จดหมายเหตุ เรื่อง เจ้าพระยาภูธราภัยยกกองทัพไปปราบฮ่อ/ตอนที่ 4

ตอนที่ ๔ เรื่อง เจ้าพระยาภูธราภัยยกกองทัพไปปราบฮ่อ

ข้าพเจ้า พระยาราชวรานุกูล ผู้ช่วยบรรณารักษ์ ขอเรียบเรียงรายการตามมีแต่ครั้งไปตีทัพฮ่อเมื่อณปีกุญ สัปตศก รัตนโกสินทรศก ๙๔ ข้าพเจ้ายังเปนที่พระสุริยภักดี เจ้ากรมตำรวจสนมทหารซ้าย ได้เข้ากองทัพไปกับท่านเจ้าพระยาภูธราภัยฯ ที่สมุหนายก บิดาข้าพเจ้า ซึ่งทรงพระมหากรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เปนแม่ทัพใหญ่ในคราวนั้น เมื่อวันกราบถวายบังคมลา แม่ทัพนายกองได้รับพระราชทานเสื้อผ้าโต๊ะกาถาดหมากคนโททองคำแลก้าไหล่กระบี่ฝักทองเงินแลลูกประคำทองสัปทนเสื้อประคตหมวกยศทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยโดยลำดับตามบรรดาศักดิ์ทั่วหน้ากัน ครั้นณวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีกุญ สัปตศก เวลาเที่ยงแล้ว ท่านเจ้าพระยาภูธราภัย แม่ทัพใหญ่ อาบน้ำชำระกาย เหยียบใบไม้ข่มนาม แต่งตัวเต็มยศ ได้ตำหรับพิไชยสงครามเต็มที่ พอถึงเวลาฤกษ์ ก็ลงเรือกระบี่ปราบเมืองมาร พระสุรินทร์ราชเสนี กับข้าพเจ้า นายทัพนายกอง ลงเรือโขนมีกันยานายละลำพร้อมคนพายนายไพร่พลทหารซึ่งต้องเกณฑ์เข้ากองทัพมารอคอยอยู่ที่ท้ายพระตำหนักน้ำตามหน้าที ถึงเวลาบ่ายโมง ๑ กับ ๔๘ นาที ได้มหามหุติฤกษมงคลสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินลงสถิตยในบรมราชานุอาสนณเรือพระที่นั่งปิกนิกทอดประทับท่าตรงหน้าพระที่นั่งชลังคณพิมาน เรือลำท่านเจ้าพระยาภูธราภัยเลื่อนเข้าเทียบเรือพระที่นั่ง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานน้ำสังข์ ทรงเจิม แลประสาทพระพรไชย พระราชทานซองบุหรี่ทองคำประดับเพ็ชรซองหนึ่งแก่เจ้าพระยาภูธราภัยฯ ให้โห่สามลา ถอยเรือพายออกพ้นหน้าพระที่นั่งไปเข้าโขลนทวาร แล้วยิงปืนในลำเรือกระบี่ ๖ นัดเปนกำหนด ขณะนั้น พระสุริยทรงกลดปราศจากเมฆ ในนภาลัยวิถี อสนีคำรนร้องส่งหลัง ดังจะบอกศุภนิมิตรให้เห็นได้ว่า คงมีไชยชนะฮ่อข้าศึกเปนแน่ ที่แท้ก็เพราะอำนาจพระบารมีบุญญาธิการพระราชกฤดาภินิหารแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งแผ่ไพศาลตลอดไปในนานาประเทศทั้งหลาย ฝ่ายพระยาสุรินทร์ราชเสนี แลข้าพเจ้า นายทัพนายกอง ก็ออกเรือตามไปเข้าโขลนทวาร พระสงฆ์สวดชยันโต พรมน้ำพระพุทธมนต์ แลพราหมณ์ซัดน้ำพิธีการทั้งนายไพร่ เรือเปนกระบวรกองทัพขึ้นไปถึงวัดเฉลิมพระเกียรติ เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ หยุดพัก เปลี่ยนกระบวรใหม่ พระยาสุรินทร์ ข้าพเจ้า นายทัพนายกอง ต่างเปลี่ยนเรือพายเปนเรือแจว คือ เรือแหวด เรือญวน เรือเป็ดบ้าง ตามกำลังพอไปได้ แต่ท่านเจ้าพระยาภูธราภัยฯ เปลี่ยนลงเรือกลไฟ ให้เรือกระบี่ตามไปภายหลัง เพื่อจะให้เปนเกียรติยศไว้ พักกองทัพอยู่ในที่นั้นคืนหนึ่ง รุ่งขึ้น เวลาเช้าย่ำรุ่งแล้ว ๔๐ นาที ออกเรือจากวัดเฉลิมพระเกียรติขึ้นไปตามลำแม่น้ำเจ้าพระยา ขอรวบรัดตัดระยะทางที่ยังไม่ควรกล่าว จะยืดยาวมากนัก ต่างพักผ่อนพลไพร่ไปตามระยะตามตำบลบ้านวัดหัวเมืองรายทาง เข้าปากน้ำโพแควแม่น้ำใหญ่ไป เรือกองทัพถึงเมืองพิไชยพร้อมกัน วันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีกุญ สัปตศก ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก มีบัญชาสั่งนายทัพนายกองปันหน้าที่ตั้งค่ายทำ ๆ เนียบที่พักบนบกตำบลสวนป่านเหนือบ้านพระยาพิไชย แล้วให้เรือกระบี่กลับลงมากรุงเทพมหานคร ให้ข้าพเจ้า กับนายพิไชยราชกิจ หลวงปลัดเมืองพิจิตร หลวงปลัดเมืองสังข พระณรงค์เรืองเดช เจ้าเมืองภูมิ์ เมืองขึ้นเมืองพิจิตร แลพระพลสงคราม เมืองอุทัยธานี แต่ยังเปนที่หลวงเทพอาญา กรมการ ไปก่อน คนในกองทัพข้าพเจ้า ขุนหมื่นไพร่ ๖๐ เศษ กับซายันกอปราล ทหารไปรเวต รวม ๒๗ คน กองพระพล เมืองอุทัย กรมการ ขุนหมื่นไพร่ ๓๐ เศษ กองพระณรงค์เรืองเดช หลวงปลัดเมืองพิจิตร กรมการ ขุนหมื่นไพร่ ๑๕๐ คน กองหลวงปลัดเมืองสังข ขุนหมื่นไพร่ ๓๐ คน รวมไพร่พลทั้งกองช้าง ๓๐๐ เศษ ครั้นณวันพุธ ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีกุญ สัปตศก เวลาเช้า ๔ โมง ๒๖ นาที ข้าพเจ้า แลตัวนายรายชื่อ เจ้าเมือง กรมการ ทหาร ขุนหมื่น ไพร่ ตามที่ได้กล่าวไว้แล้ว ยกออกจากค่ายเมืองพิไชยไปพักนอนบ้านนาคนึง รุ่งขึ้น เช้าโมงหนึ่งกับ ๑๕ นาที ยกไปนอนที่บ้านนาลับแลง แขวงเมืองตรอนตรีสิน เมืองขึ้นเมืองพิไชย พอเวลา ๑๑ ทุ่มครึ่ง ยกไปถึงบ้านปากคาเวลาย่ำค่ำ วันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ พักนอนคืนหนึ่ง รุ่งขึ้น เวลารุ่งแล้ว ๒๖ นาที ไปนอนห้วยฮิน ยกจากถิ่นที่นั้นเวลาสว่างแล้ว ๒๕ นาที ถึงปางแก้ว แขวงเมืองน้ำปาด เมืองขึ้นเมืองพิไชย เวลาเช้า ๔ โมงครึ่ง พักคืนหนึ่ง จ่ายสเบียงอาหารไพร่พลรับประทานเปนกำลังไป วันแรม ๓ ค่ำ เวลาเช้า ๒ โมง ๑๒ นาที ยกแต่ที่บางแก้ว พักนอนตำบลสองห้อง รุ่งเช้า เวลาโมงหนึ่งกับ ๔๐ นาที ยกไปนอนที่ห้วยเหล็กคืนหนึ่ง ห้วยลุคืนหนึ่ง ห้วยย่อตูมคืนหนึ่ง ตำบลปากปะคืนหนึ่ง น้ำป่วนคืนหนึ่ง ถึงเมืองวา เมืองขึ้นเมืองหลวงพระบาง วันเสาร์ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๑๒ พักเปลี่ยนช้างจ่ายสเบียงอาหารพอควรการแล้ว จนวันพุธ แรม ๑๓ ค่ำ ยกจากเมืองวาเวลาเช้าโมงหนึ่งกับ ๑๑ นาที ถึงบ้านนากลาง พักนอนคืนหนึ่ง ห้วยศาลาคืนหนึ่ง บ้านนาเลคืนหนึ่ง เขาขุนพรคืนหนึ่ง เมืองเพรียงสองคืน บ้านน้ำหุ่งคืนหนึ่ง ถึงท่าเดื่อ ลำแม่น้ำของ วันพฤหัสบดี ขึ้น ๕ ค่ำ เดือนอ้าย เวลาบ่าย ๕ โมง ๕๗ นาที รอคอยเรือเมืองหลวงพระบางซึ่งจะมารับขึ้นไป ยังไม่ลงมา คอยถ้าอยู่ที่ตำบลนั้น ได้เรือพอพร้อมกันจนวันพุธ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เวลาเช้า ๓ โมง ๓๘ นาที ออกเรือจากท่าเดื่อไป ถึงเมืองหลวงพระบางวันศุกร ขึ้น ๑๓ ค่ำ เดือนอ้าย ขึ้นอยู่ทำเนียบทำไว้รับกองทัพตำบลบ้านท้ายภูจอมสี คือ เขานี้สูงใหญ่อยู่กลางเมือง มีวัดแลพระเจดีย์อยู่ยอดเขา ข้าพเจ้าต้องรอช้าอยู่ที่เมืองหลวงพระบาง ด้วยเกณฑ์ช้างแลรวบรวมเสบียงอาหารจะรีบยกไปทำการรบฮ่อหาพอไม่ ทั้งรวบรวมคนในกองทัพพระยาพิไชยที่หนีกลับเข้ามาอยู่เมืองหลวงพระบาง เจ้าอุปราชเมืองน่านซึ่งคุมกองทัพก็ยกมารอค้างอยู่ ยังไม่ยกไป จำจะต้องชี้แจงการเก่าอิกหน่อยหนึ่ง จึงจะทราบได้โดยถ้วนถี่ เมื่อพระยาพิไชยกับเจ้านายพระยาแสนท้าวเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน ยกกองทัพออกไปตีทัพฮ่อณเมืองพวนครั้งก่อนนั้น เจ้านายท้าวพระยานายทัพนายกองไพร่พลเมืองน่าน เมืองหลวงพระบาง แตกล่าถอยกลับเข้ามาเมืองหลวงแลไปเมืองน่านทั้งสิ้น แต่พระยาพิไชย กับเจ้าเมือง ๆ ขึ้น กรมการผู้ใหญ่ ขุนหมื่น ไพร่ ที่ยังมีตัวอยู่บ้าง ตั้งขัดทัพอยู่บ้านสอด แขวงเมืองพวน ใกล้เขตรแดนเมืองหลวงพระบาง ฝ่ายเจ้าเมืองน่านจึงแต่งให้เจ้าอุปราชคุมพระยาลาวท้าวแสนไพร่พลกองทัพกลับมาใหม่ ในระหว่างนั้น ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แม่ทัพใหญ่ ยกกองทัพขึ้นไปตั้งฟังราชการอยู่ณบ้านปากลาย แล้วให้พระยาสุรินทรราชเสนีเปนแม่ทัพคุมพระหลวงทหารขุนหมื่นไพร่ฝ่ายพระราชวังบวร กับพระยากำแพงเพ็ชร์ แลพระหลวงกรมการขุนหมื่นไพร่กองเมืองพิษณุโลก เมืองสุโขทัย รวมคนในกองทัพพระยาสุรินทร์ ๑๐๐๐ เศษ ยกขึ้นไปตั้งรักษาอยู่เมืองหลวงพระบาง เกลือกข้าพเจ้ายกออกไปทำการแก่ฮ่อไม่ถนัดขัดขวางอย่างใด ข้าพเจ้าจะได้บอกมายังพระยาสุรินทร์ให้จัดการไปทันท่วงที

ซึ่ง ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แม่ทัพใหญ่ ไม่ยกกองทัพไปเมืองหลวงพระบาง ก็กลัวว่า เสบียงอาหารจะกันดารไม่มีพอเจือจ่ายเลี้ยงกัน ระยะทางเรือลำแม่น้ำของกองลำเลียงบรรทุกขนเข้าเสบียงส่งแต่บ้านปากลายขึ้นไปถึงเมืองหลวงพระบางโดยเร็วก็ ๑๑, ๑๒ คืน ไม่ทันการ กองลำเลียงทางบกขนเข้าบรรทุกช้างโคต่างตั้งแต่เมืองพิไชยขึ้นไปบ้านปากลายก็กว่า ๑๐ คืน หาใคร่จะพอรับประทานไม่ เมื่อพระยาสุรินทร์ยกขึ้นไปทางบกแต่บ้านปากลายถึงเมืองหลวงพระบางแล้ว เจ้านครหลวงพระบางลงมาณบ้านปากลาย ชี้แจงฟังราชการแก่ ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แลห้ามกองทัพใหญ่ไว้อย่าเพ่อให้ยกไป ก็เพราะเข้าเสบียงจะเปนที่ขัดขวาง เจ้านครหลวงพระบางมอบให้ข้าพเจ้ากับพระยาสุรินทร์รักษาบ้านเมืองอยู่พลาง รอจนเจ้าหลวงพระบางกลับไปถึงเมือง ข้าพเจ้าจึงรวบรวมเข้าเสบียงพอจะไปทำการได้ไม่ฝืดเคืองขัดสน