ฯข้าฯ ลูกขุนณ
|
สาลา
|
|
เจ้าพญาษรศรี
|
|
๙
|
|
เจ้าพญาชำนาญบริรักษ
|
พญากระลาโหม
|
พญาธรรมา
|
พญาพลเทพ
|
|
๑๖ คน ปฤกษา
|
พญาราชภักดี
|
พญายมราช
|
พระกำแหง
|
จหมืน[2] เสมอใจราช
|
สารหลวง
|
พระราชครูพระครูพิเชฐ
|
|
๗
|
พระจักระปานี
|
พระธรรมสาตร
|
พระเกษม
|
ขุนหลวงพระไกรสี
|
ขุนราชพินิจใจ
|
ขุนศรีธรรมราช
|
พร้อมกันว่า ครั้งสมเดจ์พระพุทธเจ้าหลวงในพระบรมโกฎ
|
ไห้มี
|
|
|
|
๔๒ ครั้นสมเดจพระพุทธเจ้าหลวงในพระ
|
บรมโกฎครั้งนี้ ชำระเสีย
|
|
|
|
๖ ขอพระราชทานคงไว้
|
|
|
|
๓๖ ข้อ แลคัดแต่ข้อใจความกราบทูลพระกรรุณา
|
- 1
๑ อนึ่ง มีกฎให้ไว้ว่า ถ้าบ่าวไพร่ผู้ใดมีกิจ์ศุขทุกขประ
|
การใด แลร้องฟ้องให้กราบทูลพระกรรุณานั้น ถ้ามุนนายฝ่าย
|
ทหาร ให้เจรจาด้วยสมุหะพระกลาโหม ถ้าพลเรือน ให้เจรจาด้วย
|
สมุหะนายก แลเนื้อความเปนตระทรวงใด ให้ส่งตามตระทรวง
|
กฎให้ไว้ณะวัน ๔ ๖+ ๔ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๑๒ ปีฃาล โทศก
|
- 2
๒ อนึ่ง มีกฎข้อหนึ่งว่า ราษฎรทำหนังสือร้องฟ้องหาฅวาม
|
แก่กัน กระลาการเอาชี้ยังมิสำเรจ์ โจทจำเลยจะฟ้องออก
|
นอกสำนวรติงทุเลานั้น อย่าให้กระลาการผู้ใดรับพิจารณา
|
รับหนังสือฟ้องโจทจำเลยนั้นว่า
|
กฎให้ไว้ณะวัน ๓ ๙+ ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๒๖ ปีมะโรง ฉ้อศก
|
- 3
๓ อนึ่ง จะหมื่นไววรนาถรับพระราชโองการใส่เกล้าฯ
|
สั่งว่า ถ้ามะหาดเลกฃอเฝ้าข้าหลวงกรมใด ๆ ก็ดี จะมีรับสั่งเจ้า
|
กรมนั้นมาสั่งด้วยกิจเนื้อความแลกิจราชการสิ่งใด ๆ แก่ผู้อยู่
|
เวน
|
- ตำรวจใน
- ตำรวจนอก
- ชาววัง
- มหาดไท
|
ถ้าแลผู้รับสั่งนั้นรู้จักหน้าก็ดี ให้พิจารณาดูใน
|
เนื้อความนั้นก่อน ถ้าเปนการเรว ให้จดหมายไว้ก่อน จึ่งให้
|
สั่งไป แล้วให้เอาเรื่องราวนั้นให้เจ้ากรมปลัดกรมกราบทูล
|
พระกรุรณาฯ ฉลอง
|
รับสั่งให้ไว้ณวัน ๕ ๒+ ๒ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๒๖ ปีมะโรง ฉ้อศก
|
- 4
อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก่กระลาการว่า ถ้าโจทจำเลยนัดชี้สอง
|
สถาน แลผัดส่งคนทรัพยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ถ้าแลขาดนัดขาดผัด
|
ถึงสามครั้ง จึ่งให้กระลาการรับเอาถ้อยคำนั้นว่ากล่าว ถ้าแล
|
โจทจำเลยนัด
|
|
ครั้นถึงนัด ถ้ามาบอกนัดว่า ป่วยเจบประ
|
การใด ให้ผู้มาบอกนำไปชันณะสูดดู ถ้าสมดั่งมาบอกแล้ว
|
ให้ทุเลาไปใหม่ ถ้าทุเลาแล้วมิได้มา ให้เอาเนื้อความเปนแพ้
|
ตามพระอายการ
|
กฎให้ไว้ณวัน ๔ ๑๕+ ๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๒๗ ปีมะเสง สัพศก
|
- 5
