จดหมายเหตุเรื่องทูตไทยไปประเทศอังกฤษ/ตอนที่ 4

ตอนที่ ๔ ว่าด้วยราชทูตไปจากเมืองปอร์ดสมัท ถึงเมืองลอนดอน แลดูการเล่นต่าง ๆ

แก้ไข

วันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เวลาเช้า ๕ โมง มิศเตอร์เฟาล์จึงเชิญพวกราชทูตขึ้นรถเทียมม้าไปที่รถไฟ แล้วเชิญพระราชสาส์นแลทูตานุทูตกับสิ่งของเครื่องราชบรรณาการทั้งปวงขึ้นรถไฟต่อไป หนทางแต่เมืองปอรด์สมัทเปนท่าขึ้นจนถึงเมืองลอนดอน เปนทาง ๙๔ ไมล์ครึ่ง คือ ๔๒๕๒ เส้น เวลาบ่าย ๒ โมงถึงเมืองลอนดอน (๑) มีทหารขี่ม้าถือดาบมาคอยรับอยู่ ๓๒ คู่ เจ้าพนักงานจัดรถมาคอย รับ ๕ รถ เทียมม้ารถละคู่ แต่เปนรถอย่างดี ๒ รถ รถที่ ๑ ราชทูตอุปทูตนั้น มีสักหลาดคลุมหน้ารถ ปักไหมทองเปนตรา พระจอมเกล้า ที่ประตูรถเขียนเปนธงช้างเผือก มีคนแต่งตัวใส่หมวก ติดสายแถบทองยืนท้ายรถคนหนึ่ง รถที่ ๒ ตรีทูตกับหม่อมราโชไทย มีสักหลาดคลุมหน้ารถปักไหมเงินเปนตราพระจอมเกล้าที่ประตูเขียนธงช้างเผือก มีคนแต่งตัวยืนท้ายรถคนหนึ่งเหมือนกัน (๒) แต่รถนอกนั้นเปนรถธรรมดา พวกราชทูตขึ้นรถพร้อมกันแล้ว คนขับรถก็ขับม้า พาไปส่งถึงโฮเต็ล ๆ ที่ราชทูตอยู่นั้น ชื่อกลาริชโฮเต็ล เปนที่ดีอยู่ในเมืองลอนดอน ไม่มีโฮเต็ลอื่นดีขึ้นไปกว่านี้

รุ่งขึ้นวันศุกร เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เวลาเช้า ๔ โมง เลอรด์แชงบัน เปนที่ ๒ รองเลอรด์กลาเรนดอนมาเยียนราชทูต ไถ่ถามทุกข์สุขแล้วก็กลับไป บ่ายโมงหนึ่งราชทูตทั้ง ๓ หม่อมราโชไทย จมื่นราชามาตย์ นายพิจารณ์สรรพกิจ พร้อมกันขึ้นรถ ๓ รถไปหาเลอรด์กลาเรนดอน ซึ่งเปนผู้สำเร็จราชการข้างฝ่ายต่างประเทศ พูดจา ปราไสกันตามธรรมเนียมแล้ว ราชทูตก็ลามาโฮเต็ล พอบ่าย ๕ โมง เลอรด์กลาเรนดอนมาเยียนราชทูตแล้วบอกว่า ถ้าท่านจะไปเที่ยวดู บ้านเมืองแลขอสิ่งใด ๆ ข้าพเจ้ามิศเตอร์เฟาล์ไว้ว่า ให้พาไปเที่ยวดูตามชอบใจ (๓)