จัดแบ่งคนในกองทัพเปนกองลำเลียงขนเข้าเสบียงใส่ยุ้งฉางซึ่งตั้งไว้ตามตำบลรายทางที่จะยกไป แลรวบรวมคนเมืองสวรรคโลกที่ล้าโขแลหนีกลับมาค้างอยู่ณเมืองหลวงพระบางหลายสิบคน ๆ เมืองสวรรคโลกนี้ พระยาสุโขทัย ยังเปนที่ปลัดเมืองสวรรคโลก เปนนายกองคุมกรมการ แลผู้ว่าราชการ กรมการเมืองขึ้น ขุนหมื่น ไพร่ ยกไปตั้งอยู่ด้วยพระยาพิไชยณบ้านสอด แขวงเมืองพวน ก่อนหน้า ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แม่ทัพใหญ่ ยังไม่ถึงเมืองพิไชยในสิบวัน ฝ่ายกองทัพเมืองหลวงพระบางนั้น เจ้านครหลวงพระบางให้เจ้าราชวงศ์ เดี๋ยวนี้ยังเปนที่ราชบุตร คุมเจ้าลาวเพี้ยแสนท้าวนายไพร่รวม ๘๐๐ เศษยกไปอยู่กับพระยาพิไชยแต่ก่อนแล้ว

ครั้นณวันพุธ ขึ้นค่ำหนึ่ง เดือน ๓ ปีกุญ สัปตศก เวลาบ่าย ข้าพเจ้าจุดธูปเทียนดอกไม้บูชาไหว้พระแลสวดมนต์ภาวนาคิดถึงคุณบิดรมารดาครูอุปัชฌาย์พระมหากระษัตริย์ผู้ทรงพระคุณธรรมอันพิเศษ จงช่วยป้องกันสรรพเหตุภยันตราย แล้วอาบน้ำพระพุทธมนต์ชำระกายเสร็จ สวมเสื้อยืดเสื้อเชิดชั้นใน สอดถุงเท้า นุ่งแพรพื้นสีวัน สวมเสื้อชั้นนอก คาดประคตแลสายกระบี่ติดห่วงห้อย สวมประคำทอง หมวกยอด แล้วออกนั่งคอยฤกษ์อยู่ณที่ว่างข้างหอนั่ง มีเตียงตั้งตามสมควรในที่พัก ผินหน้าสู่ทิศสิริมิให้ต้องผีหลวงหลาวเหล็กเทวาทิศมฤตยูราหูจรแลพระกาลพร้อม นายหมวดนายกองไพร่พลทหารแต่งตัวเต็มยศตามฐานานุศักดิ์ ณวันนั้น ฝนตกหนักตั้งแต่เวลาเช้าโมงเศษจนเที่ยง แล้วตกประปรายมาจนเวลาบ่าย จวนจะยกไปยังไม่หยุด มีลมว่าวเปนพยุพัดตรงทางที่จะยกทัพ อากาศเปนพยับทึบเมฆหมอกมืดคลุ้มชอุ่มมัวทั่วฟ้า เมื่อข้าพเจ้าออกนั่งคอยถ้าฤกษ์นั้น ฝนตกเปนลอองพออยู่ได้ ประการหนึ่ง ก็ใกล้เวลา ยังมีอิก ๑๕ นาทีจะสุดฤกษ์ แลลักขณาจรจากราศีซึ่งกำหนดไว้ ข้าพเจ้านึกเสียใจ ด้วยฤกษ์บนมิเปิดช่องให้ ได้แต่ฤกษ์ล่าง ฤกษ์ในก็ขัดขวางยังไม่สดวกดี จึงน้อมกายถวายบังคมลงมายังใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวณกรุงเทพมหานคร กระทำสัตยาธิษฐานเสี่ยงพระบารมีบรมโพธิสมภารว่า ถ้าพระองค์จะดำรงสิริรัตนราไชศวรรยาอยู่ช้านานถึงกาลสมัย มีพระราชเดชาศักดานุภาพปกคลุมคุ้มครองข้าขอบขัณฑเสมามณฑลทั่วสกลอาณาจักร แลเชิดชูพระเกียรติยศอยู่ปรากฎสืบไปเบื้องหน้าแล้ว ขอให้ฝนหาย หมดมืดมัว มีแสงแดดสว่าง บอกลางดีซึ่งจะมีไชย พอขาดคำลงชั่วอึดใจ ฝนหายขาดเม็ด เมฆเกลื่อนกระจายออก เห็นดวงพระอาทิตย์ถนัดเปนมหัศจรรย์ เวลานั้น บ่าย ๒ โมง ๑๘ นาที จวบจันทรกลาคล่องสดวกดี ทั้งลมนอกก็พัดเร่งกระพือเตือน ดูเหมือนจะส่งหลังไห้รีบไป ได้พร้อมด้วยฤกษ์ในบนล่าง ต้องตำหรับวางเปนอุดมโชคได้ ข้าพเจ้าชักกระบี่ออกจากฝัก ถือข้างมือซ้าย ย่างเท้าก้าวเดินโดยทิศศรีวัน ให้ลั่นฆ้องสามที ออกจากประตูที่พัก ขึ้นช้าง แล้วให้โห่สามลา เดินช้างตามเกล็ดนาคาก่อน จึงย้อนไปทางท่าฝาเฝือยลงข้ามลำน้ำคานขึ้นหน้าบ้านพานหลวง ออกประตูป่า พระสงฆ์สวดชยันโตซัดน้ำพระพุทธมนต์ให้นายไพร่ถ้วนทั่วทุกตัวคนทั้งช้างม้า ไปแต่ประตูป่าประมาณครู่หนึ่ง ฝนตกอิกมัวอับพยับแดดไม่ส่องแสงดูครึมเครือ ลมเหนือพัดกล้าเปนกำลัง ตั้งแต่นั้นไป ฝนตกมากบ้างน้อยบ้าง คราวเว้นว่างก็เปนลอองโปรยประปรายพร่ำเพรื่อถึง ๗ วัน ๗ คืนตลอดทาง ในระหว่างเมื่อพระอาทิตย์เปิดดวงล่วงพ้นประตูป่า จนฝนกลับตกมืดมัวใหม่ ข้าพเจ้า นายทัพนายกอง แลทหารไพร่พล ที่ยกไป เปนที่ยินดีชื่นบานสบายอิ่มเอิบกำเริบใจ คาดคเนนึกหมายได้ไชยชำนะฮ่อเปนมั่นคง ตัดทางเดินตรงออกท้องทุ่งถึงนาภูช้างเวลาบ่าย ๔ โมง ๕ นาที หยุดพักกองทัพอยู่ตำบลนั้นคืน ๑

รุ่งขึ้น วันพฤหัสบดี ขึ้น ๒ ค่ำ เดือน ๓ ปีกุญ สัปตศก เวลาเช้า เจ้าอุปราช เจ้านาย แสนท้าว ไพร่พล กองทัพเมืองน่านคน ๙๐๐ เศษ ยกออกจากเมืองหลวงพระบางตามทางข้าพเจ้าไป ในวันเวลาเช้า ๔ โมง กองข้าพเจ้ายกจากตำบลนาภูช้าง ถึงบ้านเสี้ยวเวลาเย็น ๕ โมง ๔๕ นาที พักอยู่สองคืนกับวัน แล้วยกออกจากที่นั่นวันเสาร์ เดือน ๓ ขึ้น ๔ ค่ำ เวลาเช้า เหมือนกันกับวันก่อน ไปทางทุ่งนาป่าไม้ไผ่ แลเห็นหลังคาเรือนชาวบ้านมีรายหมู่ละ ๕ หลัง ๖ หลัง ๗ หลัง ๘ หลัง ตั้งอยู่ใกล้บ้างไกลกันบ้างเปนตอน ๆ ไป ถึงบ้านท่าอุ้ยเวลาบ่ายโมงหนึ่ง ๒๐ นาที หยุดพักคืนหนึ่ง รุ่งขึ้น เวลาเช้า ๓ โมง ๘ นาที ยกจากท่าอุ้ย ถึงบ้านท่าโพเวลาบ่าย ๒ โมง ๔๕ นาที ชาวบ้านท่าอุ้ย ท่าโพ นี้ อาศรัยลำน้ำคาน กว้างประมาณ ๒ เส้นเศษ ต้นหรือปลายยอดน้ำอยู่ณเขาเมืองยู เปนเขตรแดนเมืองหลวงพระบาง เมืองพวน ต่อกัน น้ำคานไหลตกลงลำแม่น้ำของข้างวัดเชียงทองในเมืองหลวงพระบาง แต่เมืองหลวงพระบาง ทางคนเดินธรรมดาไปบ้านท่าโพ ๒ วัน มิใช่เดินกองทัพ ๆ ข้าพเจ้าตั้งอยู่บ้านท่าโพคืนหนึ่ง

