหมู่อย่างหนึ่ง ในที่นี้ว่าตราตั้งทูลให้ก็มี ลางอันท้าวโกทูลให้ก็มี ลางอันท้าวหมีทูลให้ก็มี ลางอันท้าวหมาทูลให้ก็มี ลางอันท้าวบังรอดทูลให้ก็มี ลางอันท้าวบังคมทูลให้ก็มี ลางอันกวานเทงทูลให้ก็มี จุมคลังไหม คลังแผ่น คลังผ้า สรรพคลังทั้งหลาย แทนสาวแทนคำทูลแล

๏ ส่วนดังพระยาสุริยวงษาธรรมิกบรมบพิตร พระมหาราชเจ้าได้เปนเจ้าแผ่นดินในกงลาว (คือกรุงลาว) ก็ศุขเกษมมากนัก หาข้าลักขโมยโจรบ่ได้ ข้าศึกศัตรูก็บ่มี เจ้าก็เล่าบังเกิดได้ลูกผู้พี่เจ้าชื่อว่าเจ้าราชบุตร ผู้กลางนั้นชื่อว่ากุมารีลงท่า ผู้น้องชื่อว่านางสุมัง สามองค์นั้นแล

๏ ปางนั้นยังมีกระลียุคเกิดในเมืองศรีฟ้าวาหะหัวขาว เจ้าอินทกุมารอันเปนเชื้อเจ้าเมืองศรีฟ้าอยู่บ่ได้ จึ่งพาเอาน้องสาวผู้หนึ่งชื่อว่านางจันทรกุมารี แลข้อยไพร่พ่ายลงมาเมืองพระยาสุริยวงษาธรรมิกราช ในเวียงจันนั้นแล ส่วนว่าเจ้าราชบุตรผู้พี่ อันเปนลูกชายพระยาสุริยวงษานั้น จึงมีใจประดิพัทธด้วยนางจันทร น้องสาวอาชาลื้อผู้ไปพึ่งนั้นแล จึ่งบังเกิดลูกชายสองคน องค์พี่ชื่อว่ากิ่งกิจกุมาร องค์น้องชื่อว่าเจ้าอินทโฉมกุมารนั้นแล

๏ เมื่อพระยาสุริยวงษาธรรมมิกราชตนพ่อ อยู่ศุขเกษมมากนัก ดังเจ้าราชบุตรผู้เปนพ่อแห่งเจ้ากิ่งกิจกุมารแลเจ้าอินทโฉมนั้น ก็เฮ็ดมิจฉาจารกับเมียท้าวโกมหาดเล็กพระยาพ่อนั้นแล พระยาสุริยจึ่งให้ไปฆ่าเสีย เจ้าราชบุตรต้องฆ่าตายเสียที่ผาดังหั้น เหตุดังนั้นจึ่งชื่อผาล้างมาตราบเท่าบัดนี้ ยามบ่ล้างเจ้าราชบุตรนั้น เปนผาเล่มหลวงเปล่าดายแล ถัดนั้นเจ้าอินทกุมารอันเปนลุงกุมารทั้งสอง เจ้ากิ่งกิจแลอินทโฉมนั้น จึ่งเอานางลาว จึงบังเกิดลูกชายผู้หนึ่งชื่อว่าเจ้าหม่อมน้อย แม่นเจ้าองค์คำนั้นแล ลูนมาเปนองค์นกดายสามชื่อแล แม่เจ้าหม่อมน้อยนั้นชื่อสาวคำแล เจ้าอินทกุมารเชื้ออาชญาลื้อฝ่ายพ่อ หัวขาวกับน้องสาวอันเปนแม่เจ้ากิ่งกิจแล อินทโฉมก็ยังอยู่กับเจ้าสุริยธรรมิกราช ในเวียงจันที่นั้นแล