ครั้นเวลาค่ำ มิศเตอร์เฟาล์เชิญให้พวกราชทูตไปดูละคอน (๔) ละคอนเหล่านั้นเล่นเรื่องอังกฤษรบกับพวกแขก แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งออกมาขี่ม้า แต่แรกนั่งขี่ก่อน แล้วก็ขับให้ม้าห้อวิ่งวงไปในสังเวียน พอม้าห้อเต็มฝีเท้าหญิงนั้นจึงลุกยืนขึ้นเมื่อกำลังม้าห้อมิได้หยุด แล้วยืนแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อเก่าออกทิ้งเสียใส่เสื้อใหม่ บางทีก็ยืนบนหลังม้าเท้าเดียว แล้วเต้นเปนฝรั่งรำเท้า เปลี่ยนท่าทางยักเยื้องต่าง ๆ บนหลังม้าเมื่อกำลังห้อ บางทียืนเอนตัวลงมาข้างม้าดูเหมือนจะตกแต่ว่าไม่ตก อาน ที่ขี่ทำเหมือนแผ่นกระดาษแล้วจึงหุ้มผ้า ครั้นหญิงนั้นขี่สิ้นกระบวนแล้ว ก็คืนเข้าโรง ชายคนหนึ่งจึงเปลี่ยนม้าตัวอื่นขี่ออกมา ให้ม้ารำเท้าก้าวข้างละ ๒ ทีเหมือนอย่างท่าคนที่รำเท้า ถ้าคนขี่เงยหน้า ม้าก็เงยหน้าขึ้นด้วย คนก้มลงม้าก็ก้มตาม คนเอนตัวไปซ้ายแลขวาม้า ก็เอนตัวไปตาม แต่ทำท่าทางยักย้ายหลายอย่างแล้วจึงลงจากหลังม้าม้าก็วิ่งกลับไปจะเข้าโรง เมื่อม้าจะเข้าโรงมีชาย ๒ คนยกไม้คนละข้างสูงพ้นดินประมาณ ๒ ศอกคืบขวางหน้าม้าไว้ ม้าก็กระโดดข้ามไม้เข้าในโรง แล้วมีหญิงคนหนึ่งขี่ม้าตัวอื่นออกมาทำท่าทางนั่งบ้างยืนบ้าง ผิดกันกับหญิงคนก่อนหลายอย่าง แล้วก็กลับเข้าโรง ยังมีชายอีก ๒ คนขี่ม้าคู่เคียงกันออกมา แล้วขับม้าให้ห้อขนานหน้าเสมอกันไปแล้วเอามือเกี่ยวกันลุกขึ้นยืนรำเท้าบนหลังม้า บางทีคนหนึ่งขี่ทั้ง ๒ ตัว เท้าซ้ายยืนบนหลังม้าตัวนี้ เท้าขวายืนบนหลังม้าตัวโน้น อีกคนหนึ่งขึ้นไปหกคเมนบนศีร์ษะ บางทีคนหนึ่งยืนเหยียบเข่าคนหนึ่งไว้แล้วทำเอนตัวออกไปข้างม้า บางทีกระโดดเปลี่ยนท่าไปมาต่าง ๆ แต่ม้า นั้นห้ออยู่เสมอมิได้หยุดจนสิ้นกระบวนแล้วก็กลับเข้าโรง