นิทานโบรานคดี/นิทานที่ 10

นิทานที่ 10
เรื่องความไข้ที่เมืองเพชรบูรน์

(1)

หัวเมืองที่ขึ้นชื่อลือเลื่องว่า มีความไข้ Malaria ร้ายกาดแต่ก่อนมามีหลายเมือง เช่น เมืองกำแพงเพชร และเมืองกำเหนิดนพคุน คือ บางตะพาน เปนต้น แต่ที่ไหน ๆ คนไม่ครั่นคร้ามเท่าความไข้ที่เมืองเพชรบูรน์ ดูเปนเข้าไจกันทั่วไปว่า ถ้าไครไปเมืองเพชรบูรน์ เหมือนกับไปแส่หาความตาย จึงไม่มีชาวกรุงเทพฯ หรือชาวเมืองอื่น ๆ พอไจจะไปเมืองเพชรบูรน์มาช้านาน แม้ไนการปกครอง รัถบาลก็ต้องเลือกหาคนไนท้องถิ่นตั้งเปนเจ้าเมืองกรมการ เพราะเหตุที่คนกลัวความไข้ เมื่อแรกฉันเปนเสนาบดีกะซวงมหาดไทย ก็ต้องปล่อยไห้เมืองเพชรบูรน์กับเมืองอื่นไนลุ่มแม่น้ำสักทางฝ่ายเหนือ คือ เมืองหล่มสัก และเมืองวิเชียร เปนหยู่หย่างเดิมมาหลายปี เพราะจะรวมเมืองเหล่านั้นเข้ากับมนทลพิสนุโลกหรือมนทลนครราชสีมาที่เขตต่อกันก็มีเทือกเขากั้น สมุหเทสาภิบาลจะไปตรวดตราลำบากทั้ง 2 ทาง อีกประการหนึ่ง เมื่อแรกฉันจัดการปกครองหัวเมือง มนทลต่าง ๆ ขอคนออกไปรับราชการ ฉันยังหาส่งไปไห้ไม่ทัน เมืองทางลำน้ำสัก มีเมืองเพชรบูรน์เปนต้น ไม่มีไครสมัคไปด้วยกลัวความไข้ดังกล่าวมาแล้ว จึงต้องรอมา

มามีความจำเปนเกิดขึ้นเมื่อราว พ.ส. 2440 ด้วยตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรน์ว่างลง ฉันหาคนไนกรุงเทพฯ ไปเปนเจ้าเมืองไม่ได้ เลือกดูกรมการไนเมืองเพชรบูรน์เอง ที่จะสมควนเปนผู้ว่าราชการจังหวัดก็ไม่มี นึกว่า มนทลพิสนุโลกมีท้องที่ความไข้ร้ายหลายแห่ง บางทีจะหาข้าราชการไนมนทลนั้นที่คุ้นกับความไข้ไปเปนเจ้าเมืองเพชรบูรน์ได้ เวลานั้น เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิถสักดิ์ (เชย กัลยานมิตร) เมื่อยังเปนที่พระยาสรีสุริยราชวรานุวัติ เปนสมุหเทสาภิบาลมนทลพิสนุโลก ฉันเคยเห็นท่านถนัดเลือกคนไช้ จึงถามท่านว่า จะหาข้าราชการไนมนทลพิสนุโลกที่มีความสามาถพอจะเปนเจ้าเมืองและไม่กลัวความไข้เมืองเพชรบูรน์ไห้ฉันสักคนจะได้หรือไม่ ท่านขอไปตริตรองแล้วมาบอกว่า มีหยู่คนหนึ่งเปนที่พระสงครามภักดี (ชื่อ เฟื่อง) นายอำเพอเมืองน้ำปาด ดูลาดเลามีสติปัญญา และเคยไปรับราชการตามหัวเมืองที่มีความไข้ เช่น เมืองหลวงพระบาง และแห่งอื่น ๆ หลายแห่ง เวลานั้น เปนนายอำเพอที่เมืองน้ำปาด ก็หยู่ไนแดนความไข้ เห็นจะพอเปนเจ้าเมืองเพชรบูรน์ได้ ฉันเรียกพระสงครามภักดีลงมากรุงเทพฯ พอแลเห็นก็ประจักส์ไจว่า แกเคยคุ้นกับความไข้ เพราะผิวเหลืองผิดกับคนสามัญ ดูราวกับว่า โลหิตเต็มไปด้วยตัวไข้มาลาเรีย จึงหยู่คงกับความไข้ ฉันไถ่ถามได้ความว่า เปนชาวกรุงเทพฯ แต่ขึ้นไปทำมาหากินหยู่เมืองเหนือตั้งแต่ยังหนุ่ม เคยอาสาไปทัพฮ่อทางเมืองหลวงพระบางและที่อื่น ๆ มีความชอบ เจ้าพระยาสุรสีห์ฯ จึงชวนเข้ารับราชการมาจนได้เปนที่พระสงครามภักดี ฉันซักไซ้ต่อไปถึงความคิดการงาน ดูก็มีสติปัญญาสมดังเจ้าพระยาสุรสีห์ฯ บอก จึงไห้พระสงครามภักดีขึ้นไปเปนผู้รั้งราชการเมืองเพชรบูรน์ แกไปถึง พอเรียนรู้ความเปนไปไนท้องที่แล้ว ก็ลงมือจัดการปกครองตามแบบมนทลพิสนุโลก บ้านเมืองมีความจเรินขึ้น พระสงครามภักดีก็ได้เลื่อนขึ้นเปนที่พระยาเพชรรัตนสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรน์เต็มตำแหน่ง เมื่อ พ.ส. 2442

การที่พระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) สามาถจัดระเบียบแบบแผนปกครองเมืองเพชรบูรน์สำเหร็ดนั้น เปนมูลไห้ต้องปรารภต่อไปถึงเมืองหล่มสักและเมืองวิเชียรบุรีที่หยู่ลุ่มลำน้ำสักด้วยกัน เห็นว่า ถึงเวลาควนจะจัดการปกครองไห้เข้าแบบแผนด้วย แต่จะเอาหัวเมืองทางลำน้ำสักไปเข้าไนมนทลได ก็ขัดข้องด้วยทางคมนาคมดังกล่าวมาแล้ว จะปกครองได้สดวกหย่างเดียวแต่รวมหัวเมืองไนลุ่มน้ำสัก 3 เมือง แยกเปนมนทลหนึ่งต่างหาก จึงตั้งมนทลเพชรบูรน์ขึ้น (ดูเหมือน) เมื่อ พ.ส. 2443 ผู้ที่จะเปนสมุหเทสาภิบาลเพชรบูรน์ก็ไม่มีผู้อื่นหยากเปน หรือจะเหมาะเหมือนพระยาเพชรรัตนฯ (เฟื่อง) เพราะหยู่คงความไข้ และได้สแดงคุนวุทธิไห้ปรากตแล้วว่า สามาถจะปกครองได้ พระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) ก็ได้เปนสมุหเทสาภิบาล แต่แรกคนทั้งหลายหยู่ข้างจะประหลาดไจ ด้วยสมุหเทสาภิบาลมนทลอื่นล้วนเปนเจ้านายหรือข้าราชการผู้ไหย่อันปรากตเกียรติคุนแพร่หลาย แต่มิไคร่รู้จักพระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) เพราะแกเคยรับราชการหยู่แต่ไนท้องที่ลับลี้ห่างไกล คนเห็นสมุหเทสาภิบาลแปลกหน้าขึ้นไหม่ ก็พากันพิสวง แต่เมื่อแกได้เข้าสมาคมไนกรุงเทพฯ ไม่ช้าเท่าได ก็ปรากตเกียรติคุน เช่น นั่งไนที่ประชุมสมุหเทสาภิบาล เพื่อนสมุหเทสาภิบาลด้วยกันก็เห็นว่า เปนคนมีสติปัญญาสมควนแก่ตำแหน่ง แม้ผู้อื่นที่ไนสมาคมข้าราชการ พอได้คุ้นเคยเห็นมารยาทและกิริยาอัชชาสัย ก็รู้ตระหนักว่า เปนผู้ดี มิไช่ไพร่ได้ดี ก็ไม่มีไครรังเกียด แม้สมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวงเมื่อดำหรัดถามถึงราชการต่าง ๆ ไนมนทลเพชรบูรน์ แกกราบทูนชี้แจง ก็โปรด และยังซงพระเมตตา เพราะเปนสหชาติเกิดร่วมปีพระบรมราชสมภพด้วยอีกสถานหนึ่ง แต่สง่าราสีของพระยาเพชรรัตนฯ (เฟื่อง) ดูเหมือนจะหยู่ที่ผิวแกเหลืองผิดกับผู้อื่นนั้นเปนสำคัน ไครเห็นก็รู้ว่าแกได้ดีเพราะได้ลำบากตรากตรำทำราชการเอาชีวิตสู้ความไข้มาแต่หนหลัง อันนี้เปนเครื่องป้องกันความบกพร่องยิ่งกว่าหย่างอื่น แต่พระยาเพชรรัตนฯ (เฟื่อง) เปนสมุหเทสาภิบาลมนทลเพชรบูรน์หยู่ได้เพียง 3 ปี ถึง พ.ส. 2446 เข้ามาเฝ้าไนกรุงเทพฯ เมื่องานฉลองพระชนมายุครบ 50 ปี ก็มาเปนอหิวาตกโรคถึงอนิจกัม สิ้นบุญเพียงอายุ 50 ปีเท่านั้น ไครรู้ก็อนาถไจ ด้วยเห็นว่า แกเพียรต่อสู้ความไข้ชนะโรคมาลาเรียแล้วมาแพ้ไข้อหิวาตกโรคง่าย ๆ เพราะไม่ได้เตรียมตัวต่อสู้มาแต่หนหลัง มีคนพากันเสียดาย

