นิทานโบรานคดี/นิทานที่ 3

นิทานที่ 3
เรื่องเสือไหย่เมืองชุมพร

เมื่อ พ.ส. 2433 (ร.ส. 109) พระบาทสมเด็ดพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะสเด็ดเลียบหัวเมืองแหลมมลายูทั้งปักสไต้และฝ่ายตะวันตก กำหนดระยะทางจะสเด็ดไปเรือจากกรุงเทพฯ ถึงเมืองชุมพร แต่เมืองชุมพรสเด็ดโดยทางบกข้ามแหลมมลายูตรงกิ่วกระ ไปลงเรือที่เมืองกระบุรี ล่องลำน้ำปากจั่นลงไปยังเมืองระนอง ต่อนั้น สเด็ดไปเรือทางทเล แวะตามหัวเมืองฝ่ายตะวันตกจนตลอดพระราชอานาเขต แล้วเลยไปอ้อมแหลมมลายูที่เมืองสิงคโปร์ เลียบหัวเมืองปักสไต้ขึ้นมา เมื่อขากลับกรุงเทพฯ โปรดไห้ฉันเปนผู้จัดการสเด็ดประพาสครั้งนั้น

เพราะเหตุไดจึงโปรดไห้ฉันเปนผู้จัดการสเด็ดประพาส เปนเรื่องอันหนึ่งไนประวัติของตัวฉันเอง จะเล่าฝากไว้ด้วยตรงนี้ เมื่อ พ.ส. 2432 (ร.ส. 108) พระบาทสมเด็ดพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสเด็ดประพาสหัวเมืองปักสไต้ โปรดไห้ฉันไปตามสเด็ดเปนมัคคุเทส เพราะฉันได้เคยไปเที่ยวหัวเมืองทางนั้น รู้เบาะแสมาแต่ปีก่อน ก็การที่เปนมัคคุเทสนั้นมีหน้าที่เปนต้นรับสั่งกะการประพาสที่ต่าง ๆ ตลอดทางที่สเด็ดไป ฉันสนองพระเดชพระคุนชอบพระราชหรึทัยสมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวง แต่นั้นมา จึงซงพระกรุนาโปรดไห้ฉันเปนผู้จัดการสเด็ดประพาส แต่ชอบเรียกกันเปนคำแผลงภาสาอังกริดว่า Lord Program Maker ตามสเด็ดประพาสต่อมาเปนนิจจนตลอดรัชกาลที่ 5 และคงหยู่ไนตำแหน่งนั้นสืบมาไนรัชกาลที่ 6 อีก 3 ปี รวมเวลาที่ได้เปนผู้จัดการสเด็ดประพาสหยู่ 26 ปี จึงพ้นจากหน้าที่นั้น พร้อมกับถวายเวนคืนตำแหน่งเสนาบดีกะซวงมหาดไทย ถึงรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็ดพระปกเกล้าเจ้าหยู่หัวโปรดไห้กลับเข้าไปจัดการสเด็ดประพาสถวายอีก เมื่อสเด็ดเลียบหัวเมืองมนทลพายัพครั้งหนึ่ง และสเด็ดเลียบหัวเมืองมนทลภูเก็ตอีกครั้งหนึ่ง จึงอ้างได้ว่า ได้รับราชการเปนผู้จัดการสเด็ดประพาสสนองพระเดชพระคุนมา 3 รัชกาล แต่เมื่อไปตามสเด็ดครั้งหลัง สมเด็ดพระเจ้าหยู่หัวกลับต้องซงระวังมิไห้ฉันเหนื่อยเกินไป เพราะตัวฉันแก่ชราอายุเกือบ 70 ปีแล้ว ก็เปนครั้งที่สุดซึ่งฉันได้จัดการสเด็ดประพาสเพียงนั้น