ยังมีชาย คนหนึ่งขี่ม้าหลังเปล่าออกมาขับม้าให้ห้อไป แล้วจึงลุกขึ้นยืนบ้าง นั่งลงบ้าง หันหลังขี่บ้าง บางทีเท้าซ้ายเหยียบศีร์ษะม้า เท้าขวาเหยียบไหล่ บางทีห้อไปแล้วมีคนถือห่วงขวางหน้าอยู่ คนที่ขี่ม้าก็โดดลอดห่วง แล้ว กลับไปยืนบนหลังม้าได้ดังเก่า บางทีก็ทำพลัดตก แต่ลงมายืนอยู่ หาได้เจ็บช้ำไม่ แล้วกระโดดขึ้นขี่อีกในขณะม้ายังกำลังห้อมิได้หยุด บางทีเอาผ้าแพรให้คนยืนถืออยู่ ๒ ข้างเปน ๓ ระยะ เมื่อม้าห้อไปถึงแพรที่ขวางอยู่คนนั้นก็กระโดดข้ามได้ทุกระยะ ทำต่าง ๆ เปนน่าอัศจรรย์นัก แล้วก็คืนเข้าโรง ยังมีชายอิกคนหนึ่ง ชื่อมิศเตอกุ๊ก เปนคนชำนาญในการหัดม้า แต่อายุยังไม่ถึง ๓๐ ปี มือถือแส้อันหนึ่ง เดินนำหน้า ม้าเดินตามหลังออกมา แล้วว่าให้ม้าเดิน ๒ เท้า ม้าก็เดิน ตามคำ ว่าให้ม้านั่งลง ม้าก็นั่งตามสั่ง ว่าให้ม้านอน ม้าก็ ลงนอนตะแคงนิ่งอยู่ ชายตลกคนหนึ่งวิ่งเข้าไปนอนในหว่างอกม้า แล้วยกเท้าม้าให้กอดตัวไว้ ม้าก็ทำตามทุกอย่าง คนตลกนั้นจึงลุกขึ้น แต่ม้ายังนอนอยู่ มิสเตอกุ๊กจึงสั่งม้าว่า ลุกขึ้นเถิด ม้าก็ลุกยืนขึ้น ชายตลกจึงพูดกับมิศเตอกุ๊กว่า ถ้าท่านดีแล้วจงว่าม้ากลับเข้าโรง ให้ได้เถิด เราจะห้ามไว้ให้หยุด มิศเตอกุ๊กจึงว่าดีแล้ว ๆ จึงร้องสั่ง ม้าว่ากลับไปโรงเถิด ม้าก็วิ่งไปตามสั่ง เมื่อม้าวิ่งไปถึงประตูโรง ชายตลกจึงร้องว่าอย่าเข้าไป ม้าก็หยุดชงักอยู่ มิศเตอกุ๊กจึงเรียก ม้าให้กลับมาลูบหน้าลูบหลังแล้วว่ากลับไปโรงเถิด ม้าก็วิ่งกลับไปอิก คนตลกก็ห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง แล้วจึงว่ากับมิศเตอกุ๊กว่า ท่านให้ไป เถิดคราวนี้เราไม่ห้ามแล้ว มิศเตอกุ๊กก็สั่งให้ม้ากลับไป ม้าก็วิ่งเข้าโรง พวกคนชายหญิงไปดูอยู่ที่นั้นประมาณ ๕๐๐ เศษ ก็ชอบใจตบมือขึ้น พร้อมกัน (๕)