(2)

เมื่อพระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) เปนสมุหเทสาภิบาลมนทลเพชรบูรน์ เคยปรารภกับฉันเนือง ๆ ว่า การปกครองมนทลเพชรบูรน์ไม่สู้ยากนัก เพราะราสดรเปนคนเกิดไนมนทลนั้นเองแทบทั้งนั้น ชอบแต่ทำมาหากิน มิไคร่เปนโจรผู้ร้าย บังคับบันชาก็ว่าง่าย ราชการไนมนทลนั้นมีความลำบากเปนข้อสำคันแต่หาคนไช้ไม่ได้พอการ เพราะคนไนพื้นเมืองยังอ่อนแก่การสึกสา คนมนทลอื่นก็มิไคร่มีไครยอมไปด้วยกลัวความไข้ จะจัดทำอะไรจึงมักติดขัดด้วยไม่มีคนจะทำ ที่จิงความไข้ที่เมืองเพชรบูรน์ก็มีแต่เปนรึดู มิได้มีหยู่เสมอ สังเกตดูอาการไข้ก็ไม่ร้ายแรงถึงหย่างยิ่งยวด ความไข้ทางเมืองหลวงพระบาง หรือแม้ไนมนทลพิสนุโลกทางข้างเหนือ ร้ายกว่าเปนไหน ๆ แต่มิรู้ที่จะทำหย่างไรไห้คนหายกลัวไข้เมืองเพชรบูรน์ได้ ฉันพูดว่า ตัวฉันเองก็ลำบากไนเรื่องหาคนไปรับราชการมนทลเพชรบูรน์เหมือนกัน ได้เคยคิดหาอุบายที่จะระงับความกลัวไข้เมืองเพชรบูรน์ เห็นว่า ตัวฉันจะต้องขึ้นไปเมืองเพชรบูรน์เองไห้ปรากตเสียสักครั้งหนึ่ง คนอื่นจึงจะหายกลัว ด้วยเห็นว่า ความไข้คงไม่ร้ายแรงถึงหย่างเช่นกลัวกัน ฉันจึงกล้าไป ถึงจะยังมีคนกลัว ชักชวนก็ง่ายขึ้น ด้วยอาดอ้างตัวหย่างว่า แม้ตัวฉันก็ได้ไปแล้ว พระยาเพชรรัตนฯ ชอบไจว่า ถ้าฉันไป คนก็เห็นจะหายกลัวได้จิง ถามพระยาเพชรรัตนฯ ถึงทางที่จะไปมนทลเพชรบูรน์ แกบอกว่า ไปได้หลายทาง ที่ไปได้สดวกนั้นมี 3 ทาง คือ ไปเรือไนแม่น้ำสักทางหนึ่ง ไปจากกรุงเทพฯ ราว 30 วันถึงเมืองเพชรบูรน์ อีกทางหนึ่ง จะเดินบกจากเมืองสระบุรีหรือเมืองลพบุรีก็ได้ เดินทางราว 10 วันถึงเมืองเพชรบูรน์ แต่ว่าหนทางหยู่ข้างลำบากและไม่มีอะไรน่าดู ทางที่ 3 นั้น ไปเรือ มีเรือไฟจูงจากกรุงเทพฯ ราว 7 วัน ไปขึ้นเดินบกที่อำเพอบางมูลนาค แขวงจังหวัดพิจิตร เดินบกอีก 4 วันถึงเมืองเพชรบูรน์ และว่า ทางนี้สดวกกว่าทางอื่น แต่การที่ฉันจะไปเมืองเพชรบูรน์ ต้องกะเวลาไห้เหมาะด้วย คือ ควนไปไนรึดูแล้งเมื่อแผ่นดินแห้งพ้นเขตความไข้แล้ว แต่ต้องเปนแต่ต้นรึดูแล้งเมื่อน้ำยังไม่ลดมากนัก ทางเรือจึงจะสดวก ไปไนเดือนมกราคมเปนเหมาะกว่าเดือนอื่น แต่ฝ่ายตัวฉันยังมีข้ออื่นที่จะต้องคิดอีก คือ จะต้องหาโอกาสว่างราชการไนเดือนมกราคมไห้ไปหยู่หัวเมืองได้สักเดือนหนึ่ง เมื่อปรึกสากับพระยาเพชรรัตนสงครามแล้ว ฉันยังหาโอกาสไม่ได้ ต้องเลื่อนกำหนดมาถึง 2 ปี ไนระหว่างนั้น พระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) ถึงอนิจกัม ก็ไม่ได้ไปด้วยดังนัดกันไว้ ฉันมาได้โอกาสไปเมืองเพชรบูรน์ เมื่อ พ.ส. 2447 กะว่าจะไปทางเรือจนถึงบางมูลนาค แล้วขึ้นเดินบกไปเมืองเพชรบูรน์และเมืองหล่มสัก ขากลับจะลงเรือที่เมืองหล่มสัก ล่องลำแม่น้ำสักมายังเมืองวิเชียรบุรี แล้วเลยลงมาจนถึงเมืองสระบุรี ขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ

พอข่าวปรากตว่า ฉันเตรียมตัวจะไปเมืองเพชรบูรน์ ก็มีพวกพ้องพากันมาไห้พร คล้ายกับจะส่งไปทัพบ้าง มาห้ามปรามโดยเมตตาปรานีด้วยเห็นว่า ไม่พอที่ฉันจะไปเสี่ยงภัยบ้าง ผิดกับเคยไปไหน ๆ มาแต่ก่อน ฉันบอกว่า เปนราชการ จำที่จะต้องไป และได้ทูนลาเส็ดแล้ว ที่ห้ามปรามก็เงียบไป แต่ส่วนพระองค์สมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวงนั้น ซงพระราชดำหริเห็นชอบด้วย ตั้งแต่ฉันกราบทูนความคิดที่จะไปมนทลเพชรบูรน์ ตรัดว่า “ไปเถิด หย่ากลัว สมเด็ดพระพุทธยอดฟ้าฯ ของเราท่านก็สเด็ดไปแล้ว” ไนเวลานั้น ตัวฉันเองตั้งแต่เปนเสนาบดีกะซวงมหาดไทยได้ไปตามหัวเมืองต่าง ๆ เคยผ่านป่าดงแม้ที่ว่าไข้ร้ายมาหลายครั้งแล้ว ไม่รู้สึกครั่นคร้ามหย่างไร แต่ประหลาดหยู่ที่พอรู้กันว่า ฉันจะไปเมืองเพชรบูรน์เปนแน่ ก็มีผู้มาขอไปเที่ยวด้วยหลายคน แม้พวกที่ฉันเลือกเอาไปช่วยธุระหรือไช้สอยก็สมัคไปด้วยยินดี ไม่เห็นมีไครครั่นคร้าม คงเปนด้วยอุ่นไจ คล้ายกับจะเข้าไปยังที่ซึ่งเขาว่า ผีดุ ไม่มีไครกล้าไปคนเดียว แต่พอมีเพื่อนไปด้วยหลายคน ก็หายกลัวผีไปเอง

(3)

ฉันออกเรือจากกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ส. 2447 ช้าไปสัก 1 5 วัน น้ำไนแม่น้ำตั้งแต่กรุงสรีอยุธยาขึ้นไปลดงวดลงเสียมาก แม้เรือไฟที่จูงเรือพ่วงเปนหย่างกินน้ำตื้นก็ลำบาก ต้องเดินเรือถึง 8 วันจึงถึงอำเพอบางมูลนาค แขวงจังหวัดพิจิตร ที่จะขึ้นเดินทางบก เทสาภิบาลมนทลพิสนุโลกจัดพาหนะและคนหาบของเตรียมไว้แล้ว พอฉันขึ้นไปถึง ก็มีพวกที่ถูกเกนจ้างหาบของเข้ามาวิงวอนขอไห้ไช้ไปทางอื่น หย่าไห้ต้องไปเมืองเพชรบูรน์ เพราะกลัวความไข้ ฉันประหลาดไจที่คนเหล่านั้นหยู่ไกล้ ๆ กับเมืองเพชรบูรน์ ไฉนจึงกลัวไข้ถึงปานนั้น สืบถามได้ความว่า พวกชาวจังหวัดพิจิตรที่หยู่ตอนริมน้ำเคยเดินป่าไปทำมาหากินแต่ทางฝ่ายตะวันตกจนถึงเมืองกำแพงเพชรและเมืองสุโขทัย น้อยคนที่จะได้เคยไปทางฝ่ายตะวันออกห่างลำแม่น้ำไปกว่าวันเดียว เพราะเคยได้ยินเลื่องลือถึงความไข้เมืองเพชรบูรน์ กลัวกันมาเสียช้านาน ฉันก็ได้แต่ชี้แจงแก่พวกที่มาขอตัวว่า ขอไห้คิดดูเถิด ตัวฉันเองถึงเปนเจ้า ก็เปนมนุส อาดจะเจ็บอาดจะตายได้เหมือนกับพวกเขา ที่ฉันจะไปเมืองเพชรบูรน์ก็เพื่อจะไปทำราชการของพระเจ้าหยู่หัว มิไช่จะไปหาความสุขสนุกสบายสำหรับตัวเอง พวกเขาก็เปนข้าแผ่นดินเหมือนกับตัวฉัน มาช่วยกันทำราชการสนองพระเดชพระคุนพระเจ้าหยู่หัวสักคราวเปนไร อีกประการหนึ่ง ฉันไม่ได้คิดจะเอาพวกเขาไปจนถึงเมืองเพชรบูรน์ จะไห้ไปส่งเพียงปลายแดนจังหวัดพิจิตร ทางเพียง 3 วันเท่านั้นก็จะได้กลับมาบ้าน ฉันจะดูแลป้องกันมิไห้ไปเจ็บไข้ไนกลางทาง หย่าวิตกเลย พวกนั้นได้ฟังก็ไม่กล้าขอตัวต่อไป แต่สังเกตดูเมื่อเดินทางไปไม่เห็นมีไครหน้าตาเบิกบาน คงเปนเพราะยังกลัวหยู่ไม่หาย แต่เมื่อเดินทางไป 2 วัน พอถึงบ้านตำปางที่ไนป่า ก็ไปเกิดประหลาดไจ ด้วยไปพบราสดรที่มีความนิยมตรงกันข้าม หมู่บ้านเหล่านั้นก็หยู่ไนแดนจังหวัดพิจิตร แต่ชาวบ้านชอบไปทำมาหากินแต่ทางฝ่ายตะวันออกจนถึงเมืองเพชรบูรน์ เมืองหล่มสัก และเมืองวิเชียร แต่ไม่ชอบลงไปทางริมแม่น้ำ เช่นที่บางมูลนาคเปนต้น ด้วยเกรงความไข้ไนที่ลุ่ม คนที่ได้ไปแล้วคนหนึ่งบอกฉันว่า เคยไปขี่เรือครั้งหนึ่ง พอเรือออก เวียนหัวทนไม่ไหว แต่นั้นก็ไม่กล้าลงเรืออีก ดูประหลาดนักหนา คนหยู่ห่างกันเพียงทางเดิน 2 วัน พูเขาเลากาอะไรก็ไม่มีคั่น ความนิยมกลับตรงกันข้ามถึงหย่างนั้น

ระยะทางบกแต่บางมูลนาคไปถึงเมืองเพชรบูรน์ราว 3,000 เส้น เดินทางไนรึดูแล้งเมื่อแผ่นดินแห้งแล้วไม่ลำบากหย่างไร ออกจากบางมูลนาคเปนที่ลุ่มราบซึ่งน้ำท่วมไนรึดูน้ำไปสัก 300 เส้นถึงเมืองภูมิเก่า ว่า เปนเมืองโบราน ทำนาได้ผลดี ยังมีบ้านช่องแน่นหนา ออกจากเมืองภูมิไป ยังเปนที่ลุ่ม เปนพรุ และเปนป่าไผ่อีกสัก 500 เส้นจึงขึ้นที่ดอน เปนโคกป่าไม้เต็งรัง ชายโคกเปนห้วยเปนดงสลับกันไปสัก 1 ,000 เส้น ถึงเชิงเทือกเขาบันทัด ที่เปนเขตแดนจังหวัดพิจิตรกับจังหวัดเพชรบูรน์ต่อกันบนสันเขานั้น ทางตอนข้ามเขาบันทัดเปนดงดิบเช่นเดียวกับดงพระยาไฟ แต่เดินขึ้นเขาได้สดวกเพราะทางลาดขึ้นไปไม่สู้ชันนัก เมื่อฉันไปถึงที่พักแรมตำบนซับมาแสนบนสันเขาบันทัด พวกชาวเมืองเพชรบูรน์มารับ ผลัดหาบหามจากพวกเมืองพิจิตร คืนวันนั้น ได้เห็นความรื่นเริงของพวกที่ไปจากเมืองพิจิตรเปนครั้งแรก พากันร้องเพลงเล่นหัวเฮฮาหยู่จนเวลาจะนอน ถึงต้องไห้ไปห้ามปากเสียง ครั้นรุ่งเช้า เมื่อก่อนจะออกเดินทาง ฉันเรียกพวกเมืองพิจิตรมาขอบไจและสแดงความยินดีที่ไม่มีไครเจ็บไข้ พวกเหล่านั้นบอกว่า ได้มาเห็นหย่างนี้แล้วก็สิ้นกลัว บางคนถึงพูดว่า “ถ้าไต้เท้ามาอีก ผมจะมารับอาสาไม่ไห้ต้องเกนทีเดียว” ออกเดินจากตำบนซับมาแสน เปนทางลงจากเขามาสัก 200 เส้น ก็พ้นดงเข้าเขตบ้านล่องคล้า เดินแต่บ้านล่องคล้าขึ้นไปทางเหนือสัก 500 เส้นถึงบ้านนายม ไปจากบ้านนายมอีกสัก 400 เส้นก็ถึงเมืองเพชรบูรน์

(4)

ฉันไปถึงเมืองเพชรบูรน์เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ท้องที่มนทลเพชรบูรน์ บอกแผนที่ได้ไม่ยาก คือ ลำแม่น้ำสักเปนแนวแต่เหนือลงมาไต้ มีพูเขาสูงเปนเทือกลงมาตามแนวลำน้ำทั้ง 2 ฟาก เทือกข้างตะวันออกเปนเขาปันน้ำต่อแดนมนทลนครราชสีมา เทือกข้างตะวันตกเปนเขาปันน้ำต่อแดนมนทลพิสนุโลก เทือกเขาทั้งสองข้างนั้น บางแห่งก็ห่าง บางแห่งก็ไกล้ลำแม่น้ำสัก เมืองหล่มสักหยู่ที่สุดลำน้ำสักทางข้างเหนือต่อลงมาถึงเมืองเพชรบูรน์ ตรงที่ตั้งเมืองเพชรบูรน์ เทือกเขาเข้ามาไกล้ลำน้ำ ดูเหมือนจะไม่ถึง 300 เส้น แลเห็นต้นไม้บนเขาถนัดทั้ง 2 ฝ่าย ทำเลที่เมืองเพชรบูรน์ตอนริมลำแม่น้ำเปนที่ลุ่ม รึดูน้ำ ๆ ท่วมแทบทุกแห่ง พ้นที่ลุ่มขึ้นไปเปนที่ราบ ทำนาได้ผลดี เพราะอาดจะขุดเหมืองชักน้ำจากลำห้วยมาเข้านาได้เหมือนเช่นที่เมืองลับแล พ้นที่ราบขึ้นไปเปนโคกสลับกับแอ่งเปนหย่อม ๆ ไปจนถึงเชิงเขาบันทัด บนโคกเปนป่าไม้เต็งรัง เพาะปลูกอะไรหย่างอื่นไม่ได้ แต่ตามแอ่งนั้นเปนที่น้ำซับ เพาะปลูกพรรนไม้งอกงามดี เมืองเพชรบูรน์จึงสมบูรน์ด้วยกสิกัม จนถึงชาวเมืองทำนาปีหนึ่งเว้นปีหนึ่งก็ได้ข้าวพอกันกิน ราคาข้าวเปลือกซื้อขายกันเพียงเกวียนละ 16 บาทเท่านั้น แต่จะส่งข้าวเปนสินค้าไปขายเมืองอื่นไม่ได้ด้วยทางกันดาร เมื่อข้าวไปถึงเมืองอื่น คิดค่าขนข้าวด้วยราคาแพงกว่าข้าวที่ขายกันไนเมืองนั้น ๆ ชาวเพชรบูรน์จึงทำนาแต่พอกินไนพื้นเมือง สิ่งซึ่งเปนสินค้าสำคันของเมืองเพชรบูรน์ก็คือยาสูบ เพราะรสดีกว่ายาสูบที่อื่นหมดทั้งเมืองไทย ชาวเมืองเพชรบูรน์จึงหาผลประโยชน์ด้วยปลูกยาสูบขายเปนพื้น ลักสนะปลูกยาสูบที่เมืองเพชรบูรน์นั้น ปลูกตามแอ่งที่น้ำขังไนรึดูฝน ถึงรึดูแล้งพอน้ำไนแอ่งแห้ง ราสดรก็ไปพรวนดินปลูกต้นยาสูบ เมื่อต้นยาสูบงอกงามได้ขนาด ก็เก็บไบยามาผึ่ง แล้วหั่นเอาเข้าห่อไว้ พวกพ่อค้าไปรับซื้อตามบ้านราสดรแล้วบันทุกโคต่างไปขายทางมนทลนครราชสีมาบ้าง มนทลอุดรบ้าง แต่มนทลพิสนุโลกปลูกยาสูบเหมือนกัน จึงไม่ซื้อยาเมืองเพชรบูรน์ แต่ตลาดไหย่ของยาสูบเมืองเพชรบูรน์นั้นหยู่ไนกรุงเทพฯ ถึงรึดูน้ำ พวกพ่อค้าเอายาสูบบันทุกเรือลงมาขายมากกว่าแห่งอื่นเสมอทุกปี ประหลาดหยู่ที่รสยาสูบซึ่งเรียกกันว่า “ยาเพชรบูรน์” นั้น ดีเปนยอดเยี่ยมแต่ที่ปลูกนะเมืองเพชรบูรน์ ถ้าปลูกที่เมืองหล่มสัก หรือปลูกข้างไต้ห่างเมืองเพชรบูรน์ลงมาเพียงทางวันเดียว รสยาก็คลายไป เพราะโอชะดินสู้ที่เมืองเพชรบูรน์ไม่ได้ ถึงที่เมืองเพชรบูรน์เอง ก็ปลูกยาซ้ำที่หยู่ได้เพียงราว 6 ปี แล้วต้องย้ายไปปลูกที่อื่น ปล่อยไห้ดินพักเพิ่มโอชะเสีย 5 ปี 6 ปี จึงกลับไปปลูกที่เก่าอีก