๏ ในศักราช ๙๙๕ ตัว ปีรวงเป้านั้น พระยาสุริยวงษาธรรมิกราชบรมบพิตรราชเจ้าเกิดแลอายุได้ ๒๕ ขึ้นเสวยราชย์เปนเจ้าล้านช้างศักราชได้ ๑๐๒๐ ปีนั้น แลเสวยราชย์ได้ ๕๖ ปี ศักราชได้ ๑๐๗๘ ถึงอนิจกรรมไปในปีกาไก๊ นับแต่ชาติเจ้าสุริยมาเท่าได้เสวยเมืองได้ ๘๓ แล

๏ ถัดนั้นอินทกุมารเชื้อเจ้าเมืองศรีฟ้าก็ตายเสีย นางจันทรผู้น้องสาว แม่กิ่งกิจอินทโฉมสองพี่น้องก็ตายเสียแล ยังแต่กิ่งกิจอินทโฉมสองพี่น้อง กับทั้งเจ้าหม่อมน้อยยังน้อยนัก บ่ฮู้จัก อะสังแล ยังแต่เจ้านางทั้งสองอันเปนอาวกุมารีลงท่าแลนางสุมัง แต่นั้นยังมีมหาเสนาใหญ่ผู้หนึ่งชื่อพระยาจันขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินในเวียงจัน จึงเอานางสุมังเปนเทวีแล ถัดนั้นพระยานครผู้หนึ่งชื่อว่านันทราช (น่าน) จึงยกทัพมายาดชิงราชสมบัติกำจัดพระยาจันเสียขึ้นนั่งเวียงจัน ว่าดังนั้นพระยาจันกินง้วนตายเสียแล

๏ แต่นั้นพระยานันทราชเปนเจ้าแผ่นดินแล ถัดนั้นพระไชยองค์แวลูกเจ้าชมภูอันอยู่เมืองแวนั้น จึ่งประมวญเอาพลโยธามาแย่งชิงเอาศิริสมบัติในเวียงจัน จึ่งกำจัดพระยานันทราชแล้ว ขึ้นนั่งแท่นแก้วเปนเจ้าแผ่นดินลาวอยู่ช้อย ๆ หั้นแล ดังกิ่งกิจกุมารอินทโฉมกุมารอันเปนหลานแห่งพระยาสุริยวงษาธรรมิกราชเจ้านั้น ก็ยังน้อย ยังรักษาตัวอยู่ในเวียงจันที่นั้น กับทั้งเจ้าองค์คำลูกลุงอยู่ด้วยกันที่หั้นแล แต่นั้นเจ้าทั้งสามก็เห็นพระไชยองค์แว ได้ขึ้นเปนเจ้าแผ่นดินในเวียงจัน เจ้าทั้งสามก็กลัวราชทัณฑ์โทษาแต่ปู่ตา ได้ทำร้ายแก่พระไชยองค์แวนั้น จึ่งพาเอาเจ้าหม่อมน้อยกับเจ้าองค์เอกเชื้อเมืองพาน พากันพ่ายขึ้นมาอยู่เมืองหลวงลวดเลยขึ้นไปอยู่หัวอูภูฝาง กิ่งกิจแลหม่อมน้อยเมืออยู่เมืองล้าเมืองพง เจ้าอินทโฉมกับเจ้าองค์เอกเมืออยู่นำข่าเชื้ออันว่าแผหั้นแล แต่นั้นพระไชยองค์แวจึ่งแต่งให้ท้าวนองลูกแสนทิพนาบัวมานั่งเมืองหลวงนั้นแล ทีนั้นเจ้ากิ่งกิจแลหม่อมน้อย จัดแจงเอารี้พลกำลังทั้งหลายขอบแขวงเมืองหลวง ได้คน ๖๐๐๐๐ ลงมารบท้าวนองในเมืองหลวงหั้นแล แต่นั้นท้าวนองกลัวเดชะแห่งกิ่งกิจแลเจ้าองค์คำดังนั้น จึ่งกวาดเอาครอบครัวข้อยไพร่ทั้งหลาย แลพระแก้ว พระบาง พระแซกคำ ลงไปไว้ในเวียงจันปางนั้นแล