ที่ในเมืองอิงแคลนด์มีละคอนอยู่หลายแห่ง ล้วนวิเศษต่าง ๆ กันบางเรื่องมีหญิงรูปงามแต่งเปนเทวดาฝรั่งเหาะเลื่อนลอยมา แต่ไม่เห็น สิ่งใดเปนสายใยยนต์ที่คนจะอาศรัยได้ ดูเลื่อนลอยมาแต่กาย บางที ก็ออกมาจากภูเขา บางทีผุดขึ้นมาจากดิน บรรดาคนที่แต่งเปนเทวดาล้วนมีรัศมีออกจากกายสิ้นทั้งนั้น พวกราชทูตดูอยู่ประมาณ ๒ ยาม ละคอนเลิกก็พากันกลับมาที่สำนัก

รุ่งขึ้น ( ณวันเสาร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๔ ค่ำ ) มิศเตอร์เฟาล์จัดรถ ๕ รถให้ราชทูตทั้งนายแลไพร่รวม ๒๗ คน ไปเที่ยวดูสัตว์ที่ขังเลี้ยงไว้ในสวน คือสัตว์ ๔ เท้า สัตว์ ๒ เท้า งูแลปลาหอยต่าง ๆ หลายพันอย่าง บางอย่างก็เหมือนสัตว์ที่มีอยู่ในประเทศไทย บางอย่างก็ ผิดกันไม่เคยได้พบเห็น เปนต้นว่าราชสีห์แลสัตว์อื่นใหญ่บ้างเล็กบ้าง ถ้าสัตว์มีกำลังดุร้ายก็ขังไว้ในคอกทำด้วยเหล็ก เปนสัตว์เชื่องก็ขังไว้ไนคอกทำด้วยไม้ เปรจรเข้แลสัตว์น้ำอย่างอื่นที่ใหญ่ก็ใส่ไว้ในสระเปนปลาเปนหอยก็ใส่ไว้ในอ่างแก้ว เปนงูหรือสัตว์เล็ก ๆ ที่คล้ายกับ กิ้งก่าก็ใส่ไว้ในตู้กระจก เปนนกก็ใส่กรง ถ้านกใหญ่เหมือนนกตะกรุม นกเรียนแลนกอื่น ๆ อิก ที่ใหญ่ก็ตัดขนปีกเสียไม่ให้บินได้ แล้ว ปล่อยเที่ยวเดินอยู่ในคอก เปนวานรเปนค่างบ่างชนี ก็ใส่ไว้ในกรง เหล็ก ราชทูตเที่ยวดูจนอยู่จนค่ำ แล้วกลับมาโฮเต็ล (๖)

วันอังคาร เดือน ๑๒ แรม ๒ ค่ำ พวกราชทูตไปดูเรือกลไฟต่อด้วยเหล็กพึ่งจะแล้ว เรือลำนี้ใหญ่โตนัก (๗) ยาว ๖๙๑ ฟิต คือ ๕ เส้น ๖ วาคืบ ๓ นิ้วกับ ๓ กระเบียด กว้าง ๑๑๘ ฟิต คือ ๑๘ วาคืบกับ ๒ กระเบียด สูง ๕๔ ฟิต คือ ๘ วาศอก ๔ นิ้ว กับ ๒ กระเบียด มีท่อ ( ปล่อง ) ไฟ ๕ ท่อ เสากระโดง ๖ เสามีทั้งจักรท้ายจักรข้าง ในลำนั้นกั้นเปนห้องเล็กห้องใหญ่มีอุโมงค์เดินไปแต่ท้ายตลอดศีร์ษะ ดาดฟ้า ๔ ชั้นทำด้วยเหล็ก แล้วเอา ไม้ทาบข้างบน เจ้าของเรือบอกว่าจะบรรทุกคนได้สัก ๑๐,๐๐๐ พร้อมทั้งสเบียงอาหารด้วย แต่กำปั่นลำนี้มิใช่กำปั่นรบ ต่อไว้รับจ้างคนที่ จะไปธุระแลเที่ยวเล่นต่างบ้านต่างเมือง เปนกำปั่นกุมปนี ราชทูตดูกำปั่นแล้ว มิศเตอร์เฟาล์ก็นำไปดูอุโมงค์ใต้น้ำ(เทมส์)ในอุโมงค์นั้นยาว ๒,๐๐๐ ฟิต คือ ๑๕ เส้น ๗ วาศอกกับ ๔ นิ้ว กว้าง ๔๐ ฟิต คือ ๖ วากับ ๑๔ นิ้ว ลึกแต่ปากอุโมงค์จนถึงพื้นล่าง ๗๖ ฟิต คือ ๑๑ วา ๒ ศอกกับ ๕ นิ้ว ทำเปน ๒ ทาง ๆ หนึ่งเปนทางรถ อิกทางหนึ่งเปนทางคนเดิน ตามริมทางขายของเล่น ของกินต่าง ๆ ดูสนุก สว่างแจ้งด้วยแสงไฟก๊าด คนเดินไปมามิได้ขาด อนึ่งเรือกลไฟที่ขึ้นล่องอยู่ในแม่น้ำ ถ้ามาถึงตรงนั้นคนที่อยู่ในอุโมงค์ก็รู้ ด้วยจักรพัดน้ำดังได้ยินถนัด พวกราชทูตเที่ยวซื้อของ เล่นอยู่ในอุโมงค์ จนเย็นแล้วกลับมาที่สำนัก