รุ่งเช้า เวลา ๓ โมง ยกไปถึงบ้านสบอี้บ่าย ๓ โมง ๓๐ นาที ต้องรออยู่ที่นั่น ๔ คืน ๓ วัน เพราะระยะทางที่จะยกต่อไปช่องแคบคับขัน ตำบลนั้นเปนด่านชั้นในเมืองหลวงพระบาง ทางจะไปจะมาฉเพาะขึ้นเขาแลแบ่งคนในกองทัพ ข้าพเจ้าต้องขอแรงตามชาวบ้านตามรายทางช่วยขนเข้าสารฉางบ้านเสี้ยว บ้านท่าอุ้ย ท่าโพ ซึ่งจัดตั้งไว้เมื่อยังไม่ยกไปรวมณยุ้งบ้านสบอี้ เข้าเสบียงมีพอจ่ายนายไพร่ กองข้าพเจ้า กองเมืองน่าน คราวเดียวสิ้นเข้าสาร จ่ายได้คนละ ๑๕ ทนาน รับประทาน ๑๕ วัน บังคับให้คิดผ่อนผันบรรทุกช้างแลข่าเป้ไปให้มากกว่าเก่าทุกหมวดทุกกองทั้งสองทัพให้จงได้ ธรรมเนียมคนกองทัพเดินทางอย่างโบราณ กำหนดจ่ายเข้าเสบียงคนละ ๓ ทนาน ๕ ทนาน ถ้ากว่านี้ จะเห็นว่า มากเกินการ ขนไปไม่ไหว ข้าพเจ้าได้มีหนังสือยังพระยาสุรินทร์ เจ้ามหินทรเทพยนิภาธร ๑ เจ้านครหลวงพระบาง ให้รวบรวมเข้าเปลือกสีซ้อมเปนเข้าสาร เกณฑ์ขอแรงชาวบ้านแลคนกองพระยาสุรินทร์บ้าง ขนไปไว้ฉางบ้านสบอี้พอเปนที่หวังวางใจได้ ความแจ้งอยู่ในหนังสือฉบับนั้นทุกประการ ๆ ซึ่งขอแรงชาวบ้านแลคนกองทัพขนเข้าดังนี้ ด้วยครั้งนั้น ไพร่พลเมืองหลวงพระบางมีอยู่น้อยตัว ต้องเข้ากองทัพเจ้าอุปราชพรหมา แต่ยังเปนที่เจ้าราชวงศ์ เจ้านายพระยาเพี้ยแสนท้าวไพร่ยกไปคอยรับกองทัพฮ่อพวกเมืองไลจะยกลงมาตีเมืองหลวงพระบางทางหนึ่ง แลยกไปปราบข่ากำเริบขัดแขงแขวงตำบลบ้านน้ำเขือง น้ำแซง น้ำอู เหนือใต้หลายหมวดกอง แต่ก่อนข้าพเจ้ายังไม่ได้ยกขึ้นไปเมืองหลวงพระบาง ทางเมืองพวน เจ้าอุปราชบัวคุมเจ้านายท้าวพระยาพลไพร่ยกไปพร้อมกับพระยาพิไชย เจ้าอุปราชป่วยกลับมาอยู่เมืองหลวงพระบาง เจ้านครหลวงพระบางจึงให้เจ้าราชวงศ์ทุกวันนี้ ยังว่าที่ราชบุตร ยกไปใหม่ ได้ว่าไว้ข้างต้นแล้ว

ณวันศุกร์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ เวลาเช้า ๒ โมง ๓๖ นาที ยกแต่บ้านสบอี้ทางฉเพาะขึ้นบนเขาคันทุ่งตลอดยอดสูงใหญ่เดินยากจากเชิงเขาข้างนี้ไปลงข้างโน้นเวลาเย็น ๔ โมงง ๔๔ นาที หยุดอยู่ห้วยเจี้ยคืนหนึ่ง รุ่ง เวลาเช้า ๒ โมง ๔๐ นาที ยกจากห้วยเจี้ย ถึงห้วยยาวเวลากลางคืน ๒ ทุ่ม พักคืนหนึ่ง ณวันอาทิตย์ เดือน ๓ ขึ้น ๑๒ ค่ำ เวลาเช้าย่ำรุ่งแล้ว ๓๗ นาที ยกจากห้วยยาวไปถึงเมืองยูเวลาเย็น ๔ โมง ๑๓ นาที แลซึ่งเดินกองทัพระยะสั้นบ้างยาวบ้างอย่างนี้ ต้องอาศรัยที่แม่น้ำลำคลองสระเหมืองหนองห้วยห้วงละหานบึงบ่อ มีน้ำพอคนช้างม้ารับประทานอาบใช้ เมืองยูเปนด่านชั้นนอกขึ้นเมืองหลวงพระบาง ที่หน้าเมืองยูมีเขายาวขวางยอดน้ำคานเปนทีก่ำหนด หมายเขตรแดนเมืองพวงเมืองหลวงพระบางต่อกัน ข้าพเจ้าพักอยู่ตำบลนั้น ๓ คืน ๒ วัน พอพลไพร่ช้างม้าหายเหนื่อยเมื่อยล้าดี ณวันพุธ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ เวลาเช้านาฬิกาย่ำรุ่งแล้ว ๓๐ นาที ยกจากเมืองยูขึ้นเขาเข้าแขวงเมืองพวน ทางนี้เปนที่สำคัญ เขานั้นภูพัดไหว้ได้ความลำบากยากแก่ผู้ไปมาต้องหยุดยั้งหลายครั้งตามระยะทาง ๆ เปนไหล่เขามีที่กว้างคืบเศษศอกหนึ่ง บ้างต้นไม้ใหญ่ล้มขวาง ข้างบนก็เอนลงมากีดกูบสับประคับหลังช้าง ต้องตัดฟันคัดง้างแก้ไขแต่พอไปได้ ในระยะนั้น คนกองทัพเดินระวังตัวเต็มที มีคำฦๅเล่าว่า ก่อนเก่า ลูกค้าไปมาตกตาย มีตัวอย่างที่ริมทางทั้งสองข้าง ๆ หนึ่งเปนเขาสูงตั้งตรงขึ้นไปยาวยืดถึงยอด ข้างหนึ่งอากาศว่างเปล่าโปร่งโล่งตลอดมิใช่เหวผา ถ้าแลลงไปดูข้างล่างไกลลิบลิ่วหวิวหวั่นเปนควันกลุ้มจนสุดสายตาหาเห็นพื้นแผ่นดินไม่ เมื่อกองพระยาสุโขทัยยกไปก่อนข้าพเจ้าประมาณเดือนเศษ เปนเหตุช้างม้าพลาดพลัดตกสูญหายมิได้ตัว เปนที่น่ากลัวอนาถหนัก นายทัพนายกองทหารขุนหมื่นที่ได้ช้างเกณฑ์ก็ลงจากแหย่งหลังช้างต่างเดินไป แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า