๕ อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก้ลูกขุนณะสานหลวงว่า ราษฎรผู้มี
|
อัถะคดีเปนความแก่กัน ย่อมท้วงติงทุเลานอกสำนวรเปน
|
กระเบียดกระเสียน พิภากษาให้ปรับเปนสีนไหมพิไนย ต้อง
|
ปรับนอกสำนวรได้ความยากแค้นนัก แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ถ้า
|
โจทจำเลยท้วงติงทุเลาเปนแต่กระเบียดกระเสียน มิได้ตัด
|
สำนวรเปนแพ้เปนชะนะ อย่าเภ่อพิภากษาให้ปรับ ถ้าตัดสำ
|
นวรเปนแพ้เปนชะนะ จึ่งพิภากษาให้ปรับทีเดียว
|
กฎให้ไว้ณวัน ๒ ๕+ ๑๑ ค่ำ จุละศักราช ๑๐๓๒ ปีจอ โทศก
|
- 6
อนึ่ง มีกฎให้ไว้ว่า ราษฎรจะร้องฟ้องหาความแก่กัน
|
ณะโรงสานกรมใด ๆ ก็ดี แลโจทจำเลยนั้นอย่าให้ทำเปนอำ
|
ยวนเคลือบแอบแฝงเปนกลย่นย่อไว้ในข้อหา แลให้ผู้
|
พิจารณา ๆ ดูฟ้อง ถ้าแลเคลือบแฝงเปนกลอยู่ อย่าให้รับ
|
อนึ่ง ถ้าฝ่ายจำเลยให้การเปนกลความ อย่าให้กระลา
|
การผู้พิจารณาเขียนเอาคำให้การ ถ้าแลกระลาการผู้พิจารณา
|
รับฟ้องแลเขียนเอาคำให้การซึ่งเปนกลนั้น ให้เอากระลาการ
|
ผู้พิจารณาแลโจทจำเลยซึ่งว่าเนื้อความเปนกลนั้นเปนโทษ
|
จงหนัก
|
กฎให้ไว้ณวัน ๕ ๑๑ + ๖ ค่ำ จุละศักราช ๑๐๓๓ ปีกุญ ตรีนิศก
|
- 7
๗ อนึ่ง พระมหามนตรีรับพระราชโองการใส่เกล้าฯ สั่ง
|
ว่า ให้อาชาไว้แก่ลูกขุนณสานหลวงว่า ถ้ากระลาการคุมเอา
|
ลูกความไปชี้แก่ลูกขุนณสานหลวง ถ้าลูกความติดใจกระลา
|
การ ให้มีคำขึ้นแก่ขุนราชพินิใจผู้เสนอ ให้รับเอาถ้อยคำนั้น
|
เสนอแก่ลูกขุน ถ้าติดใจลูกขุนว่า พิภากษาเนอความขาด
|
เหลือ ก็ให้ลูกความติงทุเลา ถ้าติงทุเลาชอบ ให้พิพากษาหา
|
ความชอบคืนสืบไป อย่าให้ลูกความทุ่งเถียงตอบโต้ลูกขุน
|
เปนอันหยาบช้า ถ้าแลตอบโต้ลูกขุนหยาบช้า ให้เอาไม้แป้น[3] |
ตบปาก ถ้าลูกความหยาบช้าเปนอันมิดี ให้เอากระลาทังฃน
|
ตบปาก แล้วให้กระลาการเอาลูกความไว้ให้หมั้นคง แล[4] ให้
|
ลูกขุนเอาเนื้อความกราบทูลฯ จให้ลงพระราชอาชาเฆี่ยร
|
จงหนัก แล้วให้ปรับไหมเอาตามโทษานุโทษนั้น
|
รับสั่งให้ไว้ณวัน ๓ ๒+ ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๓๔ ปีชวด จัตวาศก
|
- 8
อนึ่ง มีกฎให้ไว้ว่า สมเดจ์บรม[5] บพิตรพระพุทธิเจ้า
|
อยู่หัวเสดจ์ฯ ออกณะที่ใด ๆ ไซ้ ผู้จะเข้าเฝ้าทังปวงแลจะถือ
|
สมุดเข้าเฝ้านั้นแต่สมุหะนายกสมุหะพระกระลาโหมหลวงราช
|
นิกูลโหราธิบดี ถ้าจะเข้าเฝ้าด้วยกิจราชการหนังสือไปมา
|
แลกิจราชการถ้อยความสาระบาญชียก็ดี ให้พิจารณาแล
|
ถามด้วยกิจราชการสิ่งใด ๆ ก็ดี แลนำกราบทูลพระกรรุณา
|
ก็ดี ให้ถือแต่สมุดเข้าเฝ้า แลพญาพระหลวงนอกกว่านี้ ถ้า
|
มิได้ทรงพระกรรุณาไห้พิจารณาสาระบาญชียเนื้อความกิจราช
|
การแลมิได้นำกราบทูล อย่าให้ถือสมุดเข้าเฝ้า
|