เมื่อจัดการสเด็ดประพาสครั้ง ร.ส. 109 ฉันต้องล่วงหน้าลงไปจัดพาหนะสำหรับเดินทางบก และตรวจพลับพลาที่ประทับ กับทั้งการทำทางที่จะสเด็ดไปแต่เมืองชุมพรจนถึงเมืองระนอง แล้วจึงกลับมาเข้าขบวนตามสเด็ดที่เมืองชุมพร ฉันไปถึงเมืองชุมพร ได้ฟังเขาเล่าเรื่องเสือไหย่ซึ่งกำลังดุร้ายกินผู้คนหยู่ไนแขวงเมืองชุมพรไนเวลานั้น และไปมีเหตุขึ้นเนื่องด้วยเรื่องเสือตัวนั้น เห็นเปนเรื่องแปลกประหลาด จึงเขียนเล่าไปยังหอพระสมุดวชิรญานซึ่งฉันเปนกัมการหยู่ด้วยคนหนึ่ง สำหรับไห้ลงพิมพ์ไนหนังสือวชิรญานวิเสส ดูเรื่องเข้ากับนิทานโบรานคดีที่เขียนบัดนี้เหมาะดี จึงคัดสำเนาจากหนังสือวชิรญานวิเสสมาแก้ไขถ้อยคำบ้างเล็กน้อย และเขียนเล่าเรื่องเสือตัวนั้นอันมีต่อมาเมื่อพายหลังยังไม่ปรากตไนหนังสือซึ่งฉันเขียนไว้แต่ก่อนเพิ่มเติมไห้สิ้นกะแสความเรื่องที่เขียนไว้แต่เดิม ดังต่อไปนี้

เรื่อง เสือไหย่ที่เมืองชุมพร

เรื่องที่จะกล่าวต่อไปนี้ กล่าวตามที่ฉันได้ยินด้วยหูและได้เห็นด้วยตาของตัวเอง เพราะฉะนั้น ท่านผู้อ่านอย่าได้สงสัยว่าเปนความเท็จซึ่งแต่งแต่โดยเดาเลย เปนความจริงแท้ทีเดียว

เมื่อวันที่ 6 เมสายน (ร.ส. 109) นี้ ฉันไปถึงปากน้ำเมืองชุมพรลงเรือโบตขึ้นไปที่บ้านด่าน หาเรือซึ่งจะรับขึ้นไปถึงเมืองชุมพร ด้วยเรือไฟที่มาส่งฉันเขาจะต้องรีบไช้จักรไปราชการที่อื่นอีก ขนะเมื่อฉันนั่งพักคอยเรือหยู่ที่บ้านด่านนั้น ได้สนทนากับขุนด่านและกรมการราสฎรชาวปากน้ำชุมพรหลายคน ซึ่งฉันได้รู้จักมาแต่ก่อนบ้าง ที่ยังไม่รู้จักบ้าง พูดจาไถ่ถามถึงทุกข์สุขต่าง ๆ ตลอดไปจนเรื่องการทำมาหากินของราสฎร และเรื่องสัตว์สิงห์ต่าง ๆ คือเสือเปนต้น เขาจึงเล่าไห้ฟังเปนปากเดียวกันดังนี้ ว่าไนเวลานั้นมีเสือดุที่แขวงเมืองชุมพรตัวหนึ่ง เสือนั้นตัวไหญ่ยาวสัก 9 สอก เท้าเป๋ข้างหนึ่ง จึงเรียกกัน "อ้ายเป๋" เที่ยวกัดกินคนตามแขวงบ้านไหม่ บ้านละมุ เสียหลายคน ประมานกันแต่หกเจ็ดคนขึ้นไปถึงสิบคนยี่สิบคน และว่าเสือตัวนี้กล้าหานผิดกับเสือซึ่งเคยมีมาแต่ก่อน ถึงเข้ากัดคนกลางวันแสก ๆ บางทีคนนั่งทอผ้าหยู่ไต้ถุนเรือน ก็เข้ามาฉวยเอาไป บางคนไปขึ้นพะองทำตาล ก็มาคาบเท้าลากไป จนชาวบ้านชาวเมืองพากันครั่นคร้าม ไม่อาดจะไปป่าหากินแต่คนเดียวสองคนได้ บางคนก็ว่า เปนเสือสมิงสักดิสิทธิ ไม่มีผู้ไดอาดจะไปดักหรือไปยิงจนทุกวันนี้ เขาเล่าไห้ฟังหย่างนี้ ได้สืบถามตามชาวเมืองจนกะทั่งกรมการทั้งเมืองชุมพรและเมืองกระบุรี ก็รู้เรื่องเสือดุตัวนี้แทบทุกคน ฉันจึงไห้ทำบัญชีรายชื่อคนถูกเสือกัด ซึ่งตามภาสาชาวชุมพรเขาเรียกว่า "เสือขบ" ไว้สำหรับกราบทูนพระเจ้าหยู่หัว ได้รายชื่อเขาจดมาไห้ ดังนี้