แม้มิถึงกาลเวลาแล้ว ไม่เปนไร ปลงใจเอาราชการ ระงับอารมณ์ให้หายคิดฟุ้งซ่านสิ้นเสียวหวาด นึกอำนาจพระบารมีภินิหารแห่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งได้เห็นเปนมหัศจรรย์เมื่อวันยกออกจากเมืองหลวงพระบาง คงปกเกล้าฯ ป้องกันสรรพภัยอันตรายได้ ไม่ลงจากหลังช้าง วางจิตรเปนกลางสบายดี นอนหลับบ้างตื่นไปตามทางไหล่เขา ๔ ชั่วโมงเศษ พ้นเขตรช่องแคบแล้ว ขึ้นเขาใหม่ต่อไปอิกชั้นหนึ่งทั้งสูงชัน พวกลาวแจ้งว่า เดิมมีคนหนุ่มสาวสะกรรจ์กำลังมากขึ้นบนเข้านี้มิใคร่ไหว ต้องหยุดพักเหลียวหลังนั่งร้องไห้ จึงได้ร้องเรียกชื่อว่า ภูสาวเหลียว สืบมา ช้างกองหน้าข้าพเจ้าขึ้นไป ไม่มีที่เหยียบยันยึดหน่วง เลื่อนรูดลงมา กูบจำลองชำรุด เสียสิ่งของเครื่องใช้แตกหักยับเยินหลาย ช้างขึ้นไม่ได้

ข้าพเจ้าต้องลงจากหลังช้าง ให้ขุดสับฟันเปนคั่นบันได ด้วยภูสาวเหลียวมิใช่หิน เปนดินแขงแท้ ขึ้นแต่เชิงตลอดยอด ๓ ชั่วโมง บนยอดเขามีต้นมะก่อกินผลได้ ต้นสน ต้นฉำฉา สูงประมาณ ๙ วา ๑๐ วา เปนดงทึบ บางแห่งโปร่ง แลขึ้นไปดูใกล้ฟ้าสูงกว่าเขาอื่นไม่เทียมเท่า ทางเดินบนยอดเขาอิก ๓ ชั่วโมงครึ่งลงถึงกิ่วกอก คือ เชิงเขาชั้นบนหลังเขาชั้นล่าง กลางคืนเวลาทุ่มหนึ่ง ที่นั่นเปนเนินใหญ่ มีทั้งห้วยน้ำไหลลงมาแต่เขาชั้นบนพอกองทัพอาศรัยอยู่คืนหนึ่ง ณวันพฤหัสบดี เดือน ๓ แรมค่ำ ๑ เวลาเช้าโมงหนึ่ง ๒๘ นาที ยกจากกิ่วกอกไป ๖ โมง ๔๓ นาที ถึงกิ่วคอม้า ยังเปนหลังเขา ชั้นล่างทางแคบ ฉเพาะเท้าช้างเดินค่อยโน้มตัวก้าว น่ากลัวจะพลัดตกลงจากทาง ทั้ง ๒ ข้างไม่มีต้นไม้ หินผาเปนเครื่องบังทางยาวไปประมาณ ๔ วา ตั้งแต่นั้นเปนป่าต้นสน ต้นฉำฉา เปนพื้นมากกว่า ต้นไม้อื่นก็มีบ้าง ทางกว้างลงลาด ๆ ไปถึงหัวนาโป่ง เวลาเย็น ๔ โมง ๔๐ นาที พักอยู่คืนหนึ่ง ถ้าจะไปให้ถึงกองทัพเมืองพิไชย เมืองสวรรคโลก ซึ่งพระยาสุโขทัยเปนนายกอง แลกองเมืองหลวงพระบางตั้งทางก็ไม่ไกลกัน แต่ปีนั้น วันพฤหัสบดีเปนโลกวินาศไม่ดี รุ่งขึ้น วันศุกร์แรม ๒ ค่ำ เดือน ๓ เวลาเช้า ๓ โมง จึงยกออกจากหัวนาโป่ง ถึงบ้านสอดเวลา ๔ โมง ๑๐ นาที ตั้งอยู่ที่ค่ายพระยาพิไชย พระยาสุโขทัยทำรับตามควรการ รุ่งขึ้น วันเสาร์ เจ้าอุปราชเมืองน่านยกกองทัพไปถึงบ้านสอดพร้อมกันทุกทัพทุกกองแล้ว

พระยาพิไชย พระยาสุโขทัย พระอุดรดิฐาธิบาล พระปลัดเมืองสวรรคโลก แต่ยังเปนที่พระพล กับผู้ว่าราชการเมืองขึ้น ทั้งกรมการผู้ใหญ่ผู้น้อยเมืองพิไชย เมืองสวรรคโลก และเจ้าอุปราช เจ้าราชวงศ์ เจ้านาย พระยาเพี้ยแสนท้าวเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน มาพร้อมกันณที่อยู่ข้าพเจ้า แล้วพระยาพิไชยแจ้งว่า คราวก่อน ยกออกไปถึงบ้านสูด ฮ่อยกมาตั้งค่ายปิดต้นทางห้วยน้ำลำธาร แลโอบอ้อมล้อมค่ายพระยาพิไชย ค่ายพวกเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน ไว้ห้าแห่ง ทั้งสองข้างต่างแต่งกองทัพออกรบ ฮ่อต่อสู้กันอยู่สิบแปดวัน เมื่อจะต้องล่าทัพนั้น พวกฮ่อยิงปืน กระสุนปืนถูกเจ้าน้อยซุ้ย นายทัพเมืองน่าน ถึงแก่กรรมในที่รบ แล้วเวลากลางคืนฮ่อยกมาตีปล้นค่ายพระยาพิไชย ค่ายเมืองหลวงพระบาง เมืองน่าน พร้อมกันทั้งสามค่าย ๆ เมืองน่านแตก นายทัพนายกองไพร่ตายบ้าง ต่างกระจัดกระจายหนี แต่ค่ายพระยาพิไชย เมืองหลวงพระบาง ไม่แจก ต่อรบสู้กันจนรุ่งสว่าง พวกฮ่อยกกลับไปค่าย ฮ่อปล่อยให้คนลาวพวนถือหนังสือมา มีความว่า ฮ่อจะรับรักษาเมืองพวนไว้ ให้กองทัพพระยาพิไชยกลับไปบ้านเมืองโดยดี ไม่รบราฆ่าตีฟันทำอันใด แม้มิยกกลับคืนขืนตั้งอยู่ ในวันหนึ่งสองวันนี้ พวกฮ่อจะยกเข้าหักเผาค่ายให้แตกแหลงจงได้ ไล่จับผู้คนขำเบื่อไม่เหลือไป พระยาพิไชยเห็นว่า กองทัพเมืองน่านก็แตกหนีไม่มีตัว เจ้าอุปราชบัว แม่ทัพเมืองหลวงพระบาง ยกออกมาถึงเมืองยู ป่วยกลับไปเมือง ให้แต่เจ้านายพระยาเพี้ยแสนท้าวกับไพร่อยู่บ้าง ก็ถือเปรียบแก่งแย่งไม่พร้อมมูล ทั้งกระสุนดินดำกองทัพพระยาพิไชยก็เปลืองไปไม่พอใช้ ไพร่พลหลบหนีมีตัวน้อยอยู่ เห็นจะสู้มิได้ จึงมีหนังสือตอบฮ่อแต่พอไม่ให้เสียทีว่า จะยอมอย่ารบเลิกกองทัพกลับวันพรุ่งนี้อย่าสงสัย ให้คนพวนซึ่งฮ่อใช้ถือหนังสือมาถือกลับไป รุ่งขึ้นเมื่อพระยาพิไชยถอยทัพมา พวกฮ่อพากันดูอยู่ไม่ทำไม