กฎให้ไว้ณวัน ๔ ๑๓+ ๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๓๔ ปีชวด จัตวาศก
|
- 9
๙ อนึ่ง สมุหะนายกรับพระราชโองการใส่เกล้าฯ สั่งว่า
|
กระลาการโรงสานกรมใด ๆ ได้พิจารณาเนื้อความแพ่งนั้น อย่า
|
ให้ลูกความติดใจได้ ถ้าโจทจำเลยติดใจกระลาการ ให้ส่ง
|
สำนวรคู่ความไปให้กระลาการอื่นพิจารณาตามตระทรวงสืบไป
|
รับสั่งให้ไว้ณวัน ๑ ๑๔+ ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๓๕ ปีฉลู เบญศก
|
- 10
๑๐ ด้วยพระมหาเทพรับพระราชโองการใส่เกล้าฯ สั่งว่า
|
ณวัน ๒ ๓+ ๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๔๓ ปีรกา ตรีนิศก เพลาเช้า เสดจ์
|
ออกทอดพระเนตรแต่งตัวไม้วัดยม นายเดชมหาดเลกเอา
|
ฟ้องจีนก๋งซึ่งกล่าวโทษขุนพินิดใจนายทองอินเสมียรพิจารณา
|
เนื้อความมิได้สบดสาบาลตัวตามกฎรับสั่งนั้นกราบทูลพระ
|
กรรุณาฯ กล่าวโทษนายทองอินเสมียร จึ่งทรงพระกรรุณาฯ
|
สั่งว่า จะเชื่อฟ้องแลสบดมิได้แล้ว
|
แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ถ้าราษฎรผู้มีอัถคดีฟ้องให้กราบทูล
|
พระกรรุณาฯ แลทำฎีกาทูลเกล้าฯ ถวาย แลฟ้องร้องศาลา
|
ณโรงสานกรมใด ๆ ก็ดี อย่าให้กระลาการฝ่าย
|
|
สบด
|
สาบาลเลย ถ้าทรงพระกรรุณาฯ สั่งจำเภาะ จึ่งให้กระลาการ
|
ฝ่าย
|
|
สบดสาบาลตามรับสั่ง
|
หมายมาณวัน ๔ ๑๒+ ๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๔๓ ปีระกา ตรีนีศก
|
- 11
๑๑ อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก่กระลาการผู้พิจารณาความ อย่า
|
ให้ลำเอียงเข้าด้วยฝ่ายโจทจำเลย[6] แลอำยวนความไว้ให้ช้า
|
ให้พิจารณาให้แล้วแต่ใน ๓ เดือน ถ้าพญาณอยู่ไกลทาง ๑๕
|
วันเดือนหนึ่ง ให้กฎหมายตามใกล้แลไกล อย่าให้ล่วงพ้นอายุ
|
ความตามระยะทาง
|
|
นั้นได้
|
อนึ่ง โจทหาจำเลยแก้นั้น ให้ว่าแต่ตามจริง อย่าให้เอา
|
เท็ษมาหามาแก้ ถ้ามิทำตามพระราชกำหนดกฎหมาย จะเอา
|
ตัวเปนโทษ
|
กฎให้ไว้ณวัน ๓ ๑๑+ ๑๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๔๘ ปีขาล
|
อัถฐศก
|
- 12
๑๒ อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก่ขุนอาชาจักราชปลัดว่า ราษฎร
|
เปนกุลียุก มิใช่พี่ว่าพี่ มิใช่น้องว่าน้อง แลแอบอ้างว่าเปนญาติ
|
พี่น้อง เข้าหาความตางแก้ความตาง แต่งหนังสือร้องฟ้องให้
|
ราษฎรหาความแก่กัน แลคิดอ่านให้ถ้อยคำแก่ราษฎรนั้น
|
ให้พิจารณาสืบสาวเอาตัวให้ได้ จะเอาตัวเปนโทษส่งเข้าคุก
|
ส่งลงสำเภาส่งเปนหัวสิบช้าง ให้ขุนอาชาจักราชปลัดทำตาม
|
กฎให้ไว้ณวัน ๖ ๑+ ๖ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๔๙ ปีเถาะ นพศก
|
- 13
๑๓ อนึ่ง ออกพระมหามนตรีรับพระราชโองการใส่เกล้าฯ