๏ เมื่อนั้นเจ้ากิ่งกิจแลหม่อมน้อย ก็พาข้อยไพร่มาตั้งอยู่เมืองหลวง เจ้ากิ่งกิจลวดขึ้นนั่งเมืองเปนเจ้าแผ่นดินทรงนามว่า พระธรรมกิจล้านช้างร่มขาวบรมบพิตรราชธานีกรุงศรีสัตนาคนหุต อุดมราชธานีบุรีรมย์ยมจักรพรรดิราชเจ้า ทรงนามกรดังนี้แล

๏ ฝ่ายพระไชยองค์แวก็เสวยศิริสมบัติในเวียงจันหั้นแล

๏ บัดนี้คนทั้งหลายคิดกันพอยเอานิยายบานนี้มาว่า ไผบ่ใส่ข้อยสุริยวงษองค์แวจึ่งผิดกันสังก็เพื่อดังนี้แลแต่นั้นจึ่งมาปันเขต รปันแดนแก่กันตั้งแต่เมืองเชียงคานไปใต้ถึงลิผีแลพวกช้างทั้ง ๖ บ่อคำทั้ง ๙ ไว้แก่เวียงจัน แต่เมืองเชียงคานขึ้นไปถึงผาได แล ๑๒ น่าด่านจุไทย แลหัวพันทั้งหก อันเปนพวกแพรขาวแพรแดงทั้งมวญไว้แก่เมืองหลวงแดน แต่นั้นมาแผ่นดินลาวเกิดเปนสองบั้น ปันเปนสองท่อน เปนขันธานุขันธ์ดังเวรนุเวรัง เปนยุทธานุยุทธํ เปนจุลานุจุลํ แก่กันไป ๆ มา ๆ เปนมหันตมหาทุกขแก่ไพร่ไทยนักแล

๏ เมื่อเจ้ากิ่งกิจขึ้นเสวยราชย์เปนเจ้าแผ่นดินแล้วดังนั้น พระจึ่งให้นำมายังลูกตระกูลทั้งหลาย ๓ นาง ขึ้นเปนบาทบริจาแห่งตนหั้นแล ผู้หนึ่งชื่อว่าหม่อมทุม แม่นแม่เจ้าแทนสาวนั้นแล คนหนึ่งชื่อว่าหม่อมยึง แม่นแม่เจ้าแทนคำนั้นแล ผู้หนึ่งชื่อว่าหม่อมลิ แม่นแม่เจ้าอรรคชายานั้นแล