อำเพอท่าแซะ แขวงเมืองชุมพร จำนวนคนที่เสือขบ นายช่วย ผัวอำแดงจันท์ ตำบลบางรึก คนหนึ่ง อำแดงเกต บ้านหาดพังไกร คนหนึ่ง นายน้อย บ้านท่าแซะ คนหนึ่ง นายเบี้ยว บ้านท่าแซะ คนหนึ่ง อำแดงเช้า ภรรยานายลอม บ้านคูริง คนหนึ่ง หลานนายยอด บ้านหาดพังไกร คนหนึ่ง นายนอง ผัวอำแดงสายทอง บ้านรับร่อ คนหนึ่ง นายน้อย บุตรขุนตะเวน บ้านล่อ คนหนึ่ง นายเชต บ้านหาดหง คนหนึ่ง รวมที่ได้รายชื่อ 9 คน บัญชีได้เพิ่มเติมมาจากเมืองกระบุรีมีรายการพิสดารออกไป

1)นายอ่อน หมายเลขกองกลาง หยู่บ้านรับร่อ ไปตัดจากมุงเรือนที่ปลายคลองรับร่อเมื่อเดือนพรึสจิกายน เวลาบ่าย 5 โมง เสือกัดตาย ตามผีไม่ได้

2)นายนอง ว่าที่หมื่นจบ คุมเลขกองด่าน หยู่บ้านหาดพังไกร ไปขึ้นทำน้ำตาลที่กลางนาหาดพังไกรเมื่อเดือนตุลาคม ข้างขึ้น เวลากลางวัน ตะวันเที่ยง พอกลับลงจากปลายตาล เสือกัดตาย ตามผีมาได้ครึ่งหนึ่ง

3)อำแดงแป้น ลูกขุนชนะ คุมเลขกองกลาง หยู่บ้านท่าญวน ไปหาผักรมนาท่ายวนเมื่อเดือนตุลาคม ข้างแรม กลางวัน บ่าย 3 โมง เสือกัดตาย ตามผีได้

4)นายแบน เปนเลขกองกลาง หยู่บ้านท่ายวน ไปหาตัวเลขจะพามาทำทางรับสเด็ดที่เมืองกระเมื่อเดือนกุมพาพันธ เวลาพลบค่ำ เสือกัดตายที่นาป่าตอ อำเพอท่ายวน

5)อำแดงเลี้ยน ภรรยานายพลอย เลขกองกลาง หยู่บ้านเขาปูน นั่งสานสาดหยู่ที่ไต้ถุนร้านไล่นกที่ไนไร่ เวลาตะวันเที่ยง เสือกัดตาย ตามผีได้

ตามคำที่เล่าและสืบได้ชื่อกับจำนวนคนที่เสือกัด พอฟังเปนยุติได้ว่า ที่เมืองชุมพรเดี๋ยวนี้มีเสือตัวไหย่ดุร้ายกัดคนตายเสียหลายคน ชาวบ้านชาวเมืองพากันครั่นคร้ามเสือตัวนั้นหยู่แทบทั่วกันทั้งเมือง นี่ว่าตามที่ได้ยินด้วยหู ทีนี้ จะเล่าถึงที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองต่อไป