ซึ่งตั้งระวังรักษาตำบลบ้านสอดนี้เปนช่องทางฮ่อจะยกเข้าตีเมืองหลวงพระบางตลอดไปได้ กวานหลวงทราบความ ให้กวานล่ามกับฮ่อห้าคนถือหนังสือมาอิกฉบับหนึ่งว่า เหตุไฉนกองทัพยังตั้งอยู่บ้านสอดแขวงพวน ควรจะกลับไปให้ถึงบ้านเมืองตามสัญญากัน พระยาพิไชยแจ้งความแก่กวานล่ามว่า ต้องรออยู่ก่อน ด้วยแม่ทัพใหญ่กรุงเทพฯ ยกออกมาเกือบถึงแล้ว จะปฤกษาตกลงกันฉันใด จึงจะถอยทัพกลับไปโดยดี ถ้ามิเชื่อคอยดูอยู่ที่นี่ กวานล่ามฮ่อก็ยังไม่ไป พระยาพิไชยได้แต่งคนในกองสองคน เมืองสวรรคโลกสองคน คนเมืองหลวงพระบางสองคน รวมหกคน ถือหนังสือไปถึงกวานหลวงฮ่อ ข้อความตามซึ่งแจ้งแก่กวานล่ามนั้น กวานหลวงยึดผู้ถือหนังสือไว้ ภายหลังคนเมืองนครสวรรคโลก เมืองพิไชย หนีกลับมาได้ ราชการทั้งนี้พระยาพิไชยได้มีหนังสือบอกแลขอกองทัพช่วยใหม่ แต่พึ่งบอกไปจะยังมิถึง ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แม่ทัพใหญ่ ไม่ทราบการ ๆ จะทำแก่ฮ่อต่อไปมิใช่ง่าย ฮ่อชำนาญกลอุบายเคยรบรากล้าแขงจัดแต่งกองป้องกันล่อลวงยกแยกโอบอ้อมหน้าหลังให้เปนที่พว้าพวัง ทั้งรู้ท่าทางตำบลห้วยน้ำลำละหานเหมืองหนองในเขตรแขวงเมืองพวนเปนที่อาศรัย แต่กำลังกองทัพพระยาพิไชยแลพวกหัวเมืองจะทำการหาตลอดไม่ ได้ปฤกษาผู้ซึ่งมาอยู่ที่นี่ มีพระยาพิำชย พระยาสุโขทัย เปนต้น เห็นพร้อมยกให้ข้าพเจ้าเปนแม่ทัพบังคับการเด็ดขาดเต็มอำนาจแต่ผู้เดียว จึงได้ชำนะฮ่อต่อไป ข้าพเจ้าตอบว่า ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แม่ทัพใหญ่ ให้มาช่วยพระยาพิไชยจะให้เปนแม่ทัพยังขัดอยู่ ผู้ซึ่งจะเปนแม่ทัพจับศัตรูพินาศเกินเปนข้าทูลลอองธุลีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแลคู่พระบารมีสำหรับแผ่นดินนั้น ต้องรู้กิจราชการรอบคอบโดยระบอบเสนานุวัตร จัดการรบครบถ้วนถี่ มีอุบายเลศนัยใช้กลศึกลึกลับ เปนที่นับถือแห่งลูกทัพนายกองทั้งหลาย หมายมั่นว่า ไม่แพ้แน่แก่ใจ ใช้คนคาดคเนดูรู้ที่เสียที่ได้ ไม่ประมาทไม่ขลาดกล้า ทราบพิทยาอาคมแลเครื่องตกแต่งช้างม้าพาหนะ สละทรัพย์สิ่งของแบ่งปันเจือจาน ทนุบำรุงล่อใจไพร่พลทหาร หาญชื่นรื่นเริงรักสมัคสโมสรพร้อมมูลกัน รู้สรรพนิมิตรชั่วดี ซึ่งจะมีไชยแลอัปราไชย รู้ในลักษณศึกแลกำลังศึกสิบประการ ชำนาญกลยี่สิบเอ็ดกระบวร แบบส่วนค่ายคูประตูหอรบจบทุกอย่าง วางแผนที่ตั้งไชยภูมนามทัพเราข่มเขาไว้ แจ้งไสยศาสตรโหราศาสตรกำลังศัตราวุธ กับสรรพคุณยาเบื่อเมา จะได้ตัดศึกเสร้าเสียที รู้ตำหรับพิไชยสงครามชัดแจ้งใจ ไม่หลงใหลในที่มีผิด ทั้งโลกธรรมเปนสัมมาปฏิบัติ วิรัติเว้นความโกรธแค้นคิดอาฆาฏพยาบาทจองเวรกันจากสันดาน ไม่สทกสท้านเกรงแก่ภัยอันตรายต่าง ๆ อันมิควรกลัว กระทำตัวเปนกลางเสมอ ไม่เผลอสติปัญญาตริตรองสอดส่องไป ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ตั้งอยู่ในสัตย์สุจริต จะบังคับสั่งการสิ่งใดมิได้ผิดทางยุติธรรม ชอบด้วยราชการตรงแท้ จึ่งจะเปนแม่ทัพได้ นี่ข้าพเจ้าไม่รู้อะไร จะขอเปนผู้ช่วยพระยาพิไชยตามท้องตรา พระยาพิไชย พระยาสุโขทัย ว่า มิทราบอันใด ทำไมจึงพูดจาชี้แจงการทัพศึกการสงครามกระบวรรบจบเจน เห็นอคติธรรมทั้งสี่ แจ้งคดีโลกแลราชการงารโยธา เปนวิชาทุกทีถี่ถ้วน ควรเปนแม่ทัพแล้ว ไม่มีใครรังเกียจเถียงกันฉันใด คงอยู่ในบังคับทุกคน ขอทำหนังสือสัญญาลงชื่อพร้อมกัน มีใบบอกยัง ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แมทัพใหญ่ แม้นข้าพเจ้ามิรับ ราชการจะไม่สำเร็จเปนแน่ ข้าพเจ้าเห็นว่า พระยาพิไชย พระยาสุโขทัย เจ้าอุปราชเมืองน่าน เจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบาง กรมการผู้ใหญ่ แลผู้ว่าราชการเมืองขึ้น เมืองสวรรคโลก เมืองพิไชย ยอมสนิทเรียบร้อยดี ไม่มีมารยาสาไถย ต่างอ้อนวอนหลายครั้ง ตั้งพะเน้าพะนึงถึงสองวัน ครั้นจะไม่รับก็จะเสียราชการ ขัดมิได้ เปนที่จนใจ จึงยอมเปนแม่ทัพไป ได้ทำหนังสือสัญญาให้ฉบับหนึ่งว่า ข้าพเจ้าจะสั่งบังคับผู้หนึ่งผู้ใดทำราชการฉลองพระเดชพระคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแต่โดยซื่อตรงสุจริต มิได้คิดหาอำนาจแลลาภผลประโยชน์ใส่ตน หรือแกล้งอุบายด้วยเล่ห์กลอย่างหนึ่งอย่างใดนั้นหามิได้ ถ้าผู้ไหนได้ราชการแขงแรงดี