๏ ตั้งแต่เจ้าพระยากิ่งกิจราช ขึ้นนั่งเหนือปราสาทเสวยราชย์เปนเจ้าในเมืองหลวงพระบางราชธานีแล้วดังนั้น ก็จึ่งมาบังเกิดได้ยังลกหญิงสามนางหั้นแล ถัดนั้นเจ้าอินทโฉมแลเจ้าองค์เอกพี่น้อง จึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพระยากิ่งกิจราชแลเจ้าหม่อมน้อยอันเรียกว่าองค์คำ นั้นแล จึ่งเมือเกลี้ยกล่อมเอาหมู่ขุนห้อขุนแห่ขุนม่า ขุนเหมือไทยเชื้อไทยแลมาเปนพลโยธาแก่ตนแล ก็คุมกองทัพลงมารบเลวพระยากิ่งกิจราชองค์พี่ตนหั้นแล ก็บ่อาจปราบแพ้เจ้าพระยากิ่งกิจราชได้แล จึ่งถดถอยกองทัพขึ้นเมือน้ำอูฮอดกิ่วยาง เรือเจ้าองค์เอกหมอคงจึงขึ้นไปก่อนที่นั้น แกล้วหาญทั้งหลายจึ่งว่านำเจ้าองค์เอกเมืองพานมากิ่งเสี่ยงมาทาย คุณฤกษคุณเกณฑ์ตัวเราว่าจะแพ้ว่าดังนี้ เขาจึ่งแทงเจ้าองค์เอกตกเรือก็ลวดสวาดน้ำไปออกฟากลบห้วยน้ำพู้น ยังมีท้าวหิงห้อยได้ดอกไม้บ่ฟังใต้ฟังเหนือ ลวดลอยไปนำเจ้าองค์เอก ๆ จึ่งเอิ้นสั่งเจ้าอินทโฉมว่า เจ้าอ้ายเอยเอาแต่บุญเราเปนเทอญ ภายน่าบุญอ้ายมีก็ดีบุญน้องมีก็ดี จึ่งส่งเสี้ยนสือหากัน ว่าอันแล้วจึ่งดั้นดอนชอนป่าไปถึงเมืองพาน ก็ได้นั่งบ้านสร้างเมืองอยู่จ้อย ๆ เสียก่อนแล แต่นั้นเจ้าอินทโสมคืนเมือฮอดบ่อนอยู่แห่งตน จึ่งเอาลูกเมียข้อยทั้งหลายเมือตั้งอยู่เมืองล้าเมืองพง จึ่งมาแปงง้าว (ดาบ) สองดวงใส่ฝักได้ก็แม่นไว้ที่เมืองลาดวงหนึ่ง เจ้าอินทโฉมถือดวงหนึ่งด้วยไมตรีลุงแล แม้หากเปนเชื้อเจ้าศรีฟ้าแล เมื่อนั้นเจ้าพระยากิ่งกิจราชเสวยราชย์โดยสวัสดี แผ่บารมีคงขอบคงแดน สารสามงาน้ำมาสามคอน เรือนมีร้านบ้านมีเสา หม่อยส่งข่าววันออกแจ่งเหนือ ไล่ลอสอลาเข้ามาน้อมไหว้ถวายหัวพึ่งโพธิสมภาร เจ้า พระยากิ่งกิจธรรมิกราชเมืองล้านช้างก็ศุขเกษมนัก แล้วจึ่งมาบังเกิดได้ลูก ๓ คน เกิดนำหม่อมทุมมาเจ้าแทนสาว เกิดนำหม่อมยึง ผู้หนึ่งชื่อว่าเจ้าแทนคำ เกิดนำหม่อมลิผู้หนึ่งชื่อว่าเจ้าอรรคชายาคำ บ่หึงนานเท่าใดพระยากิ่งกิจราชเจ้าก็ถึงอนิจกรรมเสียแล เสนาทั้งหลายจึ่งเอาเจ้าองค์คำลูกเจ้าอินทกุมาร องค์พ่ายห้อหัวขาวไปพึ่งอยู่นั้นขึ้นเสวยราชย์แล้ว จึ่งมาเอานางทั้งสองเปนเทวี แลสบแอกเชียงค้อนำเอานางมาถวายผู้หนึ่ง ชื่อว่านางแก้วดวงบุบผาอันเปนแม่เจ้าทัดนั้นแล แต่นั้นเจ้าอินทโฉมรู้ข่าวว่าพระยากิ่งกิจตายแล้ว ก็เกลี้ยกล่อมเอาข่าเจือก็ลวดเอาเมียผู้หนึ่งนำข่าเจือ มีลูกผู้หนึ่งชื่อเจ้าหน่อเมือง แล้วจึ่งพาข่าเจือแลลื้อเมืองล้าเมืองพงลงมาเลวเจ้าองค์คำ จึ่งถอดเอาเครื่องสาตราวุธเสียหมดแล้ว จึ่งให้อยู่ข้างวัดวิชุณห์หั้นแล ส่วนดังเจ้าองค์คำก็เชื่อน้ำอกใจฅอแห่งเจ้าอินทโฉมแท้ ก็เล่าพาเพี้ยแก้วนายช้างผู้หนึ่ง จ่าบ้านผู้หนึ่ง ท้าวบังรอดท้าวบังคมหนึ่ง ท้าวเหิงเห็งร้ายผู้หนึ่ง พลเมืองหลายแหล่ จึ่งไปต่อนกทางนานกแขกชุเมื่อ แต่นั้นยังมีเมืองขวาใจประดิพัทธแก่เจ้าอินทโฉม ตีเสน่าใส่บั้งเมือถวายแก่เจ้าอินทโฉม ท้าวพระยาทั้งหลายถามว่าบั้งปีสังเด่ เมืองขวาว่าบั้งส้มไปให้ทั้งหลายเบิ่ง บั้งเสน่าบ่ไข ลูนนั้นบ่นานเจ้าองค์คำไปต่อนก พระยาเมืองขวาขึ้นเมือกราบฉลองเจ้าอินทโฉมแล้ว ลวดมาทางผาเผินมาพลาดล้มผาเผินหั้นที่หนึ่ง จึ่งเมือขึ้นหอคำวันนั้นแล ลวดหับประตูเวียงทุกแห่งแล้วลั่นสะบุเสีย แต่นั้นเจ้าองค์คำใช้ท้าวบังรวดมาเบิ่งบ่ได้เข้าเมือง คนึงใจว่ารอยที่เพื่อนยาตรเมืองกูแลร้ายบ่ดีก็จักไปเชียงใหม่เสียแล ว่าดังนี้แล้วจึ่งมาเสวยเข้าวัดภูมืดแล้วจึ่งปล่อยหมายชุฉบับ แล้วจึ่งไปทางนาทมโคน จึ่งสระสวางท้าวเพี้ยทั้งหลาย ไผจักคืนหาลูกหาเมียก็เอาใจเปน ไผจะไปทุกขไปยากนำคูก็เอาใจเปน ว่าดังนี้ แต่นั้นยังมีเพี้ยแก้วท้ายช้างคึดฮอดลูกเมียจึ่งคืนมาผู้เดียว เจ้าอินทโฉมว่าจักฆ่าเสีย ลูกเมียจึ่งไหว้สาหัวครู (ภิกษุ) ทั้งปวง ไปยาด (แย่ง) เอาเพี้ยแก้วท้ายช้างได้ที่น่าวัดแก้วหั้นแล จึ่งเมือขายเมือคายเจ้าอินทโฉมว่า คั้นมันว่าจะบวชจึ่งไว้ชีวิตรว่าดังนี้ จึ่งมาถามเพี้ยแก้วขอบวชเสียแล จึ่งแบ่งลาบลายฮดเปนสมเด็จเพี้ยคราวปางนั้นแล