เมื่อฉันขึ้นไปถึงเมืองชุมพร แต่แรกเจ้าเมืองกรมการเขาจะไห้พักที่ทำเนียบริมจวนเจ้าเมือง แต่ฉันเห็นว่า ห่างไกลจากธุระของฉัน จึงขอไปพักหยู่ที่ทำเนียบชายทุ่งริมที่ทำพลับพลารับสเด็ด ไนค่ำวันนั้น กรมการเขาจัดคนมากองไฟรอบที่พักฉัน (ซึ่งยังไม่ได้ทำรั้วล้อม) มีผู้คนนั่งหยู่ด้วยกันหลายสิบคน ทั้งคนที่ไปด้วยและชาวหัวเมืองพวกคนทำพลับพลาก็อีกหลายร้อยคน หยู่ไนชายทุ่งนั้นด้วยกัน ไนคืนแรกไปหยู่ ฉันนอนหลับตลอดรุ่ง ต่อเช้าขึ้นจึงได้ซาบว่า เมื่อเที่ยงคืน พวกกองไฟร้องโวยวายกันขึ้น พวกที่ไปกับฉันไห้ไปสืบถามได้ความว่า ได้ยินเสียงเสือเข้ามาร้องหยู่ที่ริมบึงต่อชายทุ่งนั้น เสียงที่ร้องนี้พวกที่ไปกับฉันได้ยินก็มี แต่คนพวกนั้นไม่เคยได้ยินเสียงเสือ ไล่เลียงเข้าก็เปนแต่ว่า ได้ยินเสียง แต่จะเปนเสียงอะไรไม่รู้ ฉันถามกรมการว่า ไนที่เหล่านั้น เสือเคยเข้ามาหรือไม่ เขาบอกว่า เคยเข้ามาหยู่บ้าง ก็เปนสงบกันไป จนค่ำวันที่สอง ฉันนอนกำลังหลับสนิธ สดุ้งตกไจได้ยินเสียงโวยวายโกลาหลกันไหย่ ลุกทลึ่งออกมาดูเห็นบันดาพวกที่ไปกับฉันซึ่งนอนหยู่ไนเรือนหลังเดียวกันบางคนปีนขึ้นไปหยู่บนขื่อก็มี ที่เข้าห้องปิดประตูก็มี นอกจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนหยู่บนที่นอนของตน ล้วนแต่โบกมือเฮ้อว ๆ ๆ ๆ หยู่ด้วยกันเต็มเสียง ฉันกำลังมัวนอน ไม่รู้ว่าเรื่องราวอันได ก็พลอยเฮ้อวไปด้วยกับเขาสักสองสามที จึงได้สติถามว่า "อะไรกัน" เขาบอกว่า เสือเข้ามา ฉันร้องห้ามไห้สงบโวยวายกันลง ไนขนะนั้น เดือนหงายสว่าง มองไปดูเห็นพวกที่ไปด้วยกันที่หยู่เรือนอีกหลังหนึ่งตรงกันข้ามก็กำลังลุกขึ้นโบกมือร้องเฮ้อว ๆ เหมือนเช่นพวกข้างนี้ ส่วนพวกหัวเมืองทั้งที่มาทำพลับพลาและมากองไฟล้อมทำเนียบเบ็ดเส็ดเห็นจะกว่า 300 คน ดูรวมกันเปนจุก ๆ หยู่ที่นั่นหมู่หนึ่ง หยู่ที่นี่หมู่หนึ่ง เปนกลุ่ม ๆ กันไป ต่างร้องโวยวายกันทั่วทุกคน เสียงโวยวายไนเวลานั้น ถ้าจะประมานแต่ไนวัง ก็เห็นจะได้ยินถึงเสาชิงช้า ค่อยสงบลง ๆ จนเงียบกันเกือบเปนปรกติ ฉันจึงไห้คนไปสืบถามไห้ได้ความว่า เสือมันเข้ามาทางไหน และได้ทำไครเปนอันตรายบ้างหรือหย่างไร สืบถามซักไซ้ก็ได้ความว่า ต้นเหตุเกิดที่โรงไว้ของข้างหลังเรือนฉันพัก โรงนั้นเปนโรงไหญ่ไม่มีฝาหยู่สองด้าน มีคนนอนหยู่หลายคน คนหัวเมืองคนหนึ่งละเมอเสียงโวยวายขึ้น คนหัวเมืองอีกคนหนึ่งนอนหยู่เคียงกันได้ยินเสียงเพื่อนกันโวยวายก็ตกไจลุกทลึ่งขึ้นร้องว่า "เสือ" แล้วก็วิ่งหนีด้วยเข้าไจว่า เสือมากัดอ้ายคนละเมอ ส่วนอ้ายคนละเมอเห็นเขาวิ่งร้อง "เสือ เสือ" ก็สำคัญว่า เสือเข้ามา พลอยลุกขึ้นวิ่งร้องว่า "เสือ" ตามเขาไป อ้ายสองคนนี้เข้าที่ไหน คนก็ลุกขึ้นร้องโวยวายต่อ ๆ ไปด้วย ครั้นได้ความชัดหย่างนี้ ก็ได้แต่หัวเราะกันไป อีกกว่าชั่วโมงจึงสงบเงียบหลับกันไปอีก นี่แลที่ฉันได้เห็นไนเรื่องเสือตัวไหญ่นั้นด้วยตาของฉันเอง แต่มิไช่ได้เห็นตัวเสือไหญ่นั้นดอกนะ (เรื่องที่ลงหนังสือวชิรญานวิเสส หมดเพียงเท่านี้)