|
สั่งว่า ให้กฎหมายไว้แก่ผู้พิจารณาทังปวง ถ้าแลมีรับสั่งให้
|
ลงพระราชอาชาตีถามเฆี่ยน[7] ถามจเอาเนื้อความ ถ้าผู้ต้อง
|
รับพระราชอาชานั้นหลังยังมิเคยรับพระราชอาชา แต่มีรับสั่ง
|
ให้ตีจงหนักหนา ให้ตีแต่ ๒๐ ที ถ้าให้เฆี่ยนจงหนักหนา ให้เฆี่ยร
|
แต่ ๓๐ ที ถ้าผู้ต้องรับพระราชอาชานั้นเคยรับพระราชอาชา
|
อยู่แล้ว จึ่งให้ครบตามทำเนียม
|
|
แต่ก่อน
|
รับสั่งให้ไว้ณวัน ๕ ๕+ ๕ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๕๕ ปีวอก
|
จัตวาศก
|
- 14
๑๔ อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก่กระลาการทังปวงว่า ราษฎรผู้มี
|
คดีเหนว่า เนื้อความเพลียงพลำลง ย่อมฟ้องหากล่าวโทษกระลา
|
การ แลเบิกคู่ความไปถึง
|
|
สาน ให้เสียค่าฤทชาทุกสาน
|
พญาบาดผู้ว่าเนื้อความช้าอยู่เปนหลายเดือนหลายปี เพราะ
|
กระลาการมิได้พิจารณาตัดสีนเนื้อความให้ขาด จึ่งผันแปร
|
เนื้อ[8] ความยืดยาวมิรู้แล้ว ถ้าเนื้อความเหนจะแพ้แล้ว จะ
|
หาอาชาอุธรแก่กระลาการ ให้กระลาการใหม่พิจารณา อย่า
|
เพ่อเบิกให้ลูกความไปจากกระลาการเก่าก่อน ให้เอาแต่กระ
|
ลาการซึ่งต้องอาชาอุธรไปพิจารณาก่อน ถ้ากระลาการมิได้
|
แพ้แก่อาชาอุธร ก็ให้ส่งตัวโจทนั้นไปให้กระลาการเก่า ให้
|
เอาความเดิมนั้นเปนแพ้ด้วย ถ้ากระลาการแพ้แก่โจทใน
|
องคอุธร ให้ยกสำนวรเก่านั้นเสีย ให้เอาฟ้องเก่านั้นพิจารณา
|
ตามเรื่องราวฟ้องเก่านั้นสืบไป อย่าให้กลับโจทเปนจำเลย
|
กฎให้ไว้ณวัน ๔ ๑+ ๓ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๖๔ ปีมเมีย
|
จัตวาศก
|
- 15
๑๕ อนึ่ง กฎให้ไว้ว่า ให้
|
|
เอาพระอายะ
|
การใส่หีบลั่นกุนแจมอบไว้ณสานหลวง อย่าให้เอาไปบ้าน ถ้า
|
จะปรับเนื้อความ ให้ปรับต่อหน้าลูกขุน ถ้าผิดแลชอบประ
|
การใด ให้ลูกขุนช่วยติเตียนให้ต้องด้วยข้อรวาง อนึ่ง อย่าให้
|
ปรับเนื้อความค้างช้าไว้ ให้ปรับให้แล้วแต่ใน ๓ วัน
|
กฎให้ไว้ณวัน ๓ ๑๕ + ๖ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๑ ปีฉลู เอกศก
|
- 16
๑๖ อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก่ผู้พิจารณาทังปวง ถ้ามีตราเบิกคู่
|
ความ แลความยังมีสำเรจ์ก่อน อย่าให้เบีกคู่ความนั้นไป เมื่อ
|
ใดมีราชการณรงสงคราม แลให้เบิกไปโดยเสดจ์ ๆ จึ่งให้เบิกไป
|
กฎให้ไว้ณวัน ๑ ๕+ ๙ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๑ ปีฉลู เอกศก
|
- 17
๑๗ อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก่กระลาการทังปวง ถ้าราษฎรจะ
|
ร้องฟ้องหาความแก่กันด้วยเนื้อความสิ่งใด ๆ ถ้าแลลูกความ
|
เหนเนื้อความฃองตัวนั้นพิรุทจะแพ้แลยอมแก่กันก็ดี กระ
|