ไนเรื่องที่เลื่องลือว่า ความไข้เมืองเพชรบูรน์ร้ายแรงนั้น เมื่อไปเห็นเมืองเพชรบูรน์ ก็พอได้เค้าเข้าไจว่า เปนเพราะเหตุได คงเปนเพราะเหตุที่เมืองเพชรบูรน์ตั้งหยู่ที่ลุ่มริมลำน้ำ มีเทือกเขาสูงกะหนาบหยู่ไกล้ ๆ ทั้งสองข้าง เทือกเขานั้นเปนหินปูน ถึงรึดูแล้ง ต้นไม้แห้ง ไม่มีไบ หินถูกแดดร้อนจัด ไอขึ้น ลมพัดมาแต่ทิสได ก็พัดพาเอาไอหินเข้ามาร้อนอบหยู่ไนเมือง พอเริ่มรึดูฝน คนถูกไอร้อนของหินกับไอฝนประสมกัน ก็อาดจะเปนไข้ได้สถานหนึ่ง ไนรึดูฝน ๆ ตกชะไบไม้ที่หล่นร่วงเน่าเปื่อยหยู่บนเขา พาเอาพิสไข้ลงมากับน้ำ คนก็อาดเปนไข้ด้วยกินน้ำมีพิสสถานหนึ่ง เมื่อสิ้นรึดูฝน น้ำท่วมแผ่นดินลด กำลังแผ่นดินชื้น ลมหนาวพัดมาระคนกับความชื้น ก็อาดเกิดไข้ได้อีกสถานหนึ่ง แต่สังเกตคนไนพื้นเมือง หรือแม้คนต่างถิ่นที่ไปหยู่จนคุ้นที่แล้ว ดูอนามัยก็เปนปรกติไม่แปลกกับที่อื่น ฉันไถ่ถามพวกกรมการไนพื้นเมืองถึงลักสนะความไข้ เขาบอกว่า ไข้มีชุกแต่เวลาเปลี่ยนรึดู คือ เมื่อรึดูแล้งต่อรึดูฝนคราวหนึ่ง กับเมื่อรึดูฝนต่อรึดูแล้งคราวหนึ่ง ไข้คราวต้นปีเมื่อรึดูแล้งต่อรึดูฝนไม่ร้ายแรงเหมือนกับไข้คราวปลายปีที่เราเรียกว่า “ไข้หัวลม” นอกจาก 2 รึดูนั้น ความไข้เจ็บก็มิไคร่มี โดยจะมีก็เปนหย่างธัมดาไม่ผิดกับที่อื่น ความเห็นของพวกที่ไปจากต่างถิ่นเขาว่า ความไข้เมืองเพชรบูรน์ร้ายกว่ามนทลอื่นบางมนทล เช่นมนทลอยุธยาเปนต้น จิงหยู่แต่ไม่ร้ายแรงเหลือทนเหมือนเช่นเลื่องลือ ถ้ารู้จักะวังรักสาตัว ก็ไม่สู้กะไรนัก แต่สำคันหยู่ที่ไจด้วย ถ้าขี้ขลาด ก็อาดจะเปนได้มาก ๆ เขาเล่าเรื่องเปนตัวหย่างว่า เมื่อปีที่ล่วงมาแล้ว มีเจ้าพนักงานกรมไปรสนีย์คนหนึ่งซึ่งเจ้ากะซวงส่งขึ้นไปหยู่ประจำการนะเมืองเพชรบูรน์ ขึ้นไปทางเรือไนรึดูฝน พอถึงเมืองเพชรบูรน์ก็จับไข้ อาการไม่หนักหนาเท่าไดนัก แต่เจ้าตัวกลัวตายเปนกำลัง พวกที่เมืองเพชรบูรน์บอกว่า จะรักสาไห้หายได้ ก็ไม่เชื่อ ขอแต่ไห้ส่งกลับกรุงเทพฯ หย่างเดียว เขาก็ต้องไห้กลับตามไจ เมื่อลงไปถึงเมืองวิเชียร อาการไข้กำเริบถึงจับไม่ส่าง แต่ต่อไปจะเปนหรือตายหาซาบไม่

ตัวเมืองเพชรบูรน์เปนเมืองมีป้อมปราการส้างมาแต่โบราน เห็นได้ว่า ตั้งเปนเมืองด่าน โดยเลือกที่ชัยภูมิตรงแนวพูเขาเข้ามาไกล้กับลำแม่น้ำสัก มีทางเดินทัพแคบกว่าแห่งอื่น ตั้งเมืองสกัดทาง ทำปราการทั้งสองฟาก เอาลำน้ำสักไว้กลางเมืองเหมือนเช่นเมืองพิสนุโลก สังเกตตามรอยที่ยังปรากต เห็นได้ว่า ส้างเปน 2 ครั้ง ครั้งแรกส้างเมื่อสมัยกรุงสุโขทัย แนวปราการขนาดราวด้านละ 20 เส้น เดิมเปนแต่ถมดินปักเสาระเนียดข้างบน มาส้างไหม่ไนที่อันเดียวกันเมื่อสมัยกรุงสรีอยุธยาอีกครั้งหนึ่ง ร่นแนวย่อมเข้ามาแต่ทำปราการก่อด้วยหินและมีป้อมรายรอบ สำหรับสู้ข้าสึกซึ่งจะยกมาแต่ลานช้าง ข้างไนเมืองมีวัดมหาธาตุกับพระปรางค์เปนสิ่งสำคันหยู่กลางเมือง ฉันได้ไปทำพิธีพุทธบูชาและถวายสังเวยพระบาทสมเด็ดพระพุทธยอดฟ้าจุลาโลกที่วัดมหาธาตุนั้น ที่ไนเมืองแต่ก่อนเห็นจะรกเรี้ยว เพิ่งมาถากถางทำถนนหนทางและปลูกเรือนสำหรับราชการต่าง ๆ เมื่อพระยาเพชรรัตนสงคราม (เฟื่อง) ขึ้นไปหยู่ ไปเห็นเข้าก็คิดถึง

(5)