หนทางบกที่เดินข้ามกิ่วกระแต่เมืองชุมพรไปจนลำน้ำปากจั่นนะเมืองกระบุรีระยะทางเพียง 1,083 เส้น พวกชาวเมืองที่ไปมาค้าขายเขาเดินวันเดียวตลอด แต่ขบวนสเด็ดผู้คนมาก ต้องกะไห้เดินเปน 2 วัน เพราะต้องข้ามเขาบันทัดเปนทางกันดาร ได้ลองนับที่ต้องขึ้นเขาและลงข้ามไหล่เขามีถึง 31 แห่ง ข้ามลำธาร 53 แห่ง ลุยไปตามลำธาร 21 แห่ง พาหนะก็ไช้ได้แต่ช้างม้ากับคนเดินหาบหาม ขบวนคนมาก ต้องเดินช้าหยู่เอง เมื่อฉันล่วงหน้าไปตรวดทางครั้งนั้น ได้พบเห็นของประหลาดที่ไม่เคยรูเห็นมาแต่ก่อนบางหย่าง จะเล่าไว้ด้วย หย่างหนึ่ง คือ ต้นไม้ไบมีพิส เรียกว่า "ตะลังตังช้าง" เปนต้นไม้ขนาดย่อม สูงราวห้าหกสอก ขึ้นแซกแซมต้นไม้อื่นหยู่ไนป่า ไม้หย่างนี้ที่ครีบไบมีขนเปนหนามเล็ก ๆ หยู่รอบไบ ถ้าถูกขนนั้นเข้า ก็เกิดพิสไห้ปวดเจ็บ เขาว่า พิสร้ายแรงถึงช้างกลัว เห็นต้นก็ไม่เข้าไกล้ เพียงเอาไบตะลังตังช้างจี้ไห้ถูกตัว ช้างก็วิ่งร้องไป จึงเรียกว่า ตะลังตังช้าง ชาวเมืองชุมพรเล่าต่อไปว่า หาดริมลำธารแห่งหนึ่งไนทางที่ฉันไปนั้นเรียกกันว่า "หาดพม่าตาย" เพราะเมื่อพม่ามาตีเมืองไทยไนรัชกาลที่ 2 พักนอนค้างที่หาดนั้น พวกหนึ่งไม่รู้ว่า ไบตะลังตังช้างมีพิส เอามาปูนอน รุ่งขึ้นก็ตายหมดทั้งพวก คนไปเห็นพม่านอนตายหยู่ที่หาด จึงเรียกกันว่า หาดพม่าตาย แต่นั้นมา แต่ฉันฟังเล่า ออกจะสงสัยว่า ที่จิงเห็นจะเปนเมื่อพม่าหนีไทยกลับไป มีพวกที่ถูกบาดเจ็บถึงสาหัสไปตายลงที่หาดนั้น จึงเรียกว่า หาดพม่าตาย มาแต่เดิม ผเอินคนไปเห็นที่แถวนั้นมีต้นตะลังตังช้างชุม ผู้ที่ไม่รู้เหตุเดิม จึงสมมตว่า ตายเพราะถูกพิสไบตะลังตังช้าง ถ้าเอาไบตะลังตังช้างมาปูนอนดังว่า คงรู้สึกพิสสงของไบไม้ตั้งแต่แรก พอหนีเอาตัวรอดได้ ไหนจะนอนทนพิสหยู่จนขาดไจตาย ยังมีบางคนกล่าวต่อไปอีกหย่างหนึ่งว่า ไบตะลังตังช้างนั้น ถ้าตัดเอาครีบตรงที่มีขนออกเสียไห้หมดแล้ว ไช้เปนผักจิ้มน้ำพริกหรือไส่แกงกินอร่อยดี ดูก็แปลก แต่ฉันไม่ได้ทดลองไห้ไครกินไบตะลังตังช้างหรือเอาจี้ช้างไห้ฉันดู เปนแต่ไห้เอามาพิจารนาดู รูปร่างหยู่ไนประเภทไบไม้เหลี่ยม เช่น ไบมะเขือ ขนาดเขื่องกว่าไบพลูสักหน่อยหนึ่ง แต่ที่ครีบมีขนเหมือนขลิบรอบทั้งไบ ไบไม้มีพิสพวกนั้นยังมีอีก 2 หย่าง เรียกว่า "ตะลังตังกวาง" หย่างหนึ่ง "สามแก้ว" หย่างหนึ่ง แต่รูปไบรีปลายมน เปนไม้ต่างพรรนกับตะลังตังช้าง เปนแต่ที่ครีบมีขนเช่นเดียวกัน และว่า พิสสงอ่อน ไม่ร้ายแรงถึงตะลังตังช้าง ได้ยินเขาว่าทางข้างเหนือที่เมืองลำพูน ต้นตะลังตังกวางก็มี แต่ฉันไม่ได้เห็นแก่ตาเหมือนที่แหลมมลายู