ข้าพเจ้าจะมีหนังสือบอกเสนอความชอบให้ ถ้าใครมีความผิดโทษเบา จะสั่งสอนว่ากล่าวชี้แจงจนสามครั้ง ถ้ามิฟังขืนขัด จึงจะทำโทษพอเข็ดหลาบพอสมควร ถ้าผิดมีโทษหนัก จะลดหย่อนผ่อนโทษให้ไม่เต็มตามอาญาศึก แต่ต้องทำเปนแบบอย่างสืบไป ถ้าผิดหนักเบาฐานหนึ่งฐานใดก็ดี จะปฤกษาพระยาพิไชยนายทัพนายกองให้เห็นพร้อมกันก่อน จึงจะทำโทษตามแก่กาล ถ้าผู้ซึ่งไม่มีความผิด ข้าพเจ้าลงโทษทัณฑ์ หรือผู้นั้นผิดน้อย ข้าพเจ้ากระทำโทษเกินกว่าฐานถึงอุตกฤษฐ์ฉกรรจ์มหนตเหตุมากไป ก็ให้บอกณกรุงเทพมหานครทีเดียว ไม่ต้องบอกยังแม่ทัพใหญ่เพื่อจะปิดบังข้อความไว้ ขอสิ่งซึ่งเปนใหญ่เปนประธานทั่วสกลโลกจงอภิบาลบำรุงรักษาข้าพเจ้า แลพระยาพิไชย นายทัพนายกองไพร่พลโยธาทั้งปวง ให้เจริญสุขสวัสดิ์มีไชยทุกประการ หนังสือสัญญาข้าพเจ้ากับหนังสือสัญญาพระยาพิไชยสองฉบับนี้ มีใบบอกยัง ฯพณฯ หัวเจ้าท่าน ที่สมุหนายก แม่ทัพใหญ่ ได้บอกส่งลงมากรุงเทพมหานคร ความแจ้งอยู่แล้ว

ข้าพเจ้าให้กวานล่ามกับฮ่อ ๕ คนกลับไป ปราถนาจะให้กวานหลวงปล่อยคนเมืองหลวงพระบางที่ยังค้างอยู่อิก ๒ คนกลับมาเหมือนกัน มิฉนั้น จะยังยึดตัวไว้ คงไม่ฆ่าฟันทำอันตรายอย่างไรอย่างหนึ่งให้ต้องกับคำพระยาพิไชย พูดจาลวงล่อสัญญาแก่พวกฮ่อจะได้วางใจว่า กองทัพมิยกออกไป ไม่เตรียมการรบไว้ ก็ได้เปรียบฮ่อ แม้ฮ่อระแวงสงสัยว่า กองทัพจะยกออกไปก็ดี คงเปนที่ครั่นคร้ามแก่การสงครามต่อไป ข้าพเจ้าได้ทำหนังสือประกาศห้ามแลข้อบังคับต่าง ๆ สำหรับทัพที่จะต้องใช้ในคราวการ กับจัดให้เปนหลักฐานมีกำหนดซึ่งจะยกออกเดินระยะทางเพียง ๖ ชั่วโมงลงมาอย่าให้เกินไป เพราะจะถนอนกำลังคนแลช้างม้าไว้รบสู้ ดูท่าทางจะหยุดยั้งตั้งกองทัพได้ อย่าให้ใกล้ไกลนักพอสมควร เปนส่วนเปนแพนกแยกตามหมวดหมู่อยูเปนที่ เกลือกพวกฮ่อยกมาต่อตี จะได้ช่วยกันทันการ วางด้านกองรักษาชั้นในไว้ กองนอกให้ห่างพอเห็นกันถนัด นัดหมายสัญญาสังเกตการจงแน่ ซึ่งเรียกกองแลหรือกองคอยระวังหรือกองเสือป่าก็ว่าเปนสามอย่างในทางข้าศึกจะมาให้รู้โดยเร็วได้ ถอนกองพระยาสุโขทัยกับกองข้าพเจ้าเข้ารวมกันคน ๘๐๐ เศษทัพ ๑ กองพระยาพอไชยคน ๗๐๐ เศษทัพ ๑ กองเจ้าอุปราชเมืองน่านคน ๘๐๐ เศษทัพ ๑ กองเจ้าราชวงศ์เมืองหลวงพระบางคน ๘๐๐ เศษทัพ ๑ รวมเปน ๔ ทัพ นับหมู่เดียวหมายคล้ายตรีเสนา คือ ให้กองเมืองหลวงพระบางเปนหน้า กองเมืองสวรรคโลกเปนปีกซ้าย กองเมืองพิไชยเปนปีกขวา แต่เดินทางเปนที่สองต่อกองหน้า ยกก่อนข้าพเจ้าทุกวันเหมือนเกียกกายหรือกองขันธ์ ไม่ต้องผลัดเปลี่ยนเดินกับปีกซ้ายตามธรรมเนียมเก่าก็ได้ ให้กองเมืองน่านเปนหลังดังว่านี้ ส่วนที่ไม่มีค่าย ถ้าตั้งค่าย ก็แยกออกเปน ๔ ทัพเหมือนกับจัดไว้ ต้องตั้งคนในกองทัพนั้นเอาขันธ์ทั้ง ๕ หารอย่าง ๑ ทวารทั้ง ๙ ทหารอย่าง ๑ ลัพธ์ตั้ง ๓ ฐาน ๆ กลาง ๓ คูณเปนส่วนนายกอง ๆ ตั้งลงใหม่ได้เลขลัพธ์ ตั้ง ๔ ฐาน ๆ กลาง ๓ คูณเปนส่วนนายกอง ฐานบนล่างเปนส่วนปีกซ้ายขวา กองหน้ากองหลังตั้งคูณหารดุจกัน การตั้งค่ายตามมีคนมากน้อยเปนประมาณ ทำงารเสมอคนละศอก บอกย่อ ๆ พอให้ทราบที อย่างนี้เรียกว่าเกณฑ์ทัพตรีเสนาแท้ แต่ครั้งนั้นยกจากเวียนสุย บ้านสอด ตลอดไป ไม่ได้ตั้งค่าย ให้ชักแต่เรียวหนามบ้าง วางคนเปนหมวดกองแทนค่าย หวังจะให้เล่าลือถึงฮ่อว่ามิขลาด แลไพร่พลก็จะไม่มีความประมาทหมั่นระวังระไว ทั้งจะรีบยกกองทัพไปโดยเร็ว ด้วยเข้าเสบียงจะหมด กำหนดจ่ายจากบ้านสบอี้คราวเดียว ๑๕ ทนาน รับประทานมาได้ ๑๒ วัน จะมิทันไปรบไม่ ได้ปฤกษานายทัพนายกองแลเวียนกวานพวนซึ่งหนีกองทัพฮ่อมาอยู่กับพระยาพิไชยบ้าง ตกลงพร้อมกันว่า ถ้ายกเดินทางไปอีก ๒ วัน ๓ วัน คงมีเข้าเสบียงอาหารของพวกเวียนกวานกรมการชาวเมืองพวนขุดดินฝังไว้ในหลุมหลายตำบลพอเลี้ยงคนกองทัพได้อยู่ในตำบลนั้น ๕ คืน ๔ วัน ครั้นณวันพุธ แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ ปีกุน สัปตศก เวลาเช้า กองทัพเจ้าราชวงศเมืองหลวงพระบางยก แล้วกองพระยาพิไชย พอเวลาแล้ว ๕๘ นาที กองข้าพเจ้าแลกองเจ้าอุปราชเมืองน่านยกไปโดยลำดับ สรรพด้วยศัสตราวุธกระสุนดินดำพร้อม ถึงห้วยหินลับเวลาบ่าย ๓ โมง ๓๕ นาที พักคืนหนึ่ง ข้าพเจ้าทำคำตรวจทัพสำหรับเตือนใจไพร่พลทหารตามแบบอย่างโบราณกาลต่อมา การบวงสรวงประกาศเทพยุดา