ลาการพิจารณาถึงชี้สำนวรขาดก็ดี ถึงใบสัจปรับมาแล้วก็ดี
|
ถ้าจะหาอาชาแก่กระลาการ ให้กระลาการเก่าเรียกเอา
|
สินไหมพิไนยก่อน จึ่งให้ส่ง ถ้าผู้ไปเบิกมิฟัง จเอาไปให้ได้
|
ให้จับเอาตัวผู้ไปเบิกนั้นไปว่าแก่ลูกขุนณะสานหลวงให้บัง
|
คับบันชา
|
กฎให้ไว้ณวัน ๓ ๒+ ๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๑ ปีฉลู เอกศก
|
- 18
๑๗ อนึ่ง หลวงจ่าแสนญากอนรับพระบันทูลใส่เกล้าฯ
|
สั่งว่า ถ้ามีผู้ร้องฟ้องณโรงสานกรมใด ๆ ให้มีโฉนฎฎีกาหมาย
|
ให้มุนนายแลนายบ้านายอำเพอส่ง ๆ ได้แต่คน
|
|
คน ยังมิ
|
ได้นายประกันยังมิได้ถาม ถ้าแลผู้ต้องอัถคดีนั้นไปทำฎีกา
|
ทูลเกล้าฯ ถวาย แลร้องฟ้องณะโรงสานกรมใด ๆ จะแก้เนื้อ
|
ความซึ่งเขาฟ้องไว้ยังมิได้แก้กันนั้น อย่าให้รับเอาหนังสือฟ้อง
|
ไว้พิจารณา ถ้าถวายฎีกาไซ้ ให้สับสามเสี่ยง แล้วให้คืนใบ
|
ฎีกาแลตัวให้แก่นาย ถ้าร้องฟ้องกรมใด ๆ ให้เอาว่าลูกขุน
|
ณสานหลวง ให้ปรับไหมเอาตัวเปนโทษตามพระอายการ
|
รับสั่งให้ไว้ณวัน ๓ ๒+ ๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๑ ปีฉลู เอกศก
|
- 19
๑๙ อนึ่ง หลวงราชนิกุลรับพระราชโองการใส่เกล้าฯ สั่ง
|
ว่า กระลาการผู้ได้ว่าเนื้อความทังปวงนั้น ให้เกาะโจทจำเลย
|
ให้เร่งว่าเนื้อความนั้นกว่าจะแล้ว
|
กฎให้ไว้ณวัน ๔ ๑๕+ ๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๒ ปีขาล โทศก
|
- 20
๒๐ อนึ่ง มีกฎให้ไว้ว่า บ่าวไพร่ในหมู่ย่อมโจทตัวออก
|
ไปต่างหมู่ ครั้นเจ้าหมู่ผู้พิจารณาเกาะมาพิจารณา ย่อมไปฟ้อง
|
หากล่าวโทษผู้พิจารณาแลมุนนายนั้น อย่าให้กระลาการเรียก
|
ค่าฤทชาแก่ผู้ให้พิจารณาแลเจ้าหมู่
|
อนึ่ง ราษฎรร้องฟ้องหาความแก่กันด้วยเนื้อความสิ่งใด ๆ
|
แลลูกความเหนความข้างตัวนั้นพิรุท แลกลับทำฎีกาทูล
|
เกล้าฯ ถวายกล่าวโทษหาอาชาอุธรกระลาการ ๔ ๕ ข้อ ถ้า
|
โจทแพ้แก่กระลาการแต่ข้อหนึ่งไซ้ เนื้อความซึ่งหาอาชา
|
อุธร
|
|
ข้อ แลเนื้อความเดิมนั้นให้เอาเปนแพ้ด้วยจงสิ้น
|
ถ้าเปนเนื้อความหลวง ให้ขับเฆี่ยรโจทผู้แพ้นั้นจงหนัก ให้ริบ
|
ราชบาด เอาตัวเข้าคุก ถ้าเนื้อความราษฎรหาแก่กัน ให้ปรับ
|
ไหมเอาตามบันดาศักดิตามพระอายการให้ใช้ทุนผู้ชนะ ถ้า
|
กระลาการแพ้แก่อุธร ถ้าเปนเนื้อความหลวง ให้ขับเฆี่ยรโบย
|
ตีเอาตัวเอนโทษ ถ้าเนื้อความราษฎรหาแก่กัน ให้ปรับไหม
|
ตามบันดาศักดิ แล้วให้ใช้ทุนผู้ชนะ แลคู่เบีกนั้นให้ส่งไปแก่
|
กระลาการอื่นให้พิจารณา ถ้าหากันติดพันพระราชทรัพยเปน
|
หลวง ให้คัดเนื้อความกราบทูลพระกรรุณา
|
อนึ่ง ถ้าราษฎรฟ้องร้องหาความแก่กันด้วยเนื้อความสิ่ง
|
ใด[9] ๆ กระลาการยังไปได้ถามต่อกัน ฝ่ายข้างจำเลย
|
