งานแปล:ไคดัง: เรื่องเล่าขานและการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งประหลาด/บทที่ 10

  • ความลับ
    ดับสูญ
ความลับ
ดับสูญ


นานมาแล้ว ในมณฑลทัมบะ มีพ่อค้าร่ำรวยผู้หนึ่งนามว่า อินามูรายะ เก็นซูเกะ อาศัยอยู่ เขามีลูกสาวชื่อ โอโซโนะ เนื่องจากนางฉลาดและน่ารักยิ่งนัก เขาจึงคิดว่า คงน่าเสียดายถ้าจะปล่อยให้นางเติบโตขึ้นด้วยเพียงคำสอนสั่งอย่างที่ครูบาอาจารย์บ้านไร่จะให้เธอได้ ดังนั้น เขาจึงส่งนางไปเคียวโตะไปอยู่ในความดูแลของบริวารจำนวนหนึ่งซึ่งไว้ใจได้ เพื่อที่นางจะได้รับการฝึกฝนในทักษะแบบผู้ดีมีสกุลดังที่สั่งสอนกันให้แก่สตรีชาวกรุง หลังจากที่นางได้รับการศึกษาเช่นว่านั้นแล้ว นางก็สมรสกับเพื่อนคนหนึ่งจากตระกูลฝั่งบิดาของนาง คือ พ่อค้านามว่า นางารายะ และนางก็มีชีวิตอย่างเป็นสุขกับเขามาจนเกือบ 4 ปี พวกเขามีบุตร 1 คน เป็นบุตรชาย แต่หลังสมรสมาได้ 4 ปี โอโซโนะก็ล้มป่วยและตายจากไป

ในคืนหลังเสร็จงานศพโอโซโนะแล้ว บุตรชายตัวน้อยของนางพูดขึ้นว่า แม่กลับมาแล้ว และกำลังอยู่ในห้องชั้นบน นางยิ้มให้เขา แต่ไม่ยอมพูดกับเขา เขาจึงกลัวแล้ววิ่งเตลิดไป ครั้นแล้ว สมาชิกบางคนในครอบครัวก็ขึ้นชั้นบนไปยังห้องที่เคยเป็นของโอโซโนะ และก็ต้องแตกตื่นที่ได้เห็นร่างของหญิงมารดาผู้วายชนม์ด้วยแสงจากตะเกียงดวงน้อยที่จุดไว้หน้าศาลบูชาภายในห้องนั้น นางปรากฏตัวเหมือนกำลังยืนอยู่หน้า ทันซุ หรือตู้ลิ้นชัก ที่ยังบรรจุเครื่องประดับและเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางไว้ ยังมองเห็นศีรษะและบ่าของนางได้อย่างชัดเจนยิ่ง ทว่า รูปร่างตั้งแต่บั้นเอวลงไปนั้นเลือนรางจนมองไม่เห็น เป็นประหนึ่งภาพสะท้อนที่ไม่สมบูรณ์ของนาง และฝ้าฟางราวกับเงาในน้ำ

ดังนั้น ผู้คนต่างพากันตื่นกลัวและออกจากห้องไป พวกเขาประชุมปรึกษากันอยู่ด้านล่าง และแม่สามีของโอโซโนะว่า "ผู้หญิงนั้นชอบสิ่งของชิ้นเล็กชิ้นน้อยของตน และโอโซโนะก็ผูกพันอยู่กับข้าวของของนางนัก บางทีนางกลับมาก็เพื่อมาดูข้าวของเหล่านั้น คนตายแล้วหลายคนก็กระทำเช่นนั้น จนกว่าสิ่งของนั้นจะถูกมอบให้วัดประจำอำเภอไป ถ้าเรานำเสื้อคลุมและรัดประคดของโอโซโนะไปถวายวัด วิญญาณนางคงจะสงบได้กระมัง"

จึงตกลงกันว่า จะดำเนินการเรื่องนี้โดยเร็วที่สุดที่พึงกระทำได้ ดังนั้น ในเช้าวันถัดมา ลิ้นชักจึงถูกโละ และเหล่าเครื่องประดับกับเสื้อผ้าของโอโซโนะก็ถูกนำไปยังวัด แต่คืนต่อมานางกลับมาและเฝ้ามองที่ตู้ลิ้นชักเหมือนเคย และในคืนถัดมา และในคืนหลังจากนั้น และทุก ๆ คืน นางก็ยังกลับมาอีก และแล้ว เรือนแห่งนั้นจึงกลายเป็นเรือนแห่งความหวาดหวั่น

แม่สามีของโอโซโนะจึงไปยังวัดประจำอำเภอ และแจ้งหัวหน้านักบวชถึงสิ่งทั้งปวงที่เกิดขึ้น พร้อมขอคำปรึกษาเกี่ยวกับภูตผี วัดแห่งนั้นเป็นวัดเซน และประธานนักบวชเป็นบุรุษสูงวัยและคงแก่เรียน ซึ่งเป็นที่รู้จักกันว่า ไดเง็งโอโช ท่านว่า "จะต้องมีบางสิ่งบางอย่างที่นางเป็นห่วงอยู่ อยู่ในหรือใกล้กับตู้ลิ้นชักนั้น" "แต่ลิ้นชักก็โล่งหมดแล้วนะเจ้าคะ" แม่เฒ่าตอบ "ไม่มีอะไรเหลือในตู้ลิ้นชักแล้วเจ้าค่ะ" "งั้น" ไดเง็งโอโชว่า "คืนนี้ อาตมาจะไปยังเรือนโยม และจับตาดูในห้องนั้น แล้วค่อยมาดูกันว่า จะทำอันใดได้บ้าง โยมต้องสั่งห้ามทุกคนเข้าไปในห้องนั้นระหว่างที่อาตมาเฝ้าดูอยู่ จนกว่าอาตมาจะเรียก"