ข้าพเจ้าบูชาแต่ยกออกจากเมืองพิไชยไปในเวลา ๒ ทุ่มเสมอทุกคืนมิได้ขาด กล่าวพอสังเขปเพราะโหรอยู่กับกองทัพใหญ่ไม่มีไป ครั้นบูชาเทวดาแล้ว ผู้ประกาศตรวจทัพจึงว่าขึ้นดังนี้ สิริธิติมหติเตโชไชยะ สำหรับพระพิไชยสงคราม ประพฤติ์ตามโบราณกาลก่อนมา เหล่าบรรดาทหารนอกในซ้ายขวาหน้าหลังทั้งนายไพร่ จงระฦกถึงคุณพระรัตนตรัยคือแก้วสามประการ ทั้งคุณบิดามารดาอุปฌาย์ครูอาจารย์จอมขัติยซึ่งเปนที่ปกเกศป้องกันภัย ทรงพระมหากรุณาชุบเกล้าชุบกระหม่อมให้ตามฐานาศักดิ์ หวังพระราชหฤทัยต้านต่อปรปักษ์ปัจจามิตร ฝ่ายเราต้องควรคิดฉลองพระเดชพระคุณ จงมีความอุสาหเกื้อหนุนอย่าเกียจคร้าน หมั่นช่วยรับราชการอย่าขี้ขลาด อย่าได้หมิ่นประมาทแก่สงคราม ผลัดปันกันนั่งยามตีเกราะเคาะฆ้องกองไฟ ที่ช่องตรอกซอกทางอย่าวางใจ ทั้งค่ายคูคนเข้าออกนอกในดูให้ถ้วนถี่ อย่าละทิ้งหน้าที่ได้รักษา อีกเครื่องพิไชยยุทธสรรพศัสตรากระบวรรบ จงตรวจเตรียมไว้ให้ครบตามตำแหน่ง ปืนคาบศิลาชนวนทองแดงปืนอินฟินปืนหามแล่นลูกดินแลปืนใหญ่ แส้สากควงค้อนไขเขนงชุดเต้าดินหู ปืนบรรจุท้ายแฝดคู่ปืนโกทุกชนิด ปืนสะไนเดอปืนวินชิสเตอร์ปืนเฮนรี ปัสตันคันชีบมีพร้อม สำหรับขนมปังทั้งไถ้เข้าตากกับกระติกน้ำ ดาบหอกแหลนหลาวง้าวทวนประจำอย่าห่างตัว อย่าง่วงเหงาเมามัวมิเปนการ จงตั้งจิตรคิดอาจหาญให้เข้มขัน อนึ่ง ช้างม้าเครื่องพาหะนะนั้น หมั่นตรวจตราผูกไว้ให้แน่นหนาประจำที่ ถ้าเห็นข้าศึกไพรีแปลกปลอมมา ถ้าแลเขาน้อยกว่าเร่งจับเอา ถ้าเขามากกว่าเราให้โห่ร้อง ทั่วทุกด้านทุกกองชาวทหารทั้งหลายเอย อิปิโสหยุดคำลงแล้ว ลูกทัพนายกองรับว่าภะคะวา พร้อมทั่วกันตีเกราะเคาะไม้เสียงสนั่นนฤนาท ได้ประกาศตรวจทัพทั้ง ๔ ด้าน การเปนต้นแต่ที่นั้นทุกคืนไป รุงขึ้น วันพฤหัสบดี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๓ เวลาเช้าโมง ๑ กับ ๔๒ นาที ยกกองทัพออกจากห้วยหินลับไป พ้นเขตรเวียนไนสุย เข้าแขวงเวียนท้าย ถึงวัดบ้านทุ้มเวลาบ่าย ๒ โมง ๒๐ นาที พักคืนหนึ่ง

ณวันศุกร แรม ๙ ค่ำ เวลาเช้าโมงหนึ่ง ๔๐ นาที ยกแต่บ้านทุ้มไป ๓ ชั่วโมงครึ่ง ถิ่นที่ข้ามน้ำงึมข้างตอนปลายลึก ๒ ศอก แคบประมาณ ๑๐ ศอกเศษ เปนเขตรแขวงเวียนแสงกับเวียนท้ายต่อกัน น้ำนั้นตอนข้างใต้ต่อลงมาหลายคืนวันที่เรือแพเดินได้ กว้างประมาณ ๒ เส้น ลึกซึ้งใสไหลตกลงลำแม่น้ำของฝั่งตวันออกตรงข้ามฟากตวันตกข้างโน้น ณบ้านโพนแพงแขวงเมืองโพนพิสัย ต้นยอดน้ำขึ้นไปอยู่หนองเป็ดเวียนคังทางเดิน ๔ คืน เมื่อข้าพเจ้าไปถึง ให้คนลงหยั่งกลางหนองน้ำตืนศอกคืบกว่า วัดปากหนองกว้างวาหนึ่งยาว ๒ วา ซึ่งว่านี้จะให้เห็นได้ว่า พื้นแผ่นดินแขวงเมืองพวนสูงกว่าหัวเมืองลาวฝ่ายตวันออกมาก แต่จากที่ข้ามน้ำงึมไปอีก ๒ โมง ๔๕ นาที ถึงวัดร้างบ้านเพรียงหลวงเวลาบ่าย ๒ โมง ๓ นาที หยุดพักที่ตำบลนั้นเปนเขตรเวียนแสง คนกองทัพออกเที่ยวหาสะเบียงอาหาร ได้เข้าเปลือกเข้าเหนียวซึ่งฝังไว้ในหลุมหลายหลุม หลุมละ ๑๐๐ สัด ๒๐๐ สัดขึ้นไปจนถึง ๕๐๐ สัดเศษ ถ้าจะนับเปนเกวียนหลายสิบเกวียน ขนจ่ายนายพไร่ทุกหมวดกองบริบูรณ์ทั่วหน้า เข้ายังเหลือ ๓๐ เกวียนกว่า ข้าพเจ้าให้รวบรวมตั้งยุ้งฉาง จัดนายทัพนายกองกับไพร่พอสมควรอยู่รักษาไว้ จะได้เปนกำลังกองทัพต่อไป รุ่งขึ้น เวลาเช้าประมาณ ๔ โมงเศษ ทรงเหือง คือ กรมการผู้ใหญ่ในพวกลาวชาวพวนซึ่งไปยอมทู้อยู่กับฮ่อ ๆ ใช้ให้ถือหนังสือมาฉบับหนึ่ง ความว่า ฮ่อจะปฤกษาหาฤๅให้ตกลงพร้อมกันก่อน จึงจะมายอมทู้ ให้กองทัพตั้งรออยู่ อย่าให้ยกออกไป ฮ่อกลัวเปนอันมาก ข้าพเจ้าทำหนังสือตอบฉบับหนึ่งว่า จะยกออกไปตั้งฮ่อเปนผู้รักษาเมืองพวน จึงจะสมควรเปนเกียรติยศ กำหนดเขตรแดนให้ อย่ามีความสงสัย ที่จะรบกวนกระทำร้ายอันตรายแก่พวกฮ่ออย่างหนึ่งอย่างไรเปนอันไม่มี ตามที่ฮ่อพูดจาสัญญาไว้แต่ก่อนกับพระยาพิไชยทุกประการ ให้ทรงเหืองถือกลับไป แล้วทำหนังสือประกาศเป่าร้องในกองทัพอีกหลายฉบับ ความเหมือนกับตอบฮ่อนั้น เพื่อจะไห้เวียนกวานกรมการไพร่พลพวนที่ไปยอมทู้อยู่กับฮ่อโดยมากมีความมานะว่า ฮ่อจะเปนผู้รักษาบ้านเมืองไม่ยอมให้ จะได้แตกหนีออกจากฮ่อก็จะหย่อนกำลังลง แลพวกที่เข้าหาฤๅอยู่ในกองทัพจะกลับสวนสื่อความไปถึงฮ่อก็เปนการดี พักอยู่ที่นั่น ๒ คืน ๒ วัน