ไปฟ้องร้องเหนือฟ้องโจท อย่าให้กระลาการเอาเนื้อความใน
|
ฟ้องจำเลยถามโจทกลับเปนจำเลย แลให้กระลาการเอาเรื่อง
|
เนื้อความโจทฟ้องก่อนนั้นแต่งรวางไป ให้ปรับจำเลยซึ่งยัง
|
มิได้แก้ฟ้องก่อนกลับมาฟ้องเมื่อภายหลังเหนือฟ้องนั้น ถ้า
|
ปรับมาเปนประการใด ให้กระลาการทำตามกฎ
|
กฎ[10] ให้ไว้ณวัน ๓ ๑๐ + ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๓ ปีเถาะ ตรีนิศก
|
- 21
๒๑ อนึ่ง มีกฎให้ไว้ว่า ด้วยใช้ผู้ถือตราไปเอาคู่ความ
|
ณะหัวเมืองแลแขวงจังหวัดนั้น ให้เอาค่าเชีงเดีร
|
|
๑
|
ถ้าไปถึง
|
|
|
เมืองอิน เมืองพรหม เมืองสิงฆ เมืองนน เมืองทน เมืองนครไช
|
ศรี เมืองนครนายก เมืองสุพัน เมืองประจิม ให้เอาค่าเชิงเดิร
|
|
๒
|
|
|
ถ้าไปถึงเมืองไชนาถ เมืองสรรค[11] เมืองเพชบุรีย เมืองฉเทิรงเทรา
|
ให้เอาค่าเชิงเดิร
|
|
๒
|
ถ้าไปถึงเมืองนครสวรรค เมืองนครราชสีมา
|
|
|
เมืองพิจิตร เมืองกุย เมืองปราน เมืองจันทบูน เมืองกาญบุรีย
|
เมืองศรีสวัด ให้เอาค่าเชิงเดิร
|
|
๒
|
ถ้าไปถึงเมืองพิศนุโลก
|
|
๒
|
เมืองกำแพงเพ
ช เมืองพิไชย เมืองสังคโลก เมืองตนาว เมืองนคร
|
เมืองพัตลุง ให้เอาค่าเชิงเดิร
|
๓
|
|
ค่าเบี้ยเลี้ยง
|
๑
|
๒
|
แลครั้น
|
|
|
|
|
กรมการส่งจำเลยให้แก่ผู้ถือตรา ถ้าความรับสั่ง ให้ผู้ถือตรา
เอาค่าลดจำแต่
|
|
๒
|
ถ้าฟ้องโรงสาน ให้ผู้ถือตราเอาค่าลด
|
|
|
จำแต่
|
|
๑
|
อย่าให้เรียกเอาล้ำเหลือนอกกว่านั้น
|
|
๒
|
กฎให้ไว้ณวัน ๑ ๑+ ๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๕ ปีมะเสง เบญศก
- 22
๒๒ อนึ่ง ออกหลวงมหามนตรีรับพระราชโองการใส่เกล้าฯ
|
สั่งว่า ผู้ใดจะร้องฟ้องด้วยเนื้อความสิ่งใด ๆ ให้ร้องฟ้องแก่
|
มุนนายอนาพญาบาลตามกระทรวงก่อน ถ้ามุนนายอนา
|
พญาบาลมิรับทุระ จึ่งให้ฟ้องแก่ลูกขุนณศาลา ถ้าลูกขุน
|
ณศาลามิรับ จึ่งให้ทำฎีกาทูลเกล้าทูลกระหม่อม[12] ถวาย
|
รับสั่งให้ไว้ณวัน ๗ ๑๒+ ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๕ ปีมะเมีย
|
ฉ้อศก
|
- 23
๒๓ อนึ่ง พระณหัวเจ้าท่านโกษาธิบดีรับพระราชโองการ
|
ใส่เกล้าฯ สั่งว่า ถ้าราษฎรหมู่ใดกรมใด ๆ จร้องฟ้อง
|
ศุขทุกขสิ่งใด ๆ ให้ขุนโรงขุนสานทังปวงพิจารณาดูในหนังสือ
|
ฟ้องนั้นให้หมั้นคง ถ้าเหนในหนังสือฟ้องนั้นผูกพันเอาความ
|
มิจริงมากล่าวโทษเขา แลมิได้เปนตระทรวงของตัวได้ว่า
|
อย่าให้รับพิจารณา ถ้าเปนตระทรวงของตัว จึ่งให้รับเอา
|
พิจารณา ถ้าเหนแก่ค่าฤทชารับเอาเนื้อความซึ่งมิได้เปน
|
ตรทรวงของตัวมาพิจารณา จะเอาเปนโทษตามพระอายการ
|
รับสั่งให้ไว้ณวัน ๑ ๑+ ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๗๖ ปีมะเมีย ฉ้อศก
|
- 24