เมื่อไปถึงตำบน "บกอินทนิล" ไนแดนเมืองกระบุรี ซึ่งจัดเปนที่ประทับร้อน ไนวันที่ 2 ก็เห็นของประหลาดอีก ฉันได้ยินเสียงสัตว์ร้องหยู่ไนป่าที่ต้นเลียบไหญ่ไกล้ ๆ กับที่ประทับ ฟังเหมือนเสียงตุ๊กแก ไปดูก็เห็นตุ๊กแกมีหยู่ไนโพรงต้นเลียบนั้นหลายตัว ออกประหลาดไจ เพราะเคยสำคัญมาแต่ก่อนว่า ตุ๊กแกมีแต่ตามบ้านผู้เรือนคน เพิ่งไปรู้เมื่อครั้งนั้นว่า ตุ๊กแกป่าก็มี ต่อนั้นมาอีกหลายปี ฉันตามสเด็ดไปเมืองชวาเมื่อ พ.ส. 2439 ตอนสเด็ดไปทอดพระเนตรพูเขาไฟโบรโม ประทับแรมหยู่ที่บนเขาโตสารี ห้องที่ฉันหยู่ไนโฮเต็ลไกล้กับห้องของนักปราชญ์ฝรั่งผู้เชี่ยวชาญวิชาสัตวสาสตรคนหนึ่งซึ่งออกมาเที่ยวหาสัตว์แปลก ๆ ทางตะวันออกนี้ จะเปนเยอรมันหรือฮอลันดาหาซาบไม่ แต่ดูเปนคนแก่แล้ว พูดกันได้ไนภาสาอังกริด จึงชอบพูดจาสนทนากัน แกบอกว่า ที่ไนป่าเมืองชวา มีสัตว์ประหลาดหย่างหนึ่ง เวลาคนเดินทางนอนค้างหยู่ไนป่า มันมักลอบมาอมหัวแม่ตีนดูดเอาเลือดไปกิน คนนอนไม่รู้สึกตัว เปนแต่อ่อนเพลียไปจนถึงตายก็มี ฉันว่า สัตว์หย่างนั้นไนเมืองไทยก็มี เรียกว่า "โป่งค่าง" ฉันเคยได้ยินเขาเล่าว่า มันลอบดูดเลือดคนกินเช่นนั้น แต่ฉันไม่เคยเห็นรูปร่างของมันว่าเปนหย่างไร แกบอกว่า แกหาตัวสัตว์หย่างนั้นได้ที่ไนเมืองชวาหลายตัว ฉันหยากเห็น แกจึงพาเข้าไปดูไนห้องสำนักงานของแก เห็นเอาไส่ขวดแช่เหล้าไว้ เข้าไปพิจารนาดูก็ตุ๊กแกเรานี่เอง จึงหวนรำลึกขึ้นทันทีถึงตุ๊กแกไนโพรงต้นเลียบที่บกอินทนิล คงเปนตุ๊กแกป่านั่นเองที่เราเรียกกันว่า ตัวโป่งค่าง