๏ ส่วนดังเทวีเจ้าองค์นกทั้งสอง ผู้หนึ่งชื่อแทนสาว ผู้หนึ่งชื่อแทนคำ ส่วนดังนางพระดวงบุบผานั้นก็อยู่หั้นแล ส่วนดังเจ้าอินทโฉมเสวยเมืองแล้ว จึ่งยกท้าวหานางทั้งหลายก็อยู่ชุคนแล เชิงนางแทนสาวรู้ข่าวผัวตนหนี ก็เข้าเรือพ่ายหนีไปอยู่นำเจ้าองค์กุที่เมืองเลียบพู้นแล จึ่งแต่งหัวครูพี่น้องไปเมดตาเจ้าแทนสาวสองสามทีก็บ่คืน นางจึ่งว่าครั้นว่าข้อยมีลูกชาย จะให้ลูกข้อยเสวยเมืองป๊อยจ้างจิคืน นางว่าดังนี้ หัวครูจึ่งคืนมากราบมาทูลเจ้าอินทโฉม ๆ จึ่งว่าก็จักให้เปนดังความคิดนางนั้นแล ว่าดังนี้แล้วจึ่งไปแห่เอานางที่เมืองเลียบพู้นมาแล แล้วก็ตั้งให้เปนสาวดังเก่าแล นางจึ่งมีลูกผู้กกชื่อเจ้ามังธาตุราช ผู้ถัดชื่อเจ้าพรม ผู้ถัดชื่อเจ้าวงษ ผู้หล้าชื่อนางสุชาดา แลลูกมเหษีซ้ายเจ้าอินทกุมาร ควายชนเสียเจ้าภูมืด ๑ เจ้าราชบุตรโฮงใต้ ๑ นางอุบะมเหษีขวา เจ้าสุระ ๑ เจ้าองค์เอก ๑ เจ้าเชษฐา ๑ เจ้าโรงท่านั้นแล นางแทนคำมีลูกชื่อเจ้าโชติกะ ๑ นางแก้วสาวสวรรค์ ๑ เจ้านุทะกุมาร ๑ เจ้านาคเสนกุมาร ๑ นางกอง ๑ นางดวงบุบผามีลูกชื่อเจ้าชูพุด ๑ เจ้าทัด ๑ นางอุบลวรรณา ๑ ส่วนดังนางแทนสาวนั้นมีเจ้ามังธาตุราชผู้กก ใหญ่มาได้ ๑๕ ปี พระพ่อแลเสนาก็เวนเมืองให้แก่เจ้ามังธาตุราชตามสัจจแม่นั้นแล เจ้านั้นจึ่งไปส้วงเรือหมากแตกจึ่งหนาวไข้ป่วย ลวดนฤพานเสียแล เจ้าวงษจึ่งได้นั่งเมืองภายลูนแล