๒๔ อนึ่ง ออกยาธรรมารับพระราชโองการใส่เกล้าฯ สั่ง
|
ว่า ให้ขุนโรงขุนสานทังปวงถามความ ให้ถามเปนสองสถาน
|
อย่าให้ถามเปนสี่สถาน เนื้อความจะยืดยาวไป ให้ถาม
|
เหมือนชาววังตำรวจ์ใน
|
รับสั่งให้ไว้[13] ณวัน ๖ ๑๕ + ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๘๐ ปีจอ
|
สำเรจ์ธิศก
|
- 25
๒๕ อนึ่ง มีกฎให้ไว้แก่กระลาการทังปวง แลในกฎนั้น
|
เรื่องราวสำเนากฎต้องด้วยกฎ ซึ่งอาชาอุธรกระลาการเก่า
|
ใหม่นั้นแล้ว แต่ออกเนื้อความข้อหนึ่งว่า ถ้าลูกความติดใจ ทำ
|
ฎีกาทูลเกล้าทูลกระหม่อม[14] ถวายกล่าวโทษกระลาการ แล
|
ทรงพระกรรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เอากระลาการเก่า
|
มาพิจารณา ถ้าแลกระลาการเปนขุนโรงขุนสาน ก็ให้คัดเอา
|
สำนวรเก่าส่งให้เจ้ากรมปลัดกรมกราบทูลพระกรรุณาให้แจ้ง
|
ก่อน ถ้ากระลาการเก่าเปนเจ้าพญาแลพญาพระหลวงขุนหมื่น
|
ผู้มีบันดาศักดิข้าทูลอองทุลีพระบาท ก็ให้เอาสำนวรเก่า
|
กราบทูลพระกรรุณาให้แจ้ง ถ้าทรงพระกรรุณาให้กระลาการ
|
ใหม่เอากระลาการเก่ามาพิจารณา จึ่งให้ทำตามรับสั่ง
|
กฎให้ไว้ณวัน ๗ ๘+ ๘ ค่ำ จุลศักราช ๑๐๘๒ ปีชวด โทศก
|
- 26
๒๖ อนึ่ง มีกฎให้ไว้ว่า ถ้ามีหนังสือปิตราเจ้าพญาจักรี
|
พญามหาเสนา พญาธรรมา พญาพลเทพ พญาพระคลัง พญา
|
ยมมราช ไปถึงผู้รักษาเมืองผู้รั้ง[15] กรมการเมืองใด ๆ ตามข้อ
|
ความ ถ้ามีสารตราให้มาแก่กรมการ แลผู้ถือตรากับกรมการ
|
ผู้รับตราย่อมคิดอ่านเปนใจด้วยกันฉลายท้องตราแลชื่อคน
|
เรือนเงีนก็มี ถ้าแลจะมีตรากรมใด ๆ จะไปถึงกรมการด้วย
|
ให้ส่งคนแลของมรดกเรียกเงีนเปนหลวงก็ดี ให้มีตราแจ้ง
|
ตราลับ ๆ นั้นให้ตตราประจำชื่อคนเรือนเงีนแล้ว ให้ใส่กลักมี
|
สายเชือกพอกครั่ง[16] ติดโอบรอบกลักปิตราประจำครั่ง แล
|
ให้ผู้รับตราเอาตราลับตราแจ้งทานกันดู ถ้าชื่อคนเรือนเงีน
|
ต้องกัน จึ่งให้ทำตาม ถ้ามิต้องกัน ก็ให้บอกหนังสือส่งตัว
|
ผู้ถือตราเข้ามายังลูกขุนณศาลา
|
หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/83หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/84หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/85หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/86หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/87หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/88หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/89หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/90หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/91หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/92หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