เมื่อฉันไปพักหยู่ที่เมืองระนอง ก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่ง สมัยนั้นยังไม่มีตำหรวดภูธร กรมหมื่นปราบปรปักส์ ผู้บันชาการทหานเรือ ซงจัดไห้ทหานเรือหมวดหนึ่ง มีนายทหานเรือคุมไปสำหรับรักสาที่พักของฉัน ทหานเรือพวกนั้นจึงไปด้วยกันกับฉันจนถึงเมืองระนอง วันหนึ่ง ฉันกำลังนั่งหยู่กับพระยาระนอง (คอซิมก้อง ซึ่งพายหลังได้เปนพระยาดำรงสุจริตฯ สมุหเทสาภิบาลมนทลชุมพร) และพระกระบุรี (คอซิมบี้ ซึ่งพายหลังได้เปนพระยารัสดานุประดิถ สมุหเทสาภิบาลมนทลภูเก็ต) ข้าราชการที่ไปกับฉันก็นั่งหยู่ด้วยหลายคน ขนะนั้น นายทหานเรือเข้าไปบอกว่า ทหานเรือป่วยไปคนหนึ่ง อาการเปนไข้ตัวร้อนและมีเม็ดผุดขึ้นตามผิวหนัง ดูเหมือนจะออกฝีดาด พอพระยาระนองกับพระกระบุรีได้ยินก็ตกไจ ออกปากว่า น่าจะเกิดลำบากเสียแล้ว เพราะราสดรแถวนั้นยังกลัวฝีดาดยิ่งนัก ผิดกับชาวหัวเมืองชั้นไน ถ้ารู้ว่า มีคนออกฝีดาดหยู่ที่นั่น เห็นจะพากันหลบหนี ไม่มีไครทำการรับสเด็ด ฉันก็ตกไจ ถามว่า จะทำหย่างไรดี เจ้าเมืองทั้งสองคนบอกว่า ตามประเพนีของราสดรทางนั้น ถ้ามีคนออกฝีดาดที่บ้านไหน พวกชาวบ้านช่วยกันปลูกทับกะท่อมไห้คนเจ็บไปหยู่ต่างหาก หายาและข้าวปลาอาหารไปวางไว้ไห้ที่กะท่อม แล้วพวกชาวบ้านพากันทิ้งบ้านเรือนไปหยู่เสียไห้ห่างไกล จนคนไข้หายสนิธจึงกลับมา ถ้าคนไข้ตาย ก็เผาเสียไห้สูญไปด้วยกันกับกะท่อม เขาหยากไห้ฉันส่งทหานเรือคนที่เจ็บไปไว้ที่เกาะว่างผู้คนกลางลำน้ำปากจั่น เขาจะไห้ไปปลูกทับกะท่อมที่อาสัย และจะลองหาคนที่ออกฝีดาดแล้วไปช่วยหยู่รักสาพยาบาล มิฉะนั้น ถ้าฉันพาคนไข้กลับไปด้วย ไปถึงไหนราสดรที่มาทำงานหยู่ที่นั่นก็คงพากันหลบหนีไปหมด ฉันสงสารทหานเรือคนไข้ ยังมิรู้ที่จะว่าประการได พระทิพจักส์ฯ หมอที่ไปประจำตัวฉันพูดขึ้นว่า จะไปตรวดดูเสียไห้แน่ก่อน แกไปสักครู่หนึ่งเดินยิ้มกลับมา บอกว่า ไม่ต้องซงพระวิตกแล้ว คนเจ็บเปนแต่ออกอีสุกอีไส มิไช่ฝีดาด เพราะเม็ดที่ขึ้นห่าง ๆ กันไม่เปนพืดเหมือนเม็ดฝีดาด พิสไข้ก็ไม่ร้ายแรงเหมือนหย่างออกฝีดาด รักสาไม่กี่วันก็หาย ได้ฟังดังนั้นก็โล่งไจไปด้วยกันหมด ขากลับจากเมืองระนอง พระทิพจักส์ฯ แกรับคนไข้มาไนเรือลำเดียวกับแก เมื่อขึ้นเดินบก ฉันก็ไห้จัดช้างตัวหนึ่งไห้คนไข้นอนมาไนสับปะคับนำหน้าช้างตัวที่ฉันขี่มาจนถึงเมืองชุมพร รักสาต่อมาไม่กี่วันก็หายเปนปรกติ ต่อเมื่อคนไข้หายสนิธแล้ว พระทิพจักส์ฯ จึงกะซิบบอกฉันว่า ที่จริงทหานเรือคนนั้นออกฝีดาดนั่นเอง แต่ออกหย่างบาง พิสสงไม่ร้ายแรง แกเห็นพอจะพามาได้ จึงคิดเอากลับมา ฉันก็มิรู้ที่จะว่าประการได นอกจากขอบไจ เพราะรอดลำบากมาได้ด้วยมายาของแก