ฉันเดินบกจากเมืองเพชรบูรน์ไปเมืองหล่มสัก ระยะทางที่ไปราว 1 ,200 เส้น ต้องค้างทางคืนหนึ่ง ทำเลที่เมืองหล่มสัก เปนแอ่งกับเนินสลับกันเหมือนดังพรรนนามาแล้ว แต่มีบ้านเรือนราสดรไนระยะทางถี่ ไม่เปลี่ยวเหมือนทางที่มาจากบางมูลนาคจนถึงเมืองเพชรบูรน์ ผ่านไปไนป่าลานแห่งหนึ่งดูงามนักหนา ต้นลานสูงไหย่แลสล้างไป ไบยาวตั้งราว 6 สอก ผิดกับต้นลานที่เคยเห็นปลูกไว้ตามวัด ดูน่าพิสวง ไนจังหวัดหล่มสักมีต้นลานมากกว่าที่อื่น ถึงไบลานเปนสินค้าไหย่หย่างหนึ่งซึ่งขายไปที่อื่น จังหวัดหล่มสักมีเมือง 2 แห่ง เรียกว่า เมืองหล่มเก่าแห่งหนึ่ง เมืองหล่มสักแห่งหนึ่ง ฉันไปถึงเมืองหล่มสักอันเปนที่บันชาการจังหวัดก่อน ตัวเมืองหล่มสักตั้งหยู่ริมลำแม่น้ำสักทางฟากตะวันตก ไม่มีปราการเปนด่านทางหย่างได แต่ตั้งเมืองบนที่สูง น้ำไม่ท่วมถึง และเขาบันทัดตรงนั้นก็ห่างออกไป ความไข้เจ็บจึงไม่ร้ายแรงเหมือนเมืองเพชรบูรน์ ราสดรจังหวัดหล่มสักเปนไทยลานช้างที่เรียกกันแต่ก่อนว่า “ลาวพุงขาว” เหมือนหย่างชาวมนทลอุดร ไม่เหมือนไทยชาวจังหวัดเพชรบูรน์ซึ่งเปนหย่างเดียวกันกับชาวมนทลพิสนุโลก จำนวนผู้คนพลเมืองมากกว่าเมืองเพชรบูรน์ เพราะการทำมาหากินได้ผลบริบูรน์ดีกว่าเมืองเพชรบูรน์ สินค้าที่ขายไปต่างเมืองมียาสูบและไบลานเปนต้น แต่โคกะบือเปนสินค้าไหย่กว่าอื่น พาเดินลงไปขายทางมนทลนครสวรรค์และเมืองลพบุรีปีละมาก ๆ เสมอทุกปี ฉันได้เลยไปดูถึงเมืองหล่มเก่าซึ่งหยู่ห่างเมืองหล่มสักไปทางทิสตะวันตกเฉียงเหนือระยะทางราว 360 เส้น เมืองหล่มเก่าตั้งหยู่ไนที่แอ่งไหย่ พูเขาล้อมรอบ มีลำห้วยผ่านกลางเมืองมาตกลำน้ำสักข้างไต้เมืองหล่มสัก ทางที่เดินไปจากเมืองหล่มสักเปนที่สูง เมื่อไกล้จะถึงเมืองหล่มเก่า เหมือนกับหยู่บนขอบกะทะ แลลงไปเห็นเมืองหล่มเก่าเหมือนหยู่ไนก้นกะทะ แต่เปนเรือกสวนไร่นา มีบ้านช่องเต็มไปไนแอ่งนั้น น่าพิสวง แต่สังเกตดูไม่มีของโบรานหย่างไดสแดงว่า เปนเมืองรัถบาลตั้งมาแต่ก่อน สันนิสถานว่า เหตุที่จะเกิดเมืองหล่มเก่า เห็นจะเปนด้วยพวกราสดรที่หลบหนีภัยอันตรายไนประเทสลานช้างมาตั้งซ่องมั่วสุมกันหยู่ก่อน แต่เปนที่ดินดี มีน้ำบริบูรน์ เหมาะแก่การทำเรือกสวนไร่นาและเลี้ยงโคกะบือ จึงมีผู้คนตามมาหยู่มากขึ้นโดยลำดับจนเปนเมือง แต่เปนเมืองมาแต่สมัยกรุงสุโขทัย มีชื่อปรากตไนสิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง เรียกว่า “เมืองลุ่ม” ชั้นหลังมาจึงเรียกว่า “เมืองหล่ม” ก็หมายความหย่างเดียวกัน แต่เมืองหล่มสักเปนเมืองตั้งไหม่ไนชั้นหลัง เข้าไจว่า เพิ่งตั้งเมื่อรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินท์นี้ เพื่อจะไห้สดวกแก่การคมนาคม จึงมาตั้งเมืองที่ริมลำน้ำสัก และเอาชื่อลำน้ำเพิ่มเข้าเรียกว่า “เมืองหล่มสัก” ไห้ผิดกับเมืองหล่มเดิม แต่เหตุไดลำน้ำจึงชื่อว่า “ลำน้ำสัก” หรือ “ลำน้ำป่าสัก” ข้อนี้ฉันสืบสวนไม่ได้ความ สิ่งสำคันอันไดที่มีคำว่า “สัก” เปนชื่อหรือป่าไม้สักทางนั้นก็ไม่มี ต้องยอมจน

เดิมฉันคิดว่า ขากลับจะลงเรือที่เมืองหล่มสัก ล่องลำน้ำสักลงมาจนถึงเมืองสระบุรี แต่น้ำลดเสียมากแล้ว จะลงเรือมาแต่เมืองหล่มสักไม่ได้ จึงต้องเดินบกย้อนกลับมาลงเรือที่เมืองเพชรบูรน์ ฉันสั่งไห้ส่งเรือมาดเก๋ง 6 แจวขนาดย่อมขึ้นไปรับสำหรับตัวฉันจะมาเองลำหนึ่ง เรือสำหรับผู้อื่นจะมา ฉันไห้หาซื้อเรือพายม้า 2 แจวที่ไช้กันไนเมืองเพชรบูรน์ทำประทุนเปนที่อาสัยไห้มาลำละคนหนึ่งบ้างสองคนบ้างจนครบตัวกัน

(6)

ฉันลงเรือล่องจากเมืองเพชรบูรน์เมื่อวันที่ 1 1 กุมภาพันธ์ ลำน้ำที่เมืองเพชรบูรน์แคบกว่าตอนไต้ไนแขวงสระบุรีมาก ที่บางแห่งเมื่อเรือล่องลงมาถึงปลายกิ่ง ต้นตะไคร้น้ำที่ขึ้นหยู่กับหาดประเก๋งเรือทั้งสองข้าง น้ำก็ตื้น รึดูแล้งไช้เรือได้แต่ขนาดเรือพายม้า พอพ้นที่ตั้งเมืองลงมาทั้งสองฝั่งเปนป่าต้นไม้ไหย่ เช่น ต้นตะเคียน ต้นยาง และต้นสะตือ ขึ้นทึบบังแสงแดดร่มทั้งเวลาเช้าและบ่าย มีบ้านคนตั้งประปรายมาเพียงบ้านนายม ต่อนั้นก็เปนป่าเปลี่ยวลงมาทางหลายวัน ไนระยะที่เปลี่ยวนั้น ล่องเรือลำบาก ด้วยตามปรกติเมื่อถึงรึดูฝนน้ำหลาก สายน้ำแรง มักกัดตลิ่งพัง เปนเหตุไห้ต้นไม้ไหย่โค่นล้มลงไนลำน้ำกีดขวางทางเรือ บางต้นล้มข้ามลำน้ำเหมือนหย่างสะพาน เรือลอดมาได้ก็มี บางต้นล้มทอดหยู่ไนท้องน้ำ ต้องเข็นเรือข้ามมาก็มี บางต้นจะลอดหรือจะเข็นเรือข้ามไม่ได้ทั้ง 2 สถาน ต้องขุดดินหรือชายตลิ่งพอเปนช่องไห้เรือหลีกมาทางโคนต้นไม้ก็มี โดยปรกติไม่มีไครไปจับต้อง ทิ้งไว้จนสายน้ำหลากปีหลังพัดพาขอนไม้ไห้ลอยไป หรือทิ้งหยู่จนผุไปเอง เมื่อฉันไป พวกเมืองเพชรบูรน์เขาล่วงหน้าลงมาถากถางทางบ้างแล้ว แต่กะนั้น ต้นไม้ที่โค่นกีดขวางบางต้นไหย่โตเหลือกำลังที่พวกทำทางจะตัดทอนชักลากเอาไปทิ้งที่อื่นได้ จึงต้องเข็น หรือข้าม หรือหลีกขอนไม้มาไม่รู้ว่า วันละสักกี่ครั้ง เปนความลำบากและชวนไห้ท้อไจไนการล่องลำน้ำสักยิ่งกว่าหย่างอื่น แต่ต้องนึกชมความคิดของคนโบรานที่เขาคิดทำเรือมาดขึ้นกะดานเช่นเรือพายม้าไช้ไนที่เช่นนั้น เพราะท้องเรือมาดเปนไม้หนา ถึงจะเข็นลากลู่ถูกังหย่างไรก็ทนได้ ที่ขึ้นกะดานต่อขึ้นมา 2 ข้างก็ทำไห้เรือเบา บันทุกได้จุกว่าเรือมาดทั้งลำ เปนของคิดถูกตามวิทยาสาตร ถ้าเปนเรือต่อ เช่นเรือบดหรือเรือสำปั้น ก็เห็นจะแตกป่นล่องลำน้ำสักลงมาไม่ได้ตลอด เมื่อก่อนไปมนทลเพชรบูรน์ฉันเคยเห็นเรือมอขนาดไหย่บันทุกสินค้าเมืองเพชรบูรน์ลงมาขายถึงกรุงเทพฯ เสมอทุกปี เมื่อต้องไปเข็นเรือข้ามขอนดังกล่าวมาแล้ว คิดไม่เห็นว่า เรือไหย่ที่บันทุกสินค้าจะล่องลงมาถึงกรุงเทพฯ ได้หย่างไร ถามพวกชาวเมืองเพชรบูรน์ เขาบอกว่า เรือบันทุกสินค้าเหล่านั้นไม่ได้ขึ้นล่องทางลำแม่น้ำสักตลอด ประเพนีของพวกพ่อค้า เมื่อไกล้จะถึงเวลาน้ำหลาก เขาบันทุกสินค้าลงเรือเตรียมไว้ พอน้ำท่วมฝั่ง ก็ล่องเรือหลีกลำน้ำสักตอนมีไม้ล้มกีดขวางไปตามที่ลุ่มที่น้ำท่วมบนตลิ่ง จนถึงที่กว้างพ้นเครื่องกีดขวาง จึงล่องทางลำน้ำสัก เมื่อส่งสินค้าแล้ว ก็รีบซื้อของไนกรุงเทพฯ บันทุกกลับขึ้นไปไห้ทันไนรึดูน้ำ พอถึงเมืองเพชรบูรน์ ก็เอาเรือขึ้นคาน เรือบันทุกสินค้าขึ้นล่องแต่ปีละครั้งเดียวเท่านั้น นอกจากต้นไม้ล้มกีดขวางทางเดินเรือดังกล่าวมา ยังมีแก่งต้องชลอเรือหลีกหินมาเนือง ๆ แม่น้ำสักตอนข้างเหนือยังผิดกับล้ำน้ำอื่น ๆ อีกหย่างหนึ่ง ที่ทางเปลี่ยวเปนหย่างยิ่ง บางวันฉันถามคนทำทางว่า “นี่เรามาถึงไหนแล้ว” แกตอบว่า “ที่ตรงนี้ยังไม่เคยมีชื่อ” วันหนึ่งแกบอกว่า “พรุ่งนี้จะถึงท่าแดง” ฉันก็เข้าไจว่าคงจะได้เห็นบ้านเรือน แต่เมื่อไปถึงท่าแดง เห็นแต่ไร่หยู่ที่ชายตลิ่งแห่งหนึ่ง แต่ตัวเจ้าของไร่ขึ้นไปขัดห้างหยู่บนกอไผ่ ถามได้ความว่า บ้านหยู่ห่างลำน้ำไปสักวันหนึ่ง มาตั้งทำไร่ชั่วคราว ไม่กล้าปลูกทับกะท่อมหยู่กับแผ่นดิน ด้วยกลัวเสือ จึงขัดห้างหยู่บนกอไผ่ สัตว์ป่าก็ชุมจิงหย่างว่า จอดเรือเข้าแห่งได ตามชายตลิ่งก็เห็นรอยสัตว์ป่าเกลื่อนกล่น มีทั้งรอยช้างเถื่อน รอยเสือ รอยกวางและหมูป่า เพราะตอนนี้เทือกพูเขาห่างทั้งสองฝ่าย ถึงรึดูแล้งที่แผ่นดินแห้งผากไม่มีน้ำ สัตว์ป่าต้องลงมากินน้ำไนลำน้ำสัก ๆ ตอนนี้ก็เปนที่เปลี่ยว ไม่มีคนไปมาเบียดเบียน สัตว์ป่าจึงชอบมาอาสัยไนรึดูแล้ง ประหลาดหยู่หย่างหนึ่งที่ลำแม่น้ำสักข้างตอนไต้ไนแขวงเมืองสระบุรี ไม่ปรากตว่ามีจระเข้ แต่ไนตอนเปลี่ยวมีจระเข้ชุม เห็นรอยตามตลิ่งเกลื่อนไป