หลังตะวันลับฟ้า ไดเง็งโอโชจึงไปยังเรือนนั้น และพบว่า ห้องได้รับการจัดเตรียมไว้พร้อมสรรพสำหรับท่านแล้ว ท่านอยู่ที่นั่นตามลำพัง พลางอ่านพระสูตร และไม่มีสิ่งใดปรากฏเลย จนกระทั่งพ้นมุสิกยาม[1] และแล้ว ในทันใด ร่างของโอโซโนะก็เลือนเข้ามาอยู่หน้าตู้ลิ้นชัก ใบหน้าของนางดูละห้อย และนางเอาแต่จ้องสายตาไปยังตู้ลิ้นชักนั้น

ท่านนักบวชเปล่งบทสวดศักดิ์สิทธิ์ซึ่งบัญญัติไว้สำหรับกรณีเช่นนั้น และแล้ว จึงกล่าวโดยเรียกขานร่างนั้นด้วยไคเมียว[2] ของโอโซโนะว่า "อาตมามาที่นี่เพื่อช่วยเหลือสีกา บางทีในตู้ลิ้นชักนั้นจะมีอะไรบางอย่างที่เป็นเหตุให้สีการู้สึกเป็นห่วง ขอให้อาตมาได้ลองค้นหาออกมาให้สีกาเถิดหนา" ร่างนั้นดูจะให้ความยินยอมด้วยการสั่นศีรษะเบา ๆ และนักบวชจึงลุกขึ้นไปเปิดลิ้นชักบนสุด มันว่างเปล่า ท่านจึงไล่เปิดลิ้นชักชั้นที่สอง ที่สาม และที่สี่ โดยค้นหาอย่างถี่ถ้วนไปตามด้านหลังและด้านใต้ลิ้นชักเหล่านั้น ท่านยังตรวจตราด้านในหีบอย่างถ้วนถี่ ก็หาพบอันใดไม่ แต่ร่างนั้นก็ยังคงจ้องมองด้วยความละห้อยเหมือนก่อน "นางจะประสงค์อันใดหนอ" นักบวชใคร่ครวญ ทันใดท่านก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า น่าจะมีอะไรซ่อนอยู่ใต้แผ่นกระดาษที่ใช้บุลิ้นชัก จึงนำแผ่นบุลิ้นชักชั้นแรกออก — ก็ไม่มีอะไร! ท่านจึงเอาแผ่นบุลิ้นชั้นชั้นที่สองและที่สามออก — ก็ยังไม่มีอะไร แต่ใต้แผ่นดินลิ้นชักชั้นล่างสุดนั้น ท่านพบบางสิ่ง — เป็นจดหมาย "นี่ใช่ไหมสิ่งที่สีกาเป็นทุกข์ร้อนอยู่ด้วย" ท่านถาม เงาของหญิงนั้นหันมาทางท่าน สายตาอันพร่าเลือนของนางมองจ้องจดหมายนั้น "ให้อาตมาเผามันทิ้งให้ไหม" ท่านถาม นางโค้งคำนับต่อท่าน "จะเผามันทิ้งที่วัดในเช้านี้เลย" ท่านสัญญา "และจะไม่มีใครได้อ่านมัน นอกจากตัวอาตมา" ร่างนั้นยิ้มแล้วอันตรธานไป

เมื่อนักบวชลงบันไดมาพบเหล่าสมาชิกครอบครัวกำลังรอคอยอยู่เบื้องล่างอย่างเป็นกังวล ฟ้าก็สางพอดี "ไม่ต้องวิตกกันแล้ว" ท่านกล่าวแก่พวกเขา "นางจะไม่ปรากฏกายอีกแล้ว" และนางก็ไม่มาอีก

จดหมายถูกเผาทิ้ง มันเป็นจดหมายรักที่โอโซโนะเขียนในครั้งที่นางเล่าเรียนอยู่ ณ เคียวโตะ ทว่า มีแต่ท่านนักบวชเท่านั้นรู้ว่า ในจดหมายมีอะไร และความลับก็ดับสูญไปกับท่าน


  1. ตามวิธีนับยามแบบญี่ปุ่นโบราณ มุสิกยาม (เนะโนะโกกุ) คือ ชั่วโมงแรก ตรงกับช่วงเวลาระหว่างเที่ยงคืนของเรากับ 2 นาฬิกาเช้า เพราะแบบญี่ปุ่นโบราณนั้น แต่ละชั่วโมงจะเท่ากับ 2 ชั่วโมงแบบสมัยใหม่
  2. ไคเมียว คือ ชื่อในทางพุทธศาสนาซึ่งตั้งขึ้นหลังจากตายแล้ว หรือชื่อทางศาสนา อันมอบให้แก่ผู้ตาย เมื่อพูดกันโดยเคร่งครัดแล้ว ความหมายของคำนี้ คือ ศีลนาม (ดูงานเขียนของข้าพเจ้าที่ชื่อ "เดอะ ลิเทอเรเจอร์ ออฟ เดอะ เดด" ใน เอ็กโซทิกส์ แอนด์ เรโทรสเปกทีฟส์)