๏ ทีนี้จักจาถึงเจ้าองค์คำเปนองค์นกก่อนแล เจ้าก็พานำนองกองข้อยไปถึงเมืองเหลือกเจ้าจึ่งอธิฐานว่าครั้นว่าบุญตูยังมี จักได้เสวยเมืองภายน่า กูไต่ขัวนี้ไปจงให้ขัวนี้หักเทอญ คั้นว่าบุญกูบ่มีอย่าให้หัก อธิฐานดังนี้แล้วจึ่งไต่ไปสามบาทตีน ขัวค่ามน้ำเหลือกไม้แปนหมอนหักไปแล จึ่งไปหาหัวคูเมืองเหลือกคูณฤกษคูณเกณฑ์ ว่าให้บวชไปจึ่งดีแล แต่นั้นเจ้าก็บวชเปนสงฆ์แต่นั้นไปแล จึ่งไปอยู่วัดช้างเผือกในเชียงใหม่

๏ ส่วนดังเจ้าเชียงใหม่ก็ถึงแก่อนิจกรรมเสียแลยังลูกสองชายม่าน จึงลงมาอ้อมเชียงใหม่ มีม่านแสนเจ็ดหมื่นแล ชาวเชียงใหม่ฟันบ่แพ้ฆ่าบ่ตาย ก็ง่อมเหงาทั้งเมืองนั้นแล