การล่องลำแม่น้ำสักตอนเหนือถึงลำบากก็สนุก สนุกตั้งแต่ลงเรือเล็ก ๆ แยกกันลำละคนสองคน แล่นเรียงเคียงคลอล้อเล่นกันเรื่อยมา แต่หลายวันเข้าก็เกิดไม่สบาย ด้วยหยู่ไนเรือได้แต่นอนกับนั่งราบมา 2 ท่าตลอดวันยังค่ำจนเมื่อยขบและปวดหัวเข่า บางคนบ่นว่า เหมือนกับมาไนโลง ต่างคนก็คิดอุบายแก้เมื่อยขบด้วยประการต่าง ๆ บางคนเห็นตรงไหนพอจะเดินได้ก็ขึ้นเดินบก บางคนก็ออกไปรับผลัดแจวเรือ บางคนก็เจาะหลังคาประทุนเรือเปนช่องมีฝาจับโพล่ปิด ถึงเวลาแดดร่ม เปิดฝาจับโพล่ยืนโผล่ขึ้นไปดูอะไรต่ออะไรเล่น และดัดขาแก้ปวดหัวเข่าก็มี ส่วนตัวฉันเองมาไนเรือเก๋ง มีที่กว้างและมีช่องหน้าต่างพอเยี่ยมมองดูอะไร ๆ ได้ ไม่ปิดทึบเปนโลงเหมือนเรือประทุน ถึงกะนั้น พอถึงวันที่ 3 ก็รู้สึกเมื่อย ไห้เอาเก้าอี้ผ้าไบมาตั้งนอนเอนหลังและห้อยขาแก้เมื่อยได้บ้าง แต่เวลาเผลอตัวผลกหัวขึ้น ก็โดนเพดานเก๋งเจ็บหลายหน ล่องเรือมาทางลำแม่น้ำสักยังมีแปลกอีกหย่างหนึ่ง ด้วยกำหนดที่พักแรมล่วงหน้าไม่ได้เหมือนเช่นไปทางลำน้ำอื่น ๆ เพราะต้องเสียเวลาเข็นเรือข้ามขอนวันละหลาย ๆ ครั้ง ไม่รู้ว่า วันไหนจะไปได้จนถึงไหน ทางก็เปลี่ยว บ้านช่องผู้คนก็ไม่มีจะเปนที่อาสัยพักแรม จึงต้องเอาแสงตะวันเปนหลักล่องลงมาพอถึงเวลาราวบ่าย 4 โมง ก็มองหาชายตลิ่งที่เปนหาดพอจะจอดเรือพักแรมได้ จอดแล้วพอพลบค่ำก็ต้องกองไฟรายล้อม ไห้บันดาคนที่ไปด้วยกันหยู่แต่ไนวงกองไฟ เพราะไม่รู้ว่า สัตว์ป่ามันจะหยู่ที่ไหน ครั้งนั้น พระยาวจีสัตยารักส์ (ดิส) เมื่อยังเปนพระยาสระบุรี คุมเรือขึ้นไปรับฉันที่เมืองเพชรบูรน์ แกไปเล่าว่า ไปกลางทางเวลากลางคืน มีสัตว์อะไรหย่างหนึ่งได้ยินแต่เสียงร้อง “ป๊อกเจี๊ยก ๆ” มันมาเที่ยวเลาะหยู่รอบกองไฟ จนพวกคนแจวเรือพากันกลัวอ้ายตัวป๊อกเจี๊ยก เพราะไม่รู้ว่า มันเปนตัวอะไร แต่เมื่อฉันลงมา หาได้ยินเสียงสัตว์หย่างไดไม่ พวกที่มาด้วยกันเฝ้าเตือนถึงตัวป๊อกเจี๊ยกจนพระยาวจีฯ ออกเคือง แต่ก็ยืนยันว่า มีตัวป๊อกเจี๊ยกหยู่เสมอ จนเลยเปนเรื่องขบขัน แต่ลำแม่น้ำสักตอนที่เปลี่ยวนี้ ถ้าว่าไนทางชมดง ก็น่าชมนัก เพราะสง่างามตามธัมชาติ จะหาที่อื่นเปรียบได้โดยยาก เวลามาไนเรือ จะแลดูไปทางไหนก็เห็นแต่ต้นไม้ป่าต่าง ๆ ทั้งไหย่น้อยสลับสลอนซ้อนซับกันไปรอบข้าง บนยอดไม้ก็มีนกพวกหยู่ป่าสูง เช่นนกยูงเปนต้น จับหยู่ไห้เห็นแทบทุกวัน และยังมีสัตว์แปลก ๆ เช่นตัวบ่าง รูปร่างคล้ายกะรอก แต่ขนาดสักเท่าแมว มันยืดหนังระหว่างขาออกไปได้เปนผืน เวลาโผนจากต้นไม้ มันกางขายืดหนังแผ่ออกไปเช่นปะระชุดเครื่องบิน ร่อนไปได้ไกล ๆ ฉันเพิ่งได้เห็นบ่างร่อนเปนครั้งแรก ได้ชมนกชมไม้ก็ออกเพลิดเพลินจเรินไจ นับว่า สนุกได้อีกหย่างหนึ่ง

ล่องเรือมาจากเพชรบูรน์ 6 วันถึงเมืองวิเชียร ตอนไกล้จะถึงเมืองวิเชียรพ้นที่เปลี่ยว ลำแม่น้ำสักค่อยกว้างออก แก่งก็ค่อยห่าง ยังมีแต่ขอนไม้กีดขวางทางเรือเปนแห่ง ๆ แต่น้ำตื้น แจวเรือไม่ถนัด ต้องไช้ถ่อจนถึงเมืองวิเชียร เมืองวิเชียรนั้นตั้งหยู่ทางฝั่งตะวันออก เดิมเปนหัวเมืองขึ้นตรงต่อกรุงเทพฯ และมีเรื่องตำนานจะเล่าต่อไปข้างหน้า เขตแดนกว้างขวางกว่าเมืองเพชรบูรน์ แต่เปนเมืองกันดาร เพราะเทือกพูเขาทั้งสองฝ่ายหยู่ห่างที่แผ่นดินดอน ไม่มีลำห้วยพอจะชักน้ำมาทำการเพาะปลูกได้เหมือนเมืองเพชรบูรน์และเมืองหล่มสัก ได้แต่ทำนาน้ำฝนหรือทำไนที่ลุ่มไกล้ลำน้ำสัก อาหารการกินอัตคัด บ้านเมืองจึงไม่จเริน ตัวเมืองวิเชียรตั้งหยู่ห่างลำน้ำสัก 20 เส้น ด้วยตอนริมน้ำเปนที่ต่ำน้ำท่วมไนรึดูฝน แลดูเหมือนกับหมู่บ้าน ไม่เปนเมืองมีสง่าราสี เพราะเปนเมืองกันดารดังกล่าวมาแล้ว เมื่อตั้งมนทลเพชรบูรน์ จึงลดเมืองวิเชียรลงเปนแต่อำเพอหนึ่งไนจังหวัดเพชรบูรน์