รุ่งขึ้น (วันพุธเดือน ๑๒ แรม ๓ ค่ำ) เวลายามหนึ่ง เลอรด์ มายอร์ ผู้สำเร็จราชการฝ่ายกรมเมืองเชิญราชทูตทั้ง ๓ ไปกินโต๊ะ มีขุนนางแลเศรษฐีกินโต๊ะด้วยกันประมาณ ๓๐๐ คน

วันพฤหัสบดี เดือน ๑๒ แรม ๔ ค่ำ มิศเตอร์เฟาล์มาแจ้งกับราชทูตว่า เลอรด์กลาเรนดอนให้หนังสือกำหนดมาว่า ราชทูตจะได้ เฝ้ากวีนณวันพุธ เดือน ๑๒ แรม ๑๐ ค่ำเวลาบ่ายโมงหนึ่ง ที่วังชื่อ วินด์เซอกาศตล์

วันจันทร์ เดือน ๑๒ แรม ๘ ค่ำเวลาเช้า เจ้าพนักงานชื่อมิศเตอร์ นอมันแมกโดแนลด์ มาทำบาญชีแล้วรับเครื่องราชบรรณาการไปจากโฮเต็ล

รุ่งขึ้นราชทูต อุปทูต หม่อมราโชทัย ไปหาเลอรด์กลาเรน ดอนแลเลอรด์แชลบัน ไถ่ถามด้วยการที่จะเฝ้ากวีนนั้นจะทำประการใด เลอรด์กลาเรนดอนบอกว่า กวีนรับสั่งว่า แต่ก่อนราชทูตไทยยังไม่เคย มีมาถึงเมืองอังกฤษเลย ด้วยเปนเมืองไกลกัน ครั้งนี้มีราชทูตมาถึงกวีนยินดีนัก อยากจะได้เห็นธรรมเนียมไทยที่เฝ้าแลคำนับในพระเจ้าแผ่นดินนั้นทำประการใด ขอให้พวกราชทูตเฝ้าแลคำนับตามธรรมเนียมไทยเถิด พูดจาไถ่ถามได้ความเสร็จแล้วราชทูตก็ลากลับมาโฮเต็ล

ครั้นเวลาค่ำเลอรด์กลาเรนดอนมีหนังสือมาแจ้งแก่ราชทูตว่า เมื่อเวลาบ่ายพระญาติของกวีนคนหนึ่ง เปนเจ้าหญิงชื่อดัชเชสดินิมัส(๘)บังเกิดโรคเปนปัจจุบันขึ้น ถึงแก่กรรมในทันใด เดี๋ยวนี้กวีนมีความเศร้าโศกนัก การที่จะเสด็จออกรับราชทูตในวันพุธยังไม่ได้ ขอเลื่อน ไปอิกสัก ๘ วัน