/93หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/94หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/95หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/96หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/97หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/98หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/99หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/100หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/101หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/102หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/103หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/104หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/105หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/106หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/107หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/108หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/109หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/110หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/111หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/112หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/113หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/114หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/115หน้า:ประมวลกฎหมาย รัชกาลที่ ๑ (๓) - ๒๔๘๑.pdf/116
จะให้ทาษชะเลยเสียค่าตัวเหมือนลูก
|
|
นั้นหาควรไม่ จึ่ง
|
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งว่า
|
แต่นี้สืบไปเมื่อหน้า ผู้ได้ทาษชะเลยมาขายทาษไปให้
|
มีค่าตัวแล้วมันมิสมักอยู่ ก็ให้ส่งเงินตามค่าตัว ถ้ายังหา
|
ค่าตัวมิได้ จะส่งเงีนแก่ผู้ได้มานั้นให้ทวีขึ้น ชายสกันค่า
|
๑๖
|
|
|
|
หญิงสกันค่า
|
๑๔
|
|
ที่[17] อายุศมเดกแลแก่นั้น ให้ลดตามหลั่น
|
|
|
เทียบกระเสียนอายุศมพระไอยการเดิม เหตุว่าผู้ได้มานั้น
|
ได้ด้วยยาก ถ้าหญิงทาษชะเลยนั้นเกิดลูก
|
|
ณกรุงแล้ว
|
ถ้ามันจะส่งเงินไป อย่าให้คิดเอาค่าตัวลูกมันเปนทวีคูนเลย ให้
|
คิดเอาค่าตัวลูกมันตามกระเสียนอายุศมบทพระไอยการเดิม
|
อนึ่ง ผู้ได้ชะเลยมานั้น ยกชะเลยให้ไปแก่ผู้อื่น แล
|
แลกเปลี่ยนกันไปกับทาษมิได้เปนชะเลยก็ดี แลผู้ใด้ชะเลย
|
มานั้นตาย ยังแต่บุตรภรรยาญาติพี่น้องได้ทาษชะเลยเปน
|
มรฎกไว้ก็ดี ถ้ามันมิสมักอยู่ ให้คิดเอาค่าตัวตามกระเสียน
|
อายุศมโดยบทพระไอยะการเดิม
|