ออกจากเมืองวิเชียร ล่องเรือมา 3 วันถึงเมืองบัวชุม แต่เมืองบัวชุมมาวันหนึ่งถึงเมืองชัยบาดาล ลำน้ำสักตอนนี้กว้าง แจวเรือได้ถนัด ขอนไม้ที่กีดขวางทางเรือก็มีน้อยกว่าข้างเหนือ แต่ต้องหลีกแก่งกรวดแก่งหินถี่ขึ้น เมืองบัวชุมและเมืองชัยบาดาลเดิมเปนเมืองขึ้นของเมืองวิเชียร เมื่อตั้งมนทลเพชรบูรน์ รวมตั้งเปนอำเพอหนึ่งต่างหาก เรียกว่า อำเพอชัยบาดาล ไนจังหวัดเพชรบูรน์ ผู้คนมีมากกว่าอำเพอวิเชียร ตั้งบ้านเรือนตามริมน้ำเปนระยะมาตลอด ไม่เปลี่ยวเหมือนข้างเหนือ เพราะตอนนี้เทือกพูเขาเข้ามาไกล้ลำน้ำสักทั้งสองฝ่าย ท้องที่มีน้ำห้วย ทำไร่นาดี และเปนปากดงพระยากลาง ทางคนไปมาค้าขายกับเมืองนครราชสีมา มีสินค้าหาได้ไนท้องที่ เช่น เสา และไม้แดง ไบลาน สีเสียด หาผลประโยชน์ได้มาก และอาดส่งสินค้าลงมาทางเรือถึงเมืองสระบุรีได้สดวกกว่าเมืองอื่นทางข้างเหนือด้วย ออกจากเมืองชัยบาดาลล่องมา 4 วันก็ถึงปากเพรียวที่ตั้งเมืองสระบุรี นับจำนวนวันที่ล่องลำน้ำสักแต่เมืองเพชรบูรน์จนถึงที่ขึ้นรถไฟนะเมืองสระบุรีรวม 1 4 วัน

ฉันเคยตามสเด็ดสมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวงประพาสทางลำแม่น้ำสักขึ้นไปจนถึงตำบนหินซ้อนปลายแดนจังหวัดสระบุรีครั้งหนึ่ง เคยได้ยินท่านผู้ไหย่ที่ตรวดทางสเด็ดประพาสครั้งนั้นท่านว่า ลำน้ำสักเที่ยวสนุกเพียงตำบนหินซ้อนเท่านั้น เหนือหินซ้อนขึ้นไปไม่มีอะไรน่าดู ฉันสงสัย ไม่เชื่อ จนมาเห็นด้วยตาตนเองไนครั้งนี้ ต้องยอมรับรองว่า จิงดังว่า เพราะเทือกพูเขาทั้งสองฝ่ายลำน้ำสักวงเข้ามาประจบกันถึงลำน้ำที่ตำบนหินซ้อน ข้างฝ่ายตะวันออกเรียกกันว่า เทือกเขาดงพระยาไฟ ข้างฝ่ายตะวันตกเรียกกันว่า เทือกเขาพระบาท ลำแม่น้ำสักผ่านมากลางพูเขาตั้งแต่หินซ้อนจนถึงแก่งคอย ทั้งสองฝั่งจึงมีเขาตกน้ำถ้ำธารที่ขึ้นเที่ยวเล่นสนุกตลอดทางเรือขึ้นไป 3 วัน เหนือนั้นขึ้นไปก็ไม่มีอะไรน่าชม

(7)

ฉันไปมนทลเพชรบูรน์ครั้งนั้น มีกิจอีกหย่างหนึ่งซึ่งจะไปสืบเมืองโบรานด้วย ด้วยเมื่อแรกฉันเปนเสนาบดีกะซวงมหาดไทย ได้เห็นทำเนียบเก่าบอกรายชื่อหัวเมือง มีชื่อ เมืองสีเทพ เมืองหนึ่ง แต่ตัวเมืองหามีไม่ ฉันถามข้าราชการกะซวงมหาดไทยก็ไม่มีไครรู้ว่า เมืองสีเทพหยู่ที่ไหน ต่อมา ฉันพบสมุดดำอีกเล่มหนึ่ง เปนต้นร่างกะทางไห้คนเชินตราไปบอกข่าวสิ้นรัชกาลที่ 2 ตามหัวเมืองเปนทาง ๆ ไห้คนหนึ่งเชินตราไปเมืองสระบุรี เมืองชัยบาดาล เมืองสีเทพ และเมืองเพชรบูรน์ ก็ได้เค้าว่า เมืองสีเทพเห็นจะหยู่ทางลำแม่น้ำสัก แต่หยู่ตรงไหนยังไม่รู้ เมื่อฉันขึ้นไปถึงเมืองเพชรบูรน์ ไห้หาผู้ชำนาญท้องที่มาถามว่า มีเมืองโบรานหยู่ทางลำแม่น้ำสักที่ไหนบ้าง ได้ความว่า ข้างเหนือเมืองเพชรบูรน์ทางฝั่งตะวันออก มีเมืองโบรานเมืองหนึ่งเรียกกันว่า “เมืองนครเดิด” แต่หยู่ไนดงทึบ ยังมีแต่เทือกเนินดินเปนแนวกำแพงและมีสะหยู่ไนเมืองสะหนึ่ง เรียกว่า “สะคงคา” บางคนได้เคยไปพบหัวยักส์ทำด้วยหิน พอเชื่อได้ว่า เปนเมืองพวกขอมส้างไว้ แต่ฉันไม่ได้ไปดู เขาบอกว่า มีเมืองโบรานอีกเมืองหนึ่งไหย่โตมาก ชื่อว่า “เมืองอภัยสาลี” หยู่ไกล้กับเมืองวิเชียรบุรี และหยู่ไนป่าแดง ไปถึงได้ไม่ยาก เมืองนั้นยังมีปรางค์ปราสาทเหลือหยู่ ฉันหยากดู จึงสั่งไห้เอาม้าลงมาคอยรับที่เมืองวิเชียร เมื่อฉันลงมาถึงเมืองวิเชียร ซาบว่า พระยาประเสิดสงคราม ผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งแก่ชราลาออกจากราชการนานมาแล้ว ยังมีชีวิตหยู่ แต่ทุพลภาพ ไม่สามาถจะมาหาได้ ฉันจึงไปเยี่ยมถึงบ้าน ถามถึงเรื่องเมืองสีเทพ ได้ความว่า คือเมืองวิเชียรนั้นเอง แต่โบรานเรียกชื่อเปน 2 หย่าง เมืองท่าโรงก็เรียก เมืองสีเทพก็เรียก ตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดเปนที่พระสรีถมอรัตน (ตามชื่อเขาแก้วซึ่งเปนสิ่งสำคันไนจังหวัดนั้น) มาจนถึงรัชกาลที่ 3 กรุงรัตนโกสินท์ เมื่อครั้งปราบกบดเวียงจันทน์ พระสรีถมอรัตนมีความชอบมาก จึงโปรดไห้ยกสักดิ์เมืองสีเทพขึ้นเปนเมืองตรี เปลี่ยนนามเปนเมืองวิเชียรบุรี (คงเอาชื่อเขาแก้วเปนนิมิต) และเปลี่ยนนามผู้ว่าราชการจังหวัดจากพระสรีถมอรัตนเปนพระยาประเสิดสงครามแต่นั้นมา ถามแกต่อไปถึงเรื่องเมืองอภัยสาลี แกบอกว่า มีเมืองโบรานไหย่โตจิง แต่ชื่อที่เรียกว่า เมืองอภัยสาลี นั้น เปนแต่คำพระธุดงค์บอก จะเอาเปนแน่ไม่ได้ เปนอันได้ความตามที่หยากรู้เรื่องตำนานเมืองสีเทพ ถ้าหากพระยาประเสิดสงครามไม่มีหยู่ไนเวลานั้น เรื่องก็น่าจะเลยสูญ