๏ ยังมีอำมาตยผู้หนึ่งเปนมิตรกับพระยาจ่าบ้าน มันจึงรู้ว่าอาชญาลาวมาอยู่ที่นี้ควรเสี่ยงดูแล จึงชุมนุมทั้งหลายจึงมีโอคำ ๓ หน่วย แล้วมาเสี่ยงน้ำแม่ปิง อธิฐานส่าย ๓ ที องค์ใดยังจักแพ้ข้าศึกหมู่นี้ บ้านเมืองจักสระสว่างผาบไภยให้อยู่เย็นเปนศุขย้อนโพธิสมภารองค์ใดให้โอไหล เมือเหนือว่าดังนี้ เอาเทียนติดโอแล้วเอาของลูกเจ้าเชียงใหม่ผู้พี่วางใส่น้ำไหลไปใต้เสีย พักส้วย ๓ ทีดังเก่า วางโอเจ้าผู้น้องใส่เซาอยู่น้อยหนึ่งก็ไหลไปใต้พักสว่าย ๓ ทีวางโอเจ้าองค์นกใส่อยู่คาวหนึ่งไหลเมื้อเหนือ หากบังเกิดด้วยลมตี ชาวเชียงใหม่ตบมือพือผ้าจิบ่เสียบ้านเมืองลูกเมียเราแล ชาวลานนาสมาคมนิยมปางวันนั้นมากนัก ชาวเชียงใหม่ก็นิมนต์มอบอลังการทั้งมวญจึงสึกมานั่งหอคำ ๗ วัน เสพตามบุพพาจารีตแล้วออกไปรบม่าน ๆ ก็แตก น้ำแม่ปิงเปนดังใส่เลือดก็มีนั้นแล

๏ เจ้าก็เสวยศิริสมบัติในเมืองลานนา ศุขเกษมมากนัก ก็เล่ามีลูกกับนางยวนผู้หนึ่งชื่อเจ้าต้น ผู้หนึ่งชื่อเจ้าวงษ ผู้หนึ่งชื่อเจ้าทิศมี ๓ คนนี้แล มีไว้ในเมืองหลวง ๑๐ ชายเจ้าสุวรรณ ๑ เจ้าแก้ว ๑ เจ้าฟู ๑ เจ้าชายใหญ่ ๑ เจ้าพรม ๑ เจ้าชายน้อย ๑ เจ้าอโนชา ๑ หนีเมือเชียงใหม่นำพ่อ ๗ องค์ ยังเมืองหลวง ๓ องค์ เจ้าไชยน้อย ๑ เจ้าสาร ๑ เจ้าอโนชา ๑

๏ ส่วนดังเจ้าสารบวชอยู่วัดใหม่ เจ้าอโนชาบวชอยู่วัดเชียงทอง เพี้ยเชียงใต้อยู่หั้นแล้วจึงอาณัติกัน ว่าจักฟื้นเจ้าอินทโฉมทางวัดใหม่แล เจ้าสารมีกำลัง ๓๐๐ เล่มเพี้ยคาวก็พร้อมทางวัดเชียงทอง มีกำลัง ๕๐๐ เจ้าอโนชาแลพระยาเชียงใต้ผู้หนึ่ง ท่านเปนเชียงใต้กับองค์นกหั้นแล

๏ ท้าวอินนำงาผู้หนึ่งพื้นได้ร่วมคิดท่าน จะขอเปนหมื่นน่า ทิดสุวรรณหมอคงผู้หนึ่ง ครั้นพื้นได้ขอเปนนาใต้ จึงนัดกันเดือนสิบสองเพ็ญ อยู่มาฮวดมื้อ ๑๔ พระยาเชียงใต้อยากกินเข้าปุ้น (ขนมจีน) หลาดแลงให้ข้าชายไปซื้อบ่ได้กะลาดวายเสีย พระยาคำใต้จับไม้ค้ำโพไล่ตีข้อยชายผู้นั้นมันแล่นเข้าไปในวัง เจ้าขุนเฆี่ยนถามหลายประการ ข้าชายบอกกล่าวรหัศแตกเสียก่อน ก็เลยรบกันตามกำลัง ก็ลวดเสียพระยาเชียงใต้กับทิดสุวรรณนั้นแล ทางเจ้าสารอยู่วัดสุวรรณพรหมก็ลี้เสีย ด้วยว่าบ่แม่นมื้อผัด ท้าวอินนำงาโจนพึ่งหัวครู โรงดำคารวะเสียอไภยโทษแล้ว ส่วนดังเจ้าอโนชาพ่ายเมืออยู่บ้านเกิบแตง พระเมืองหลวงนำเมือฆ่าเพี้ยข้าแล้วคืนมา ขี้ทูดแตกออก ๙ แห่ง ด้วยเหตุฆ่ากระษัตริย์แล ส่วนลูกเจ้าองค์นก ๑๐ ชายนั้นจักได้นั่งเชียงใหม่แทนพ่อ เจ้าสุวรรณ ๑ เจ้าจัน ๑ ดังเจ้าสารนั้นลางพ่องว่าเจ้า