วันศุกร เดือน ๑๒ แรม ๑๒ ค่ำ มิศเตอร์เฟาล์เชิญราชทูตไปที่โกโลเซียม (๙) เปนที่สำแดงให้เห็นว่า เย่าเรือนแม่น้ำแลถนนทั่วทั้ง เมืองลอนดอนนั้นเปนอย่างไร เมื่อพวกราชทูตไปถึงแล้ว เจ้าของที่จึง เชิญให้เข้านั่งในที่แห่งหนึ่ง นั่งได้ประมาณ ๑๖ คน แล้วหันจักรที่ นั้นก็ลอยขึ้นไปสูงประมาณ ๑๐ วา ครั้นถึงชั้นบนจึงให้ออกเดินดูตาม เฉลียงรอบโดยกลม แลเห็นเปนภูมิฐานเมืองลอนดอนกว้างใหญ่สุด สายตา มีถนนแลตึกบ้านร้านตลาดลำแม่น้ำเรือขึ้นล่อง ในเวลา กลางคืนจุดโคมสว่างไปทั้งทางบกทางเรือ ฝ่ายอากาศเบื้องบนก็มีดวง จันทร์รัศมีสว่างกระจ่างแจ้งเหมือนจริง ถ้าไม่มีคนบอกคนที่ดูก็จะสำคัญ ว่าจริง ด้วยแลดูเหมือนฟ้าแลดินที่ได้เห็นอยู่กับจักษุของตัว ไม่มี สำคัญสิ่งใดจะให้รู้ว่า เปนของทำด้วยฝีมือแลปัญญามนุษย์ ครั้นดู ทั่วแล้วก็เข้าในที่พร้อมกัน ใช้จักรกลับคืนลงมาดังเก่า มิศเตอร์เฟาล์จึงพาไปดูหนัง หนังนั้นวิเศษนัก ทำเปนบ้านเมืองข้างอินเดีย ดูบ้านเรือนป้อม ดูผู้คนถนนแม่น้ำภูเขาต้นไม้ใหญ่โต เหมือนจริง เมื่อเปลี่ยนตัวหนังก็ไม่ทันเห็นว่าเปลี่ยนกันอย่างไร ดู เปนน่าอัศจรรย์นัก ราชทูตอยู่จน ๔ ทุ่มเศษ หนังเลิกก็พากันกลับมา

ครั้นรุ่ง ( วันเสาร์เดือน ๑๒ แรม ๑๓ ค่ำ) เช้า ๓ โมง มิศเตอร์เฟาล์พาพวกราชทูตไปดูวังแก้ว ชื่อกฤษเตลแปเลศ ไปจากโฮเต็ลด้วยรถเทียมม้า ทาง ๒ ชั่วโมงเศษ ที่นั้นทำเปนเรือนแก้ว ๔ ชั้น ฝาแลหลังคาล้วนแล้วไปด้วยแก้ว แต่เสากับเครื่องบนทำด้วยเหล็ก สูง ๖๖ ฟิต คือ ๑๐ วากับ ๑๓ นิ้วกึ่ง กว้าง ๔๕๖ ฟิตคือ ๓ เส้น ๑๔ วาศอกกับ ๘ นิ้วกึ่ง ยาว ๑๘๔๘ ฟิต คือ ๑๕ เส้นกับ ๗ ศอก ๑๐ นิ้ว ข้างในทำเปนสวนปลูกต้นไม้ต่าง ๆ แล้วทำเปน รูปคนรูปสัตว์ไว้เปนอันมาก แลมีเครื่องกลไฟต่าง ๆ ไว้ดูเปนตัวอย่าง ราชทูตเที่ยวดูอยู่จนเวลาเย็น มิศเตอร์เฟาล์จึงให้จัดแจงอาหารเลี้ยงดู สำเร็จแล้วก็กลับมา

วันอังคาร เดือนอ้ายขึ้นค่ำ ๑ มิศเตอร์เฟาล์พาราชทูตไปที่โป ลิติกนิก ที่นั้นมีรูปกวีนแลปรินส์อาลเบิตกับลูกเธอ ทั้งชายทั้งหญิง ๙ องค์ มีรูปคนชาติอื่นก็หลายชาติ มีคนดำน้ำอด เดินในน้ำ หายใจในน้ำก็ได้ แต่ความข้อนี้ท่านผู้ฟังคงสงสัยว่าเปนความเท็จหาจริงไม่ ต่อเมื่อใดข้าพเจ้าผู้จดหมายเรื่องราวนี้ได้อธิบายให้ท่านแล้วจึงจะเห็นจริง ครั้นจะกล่าวไว้ในหนังสือนี้ก็ยืดยาวนัก ราชทูตของปลาด ทั่วแล้วก็กลับมาโฮเต็ล