ฉันล่องเรือจากเมืองวิเชียรมาถึงบ้านนาตะกุดอันเปนท่าที่จะขึ้นเดินบกไปยังเมืองโบรานไนวันนั้น ไห้เรียกพวกชาวบ้านสีเทพอันหยู่ไกล้เมืองโบรานมาถามถึงเบาะแสและสิ่งซึ่งน่าดูไนเมืองนั้น แต่คนเหล่านั้นต่างคนพากันปติเสธว่า ไม่รู้ไม่เห็น จนออกประหลาดไจ ฉันคิดไคร่ครวนดูเห็นว่า คนพวกนั้นไม่เคยพบเจ้านาย และไม่เคยได้ยินไครซักไซ้ไถ่ถามเช่นนั้นมาแต่ก่อน น่าจะเข้าไจตามประสาของเขาว่า ฉันคงได้ลายแทงปริสนามาขุดทรัพย์แผ่นดิน ถ้าพาไปไม่ได้ทรัพย์ ก็จะถูกลงโทส จึงบอกปัดเสียไห้พ้นภัย ต้องพูดจาชี้แจงหยู่นาน จนคนเหล่านั้นวางไจ จึงบอกออกความตามรู้เห็น และรับจะพาไปตามประสงค์ ฉันพักแรมหยู่คืนหนึ่ง พอรุ่งเช้าก็ไปดูเมืองโบราน ระยะทางห่างลำน้ำราว 150 เส้น เปนเมืองไหย่โต ตั้งไนที่ราบ มีคูรอบ และมีปราการถึง 2 ชั้น มีสะน้ำก็หลายสะ ที่กลางเมืองมีปรางค์เทวะสถาน และมีโคกดินปนกับแผ่นสิลาแลงซึ่งสแดงว่าเคยเปนเทวะสถาน ทั้งข้างนอกเมืองและไนเมืองเรี่ยรายไปหลายแห่ง แต่ข้อสำคันของการดูเมืองโบรานแห่งนี้หยู่ที่ไปพบของจำหลักสิลาแปลก ๆ มีหยู่เกลื่อนกล่น เพราะยังไม่มีไครได้เคยไปค้นของโบรานมาแต่ก่อน พวกชาวบ้านนำไปไห้ฉันเห็นสิ่งไดชอบไจ ฉันก็ไห้เงินเปนรางวัลแก่ผู้นำ ถ้าเปนของขนาดย่อมพอจะส่งลงมากรุงเทพฯ ได้ ก็ไห้นายอำเพอเอามารวมไว้แล้วส่งตามลงมาเมื่อพายหลัง วิธีไห้เงินรางวัลแก่ผู้นำมีผลดีมาก พวกชาวบ้านบอกไห้เองไม่ต้องถาม แม้จนเมื่อฉันกลับมาลงเรือแล้ว ก็ยังมีคนตามมาบอกว่า ยังมีรูปสิลาจำหลักหยู่ที่นั่น ๆ ข้างนอกเมืองที่ฉันไม่ได้ไปถึงอีกหลายหย่าง ได้เครื่องสิลามาหลายสิ่ง เดี๋ยวนี้หยู่ไนพิพิธภันท์สถาน มีสิ่งหนึ่งซึ่งควนจะกล่าวถึง ด้วยเปนของสำคันทางโบรานคดีไม่เคยพบที่อื่น คือ “หลักเมือง” ทำด้วยสิลาเปนรูปตะปูหัวเห็ด ทำรอยฝังปลายตะปูลงไนแผ่นดิน เอาแต่หัวเห็ดไว้ข้างบน จารึกอักสรเปนภาสาสันสกริตไว้ที่หัวเห็ด เดี๋ยวนี้รักสาไว้ไนหอพระสมุดวชิรญาน เปนตัวหย่างไห้เห็นว่า หลักเมืองตามแบบโบรานเขาทำหย่างไร

เมื่อดูเมืองโบรานนั้นแล้ว อาดจะลงความเห็นเปนยุติได้สองหย่าง หย่างที่หนึ่ง เมืองโบรานนั้น พวกพราหมน์จะขนานชื่อว่ากะไรก็ตาม เปนมูลของชื่อเก่าเมืองวิเชียรที่เรียกว่า “เมืองสีเทพ” เพราะยังเรียกเปนชื่อตำบนบ้านชานเมืองมาจนบัดนี้ หย่างที่สอง ไนสมัยเมื่อครั้งขอมปกครองเมืองไทย เมืองสีเทพคงเปนมหานครอันหนึ่ง ชั้นเดียวกันกับเมืองที่ดงสรีมหาโพธิ (ไนแขวงจังหวัดปราจีน) และเมืองสุโขทัย และไนสมัยนั้น ท้องที่คงจะทำไร่นาได้ผลอุดมดี มีไพร่บ้านพลเมืองมาก จึงสามาถส้างเปนเมืองไหย่โตถึงปานนั้น ทำเลที่เมืองวิเชียรเพิ่งมาเกิดแห้งแล้งด้วยเหตุหย่างไดหย่างหนึ่งเมื่อพายหลัง จึงเปนเมืองเล็กลงเพราะอัตคัด ถึงกะนั้น ปรากตไนเรื่องพงสาวดารสมัยกรุงสรีอยุธยาว่า ครั้งรัชกาลสมเด็ดพระมหาธัมราชาธิราช เมืองสีเทพ (ไนหนังสือพงสาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขา เอาชื่อเจ้าเมืองเรียกว่า เมืองสรีถมอรัตน) กับเมืองชัยบาดาล (เอาชื่อเจ้าเมืองเรียกว่า เมืองชัยบุรี) เปนคู่กัน เมื่อปีกุน พ.ส. 2100 ไนเวลากรุงสรีอยุธยาอ่อนกำลังด้วยแพ้สึกหงสาวดีไหม่ ๆ พระยาละแวก เจ้ากรุงกัมพูชา ไห้ทสโยธายกกองทัพมาทางเมืองนครราชสีมา จะมาตีหัวเมืองชั้นไนทางตะวันออก เวลานั้น สมเด็ดพระนเรสวรสเด็ดลงมาเฝ้าสมเด็ดพระปิตุราชหยู่นะพระนครสรีอยุธยา โปรดไห้พระสรีถมอรัตนกับพระชัยบุรี (เจ้าเมืองชัยบาดาล) คุมพลไปซุ่ม (หยู่ไนดงพระยากลาง) และสมเด็ดพระนเรสวรสเด็ดขึ้นไปยังเมืองชัยบาดาลยกกองทัพตี ตีกองทัพเขมนแตกฉานพ่ายหนีไปหมด ต่อนั้นมา ก็ปรากตตามคำของพระยาประเสิดสงครามว่า เมื่อปราบกบดเวียงจันทน์แล้ว พระบาทสมเด็ดพระนั่งเกล้าเจ้าหยู่หัวโปรดไห้เปลี่ยนนามเมืองสีเทพเปนเมืองวิเชียรบุรี ยกสักดิ์ขึ้นเปนเมืองตรี คือ รวมเมืองชัยบาดาลและเมืองบัวชุมเข้าเปนเมืองขึ้นของเมืองวิเชียร เปนเช่นนั้นมาจนเปลี่ยนแปลงเมื่อตั้งมนทลเทสาภิบาลดังกล่าวมาแล้ว

เมื่อฉันลงมาถึงเมืองชัยบาดาล ไปเห็นสิลาจำหลักเปนตัวเครื่องบนปรางค์ขอมทิ้งหยู่ที่วัดสองสามชิ้น ถามเขาว่า ได้มาจากที่ไหน เขาบอกว่า เอามาจากปรางค์หินที่ตำบนซับจำปาไนดงพระยากลาง ก็เปนอันได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกหย่างหนึ่งว่า มีเมืองหรือวัดขอมหยู่ไนดงพระยากลางอีกแห่งหนึ่ง แต่ฉันหาไปดูไม่ สิ้นเรื่องตรวดของโบรานไนมนทลเพชรบูรน์เพียงเท่านี้

ฉันกลับมาถึงกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ รวมเวลาที่ไปมนทลเพชรบูรน์ครั้งนั้น 36 วัน พอรุ่งขึ้น ฉันเข้าไปเฝ้าฯ วันนั้นมีการพระราชพิธีสเด็ดออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เจ้านายและข้าราชการเฝ้าหยู่พร้อมกัน เมื่อเส็ดการพิธี สมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวงสเด็ดซงพระราชดำเนินมายังที่ฉันยืนเฝ้าหยู่ ซงพระกรุนาโปรดพระราชทานพระหัตถ์มาจับมือฉัน ดำหรัดว่า ซงยินดีที่ฉันได้ไปถึงเมืองเพชรบูรน์ แล้วตรัดถามว่า มีไครไปเจ็บไข้บ้างหรือไม่ ฉันกราบทูนว่า ด้วยเดชะพระบารมีปกเกล้าฯ หามีไครเจ็บไข้ไม่ แล้วจึงสเด็ดขึ้น ฉันรู้สึกว่า ได้พระราชทานบำเหน็จพิเสส ชื่นไจคุ้มค่าเหนื่อย ว่าถึงประโยชน์ของการที่ไปครั้งนั้น ก็ได้สมประสงค์ เพราะแต่นั้นมา ก็หาคนไปรับราชการไนมนทลเพชรบูรน์ได้ไม่ยากเหมือนแต่ก่อน