เรื่องสเด็ดเลียบหัวเมืองปักส์ไต้ฝ่ายตะวันตกเมื่อ ร.ส. 109 สมเด็ดพระพุทธเจ้าหลวงได้ซงพระราชนิพนธ์ไว้โดยพิสดาร พิมพ์หยู่ไนหนังสือ "เรื่องสเด็ดประพาสแหลมมลายู" แล้ว ฉันจะเล่าแต่เรื่องเสือไหย่ต่อไป เมื่อสเด็ดกลับมาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ต่อมาไม่ช้าไน พ.ส. 2433 นั่นเอง ได้ข่าวว่า เสือไหย่ที่เมืองชุมพรถูกยิงตายแล้ว ฉันหยากรู้เรื่องที่ยิงเสือตัวนั้น ไห้สืบถามได้ความว่า ชาวเมืองชุมพรคนหนึ่งมีกิจธุระจะต้องเดินทางไปไนป่า เอาปืนติดมือไปด้วย แต่มิได้ตั้งไจจะไปยิงเสือ เดินไปไนเวลากลางวัน พอเลี้ยวต้นไม้ที่บังหยู่ริมทางแห่งหนึ่งก็เจอะอ้ายเป๋เสือไหย่ประชันหน้ากันไกล้ ๆ ชายคนนั้นมีสติเพียงลดปืนลงจากบ่าขึ้นนกหลับตายิงไปตรงหน้าแล้วก็ทิ้งปืนวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่เปนเพราะพบเสือไกล้ ๆ ข้างฝ่ายเสือก็เห็นจะไม่ได้คาดว่าจะพบคน คงยืนชะงักหยู่ ลูกปืนจึงถูกที่หัวเสือตายหยู่กับที