(๑) ไปรถไฟพิเศษ รถสายตวันตกเฉียงใต้ ลงที่สถานีวอเตอลูเมืองลอนดอน

(๒) ทหารม้าฮุลซาที่ ๑๑ แห่ รถนั้นรัฐบาลให้ห้างแอลเดเบิตทำขึ้นใหม่

(๓) ในหนังสือพิมพ์อังกฤษว่า ในวันนี้ลอร์ดแมเมืองลอนดอนมาหาราชทูต ขอเชิญไปในการเลี้ยงที่แมนซันเฮาส์ ในการถวายพระแสงดาบแก่เจ้าดุ๊กออฟเคมบริดช์

(๔) ละคอนโรงนี้ชื่อ แอสตลี แอมฟีทีเอเตอ จัดให้ทูตนั่ดูในบอกส์หลวง

(๕) ผู้อ่านในสมัยนี้จะเข้าใจได้ว่าลักษณเล่นละคอนที่พรรณานี้คือเซอคัสละคอนม้านั้นเอง บางคนจะเห็นว่าตื่น พรรณาของจืด ๆ แต่ที่จริงสมัยนั้นเซอคัสยังไม่เคยมีมาทางประเทศนี้ เปนแรกที่ไทยจะได้เห็น ควรชมว่าพรรณาดี อ่านเข้าใจซึมซาบเหมือนกับตาเห็น

(๖) ในหนังสือพิมพ์อังกฤษว่า วันนี้เวลาเช้าราชทูตไปห้างคาราดช่างเครื่องเพ็ชร์พลอย บ่ายไปดูสวนเลี้ยงสัตว์ ค่ำไปดูละคอนโรงชื่อว่า ปรินซิสทิเอเตอ (ที่เจ้าพระยามหินทร ฯ เอาชื่อมาเรียกละคอนของท่าน) วันจันทร์ เดือน ๑๒ แรมค่ำ ๑ เช้าไปห้างเฮนค็อกช่างเครื่องเพ็ชร์พลอย ค่ำไปดูละคอนโรงชื่อโอลิมปิค

(๗) คือเรือลำชื่อ เครตอีสเติน

(๘) ดัชเชส เดอ นิมัว

(๙) วันนี้มีในหนังสือพิมพ์อังกฤษว่า ตอนเช้าไปห้างแมบปินบราเทอ ช่างทำเครื่องเงิน


 

งานนี้เป็นสาธารณสมบัติ เนื่องจากต้องด้วยหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗

  • (๑) เป็นภาพถ่าย โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์ สิ่งบันทึกเสียง หรืองานแพร่เสียงแพร่ภาพ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์ขึ้นครั้งแรก (หรือวันที่มีการเผยแพร่งานครั้งแรก) แล้วแต่ว่ากรณีใดปรากฏก่อน
  • (๒) เป็นงานศิลปประยุกต์ ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับยี่สิบห้าปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
  • (๓) เป็นงานโดยผู้ไม่เปิดเผยชื่อหรือผู้ใช้นามแฝง ที่มีอายุมากกว่าหรือเท่ากับห้าสิบปี นับแต่วันสร้างสรรค์หรือเผยแพร่ครั้งแรก
  • (๔) เป็นงานในหมวดหมู่อื่น ๆ ที่ไม่เข้าเกณฑ์ข้างต้น และผู้สร้างสรรค์คนสุดท้ายถึงแก่ความตายมากว่าห้าสิบปีแล้ว
  • (๕) เป็นกรณีที่ผู้สร้างสรรค์งานนี้ไม่ปรากฏ ผู้สร้างสรรค์งานนี้เป็นนิติบุคคล หรือตายก่อนการเผยแพร่งาน ประกอบกับงานนี้มีอายุอย่างน้อยห้าสิบปี นับแต่วันเผยแพร่งานครั้งแรก