๏ เจ้านั้นจักตัดปัญญาเมือภายน่า อาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้ดังนี้

๏ เจ้าจันทราชานั่งเชียงใหม่แทนพ่อองค์นกนั้น มีลูกผู้หนึ่งชื่อนางเทพ ผู้หนึ่งชื่อนางทุม ลูกชายชื่อเจ้าอินท ๑ เจ้าสุภา ๑ เจ้าสุพรรณ ๑ เจ้าคำเครื่อง ๑

๏ เจ้าสุวรรณผู้พี่มีลูกชายชื่อเจ้าอุ่น ๑ เจ้าเทพ ๑ ลูกหญิงนางเทพ ๑ ก็ลวดหนีเมืออังวะแล

๏ เมื่อนั้นเจ้าอินทโฉม ก็เสวยศิริสมบัติในล้านช้างก็หึงนานนักข้อยไพร่ศุขเกษมมากนักแล

๏ ถัดนั้นเจ้าอินทโฉมถึงอนิจกรรมแล้ว เจ้าโชติกะกุมารลูกเจ้าอินทโฉมผู้กกเสวยเมืองแทน เจ้าโชติกะอนิจกรรมไปแล้ว ก็เปน พลาพลังน้อยหนึ่ง แล้วเจ้าองค์ยึงเสวยศิริสมบัติ เอานางกองเปนเทวี เจ้าองค์ยึงอนิจกรรมไปปีเมืองเม็ด ปีปึกสันเมืองหลวงพระบางแตกเสีย มาถึงปีรวงไก๊ศักราช ๑๑๕๓ ตัวก็อนิจกรรมเสียแล

๏ ตั้งแต่ขุนลอลูกขุนบรมราชา ยกจากนาน้อยอ้อยหนูลงมายังเมืองลาว ลูกขุนลอชื่อขุนชวาลำดับมาฮอดขุนฮุง ลูกขุนฮุงนั้นอาจารย์ทั้งหลาย เปลี่ยนนามขุนเปนท้าวได้ ๑๕ เช่น ตั้งแต่แปงขุนเปนท้าวมีท้าวแทนเปนเก๊า ทราบต่อท้าวถึงท้าวหว่างได้ ๖ เช่น แต่นั้นเขาแปงท้าวเปนพระยา ตั้งแต่พระยาลังลูกท้าวหว่างเปนเก๊าสืบมา ลูกพระยาลังชื่อพระยาคำผง ติดต่อสืบราชวงษายังในเชียงทองเชียงคงได้ ๓๗ เช่น มาถึงพระไชยลูรชื่อว่าเชษฐาวังโส ทรงนามกรว่าพระไชยเชษฐาธิราช จึงลงไปตั้งเวียงจันเปนมหานครราชธานี ติดต่อมาได้ ๑๐ เช่นราชวงษา

๏ กับพระสุริยไพ่บ่นับ พระยาแสนสุรินทรก็บ่นับ พระยาจันทรก็บ่นับ พระไชยองค์แวก็หลานเจ้าสุริย เจ้ากิ่งกิจเจ้าอินทโฉมก็หลานเจ้าองค์นกก็หลานพระไชยองค์แวนั่งเวียงจัน ลูกพระไชยองค์แวนั้นแม่นองรองลูกเจ้าองค์รองนั้นแม่นองค์บุญ ลูกองค์บุญนั้นแม่นเจ้าอินเจ้าหั้นแล


 

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก