งานแปล:ไคดัง: เรื่องเล่าขานและการศึกษาเกี่ยวกับสิ่งประหลาด/บทที่ 8

  • มูจินะ
มูจินะ[1]


ที่ถนนอากาซากะในโตเกียว มีเนินแห่งหนึ่งชื่อ คิอิโนะคูนิซากะ ซึ่งแปลว่า เนินแห่งมณฑลคิอิ ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า เหตุใดมันจึ่งได้ชื่อว่า เนินแห่งมณฑลคิอิ ที่เนินนี้ด้านหนึ่ง ท่านจะเห็นคูโบราณอันลึกและกว้างนักหนา มีตลิ่งสูงสีเขียวชะอุ่มขึ้นไปจนถึงอุทยานบางแห่ง ส่วนอีกด้านหนึ่งของถนนนั้นมีกำแพงราชวังสูงตระหง่านทอดยาวไป ก่อนถึงยุคที่มีตะเกียงตามถนนและมีรถลากรับจ้าง ละแวกนี้พอมืดค่ำแล้วก็เปล่าเปลี่ยวเหลือใจ และคนเดินถนนที่กลับบ้านดึกนั้นจะยอมเดินเลี่ยงออกไปหลายไมล์ มากกว่าจะขึ้นเนินแห่งมณฑลคิอินั้นหลังตะวันตกดินแล้ว

ทั้งนี้ก็เพราะเคยมีมูจินะตัวหนึ่งสัญจรอยู่ตรงนั้น

ชายคนสุดท้ายที่ได้เห็นเจ้ามูจินะ เป็นพ่อค้าชราคนหนึ่งแห่งย่านเคียวบาชิ ซึ่งตายไปสัก 30 ปีที่แล้วได้ ต่อไปนี้คือเรื่องราวตามที่เขาผู้นั้นเล่ามา

คืนหนึ่ง ในยามดึกดื่น ขณะที่เขากำลังกระวีกระวาดขึ้นเนินแห่งมณฑลคิอิ เขาก็เห็นหญิงผู้หนึ่งคุดคู้อยู่ริมคูเพียงลำพัง พลางคร่ำครวญอย่างขมขื่น ด้วยหวั่นเกรงว่า นางตั้งใจจะกระโจนน้ำตาย เขาจึงแวะให้ความช่วยเหลือหรือปลอบโยนอย่างใด ๆ ก็ตามที่อยู่ในวิสัยของเขา นางผู้นั้นดูเป็นคนบอบบางและอ่อนช้อย ทั้งยังแต่งองค์ทรงเครื่องงดงาม ส่วนผมของนางนั้นก็จัดแต่งเยี่ยงผมเผ้าของหญิงสาวตระกูลผู้ดี "แม่หนู"[2] เขาอุทานพลางเข้าไปใกล้นาง "แม่หนู อย่าร้องไห้เช่นนั้นเลย! . . . บอกตาเถิด เป็นทุกข์อันใด และถ้ามีทางใดที่ตาจะช่วยเจ้าได้ ตาก็ยินดีช่วย" (เขาหมายความตามที่พูดนั้นจริง ๆ เพราะเขาเป็นคนจิตใจดียิ่งนัก) แต่นางก็ยังคร่ำครวญต่อไป โดยเอาชายเสื้อยาวเฟื้อยปิดบังใบหน้าตนไว้มิให้เขาเห็น "แม่หนู" เขากล่าวขึ้นอีกอย่างละมุนละม่อมเท่าที่จะกระทำได้ "โปรดเถิด ได้โปรดฟังตา! . . . นี่มิใช่ที่ที่หญิงสาวจะมาอยู่ในยามค่ำมืด! อย่าร้องเลย ตาขอล่ะ! เพียงแต่บอกมาว่า ตาจะช่วยอะไรเจ้าได้บ้าง!" นางลุกขึ้นช้า ๆ แต่หันหลังให้เขา แล้วร้องร่ำคร่ำครวญอยู่หลังชายเสื้อต่อไป เขาจึงวางมือลงบนไหล่นางอย่างเบา ๆ และวิงวอนว่า "แม่หนูเอ้ย! แม่หนู! แม่หนู! . . . ฟังตาเถิดหนา สักประเดี๋ยวก็ได้! . . . แม่หนู! แม่หนู" . . . และแล้ว แม่หนูผู้นั้นก็หมุนตัวมา และเอาชายเสื้อลง แล้วใช้มือลูบใบหน้าของตน — และชายคนนั้นก็เห็นว่า นางหามีตา หรือจมูก หรือปากไม่ แล้วเขาก็ร้องลั่นและวิ่งหนีไป

เขาวิ่งขึ้น ๆ ไปบนเนินแห่งมณฑลคิอิ และทุกสิ่งเบื้องหน้าก็ล้วนมืดมิดและว่างเปล่า เขาวิ่งไป ๆ ไม่กล้าหันกลับไปมอง และในที่สุดเขาก็เห็นโคมไฟดวงหนึ่งอยู่ไกลลิบจนดูคล้ายแสงหิ่งห้อย และเขาก็ตามมันทัน ปรากฏว่า มันเป็นแต่โคมของคนเร่ขายโซบะ[3] ซึ่งตั้งร้านอยู่ริมถนน แต่หลังจากพบเจอเรื่องเหล่านั้นแล้ว แสงใด ๆ และได้มีมนุษย์คนใด ๆ อยู่เป็นเพื่อน ก็ดีทั้งนั้น แล้วเขาก็ถลาลงแทบเท้าคนขายโซบะ พลางร้องออกมาว่า "แฮก! แฮก!! แฮก!!!" . . .

"ท่าน ๆ!"[4] ชายขายโซบะร้องห้วน ๆ "นี่! เป็นอะไรเล่าท่าน? โดนใครทำร้ายมาหรือไร?"

"เปล่า ไม่มีใครทำร้ายข้าดอก" อีกคนหอบ "แค่ . . . แฮก ๆ!" . . .

"แค่ทำให้ท่านตกใจ?" คนค้าเร่ถาม น้ำเสียงเย็นชา "โจรหรือ?"

"มิใช่โจรดอก มิใช่โจร" ชายผู้ขวัญหายพูดหอบ . . . "ข้าเห็น . . . ข้าเห็นหญิงคนหนึ่งที่ริมคู แล้วนางให้ข้าดู . . . อ๊า! บอกไม่ถูกเลยว่า นางให้ข้าดูอะไร!" . . .

"เห! นางให้ท่านดูอะไรแบบนี้หรือเปล่า?" ชายขายโซบะร้อง พลางลูบหน้าตนเอง ซึ่งในทันใดก็กลายเป็นเหมือนไข่กลมเกลี้ยง . . . และแสงสว่างก็วับดับไปพร้อมกัน


  1. "มูจินะ" ในภาษาเก่าหมายถึง ตัวทานูกิ ในภาษาปัจจุบันหมายถึง ตัวแบดเจอร์ญี่ปุ่น ดู Mujina (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)
  2. โอโจจู ("แม่หญิงผู้ทรงเกียรติ") เป็นคำเรียกขานแบบสุภาพ ใช้พูดกับสตรีผู้เยาว์ซึ่งเราไม่รู้จัก
  3. โซบะ คือ อาหารทำจากบักวีต บางทีดูคล้ายหมี่
  4. คำว่า "โคเระ" ใช้เรียกใครหรืออะไรก็ตามที่อยู่ใกล้ ๆ และในภาษาเก่า ยังเป็นสรรพนามบุรุษที่หนึ่งหรือที่สองก็ได้ ดู これ (เชิงอรรถของวิกิซอร์ซ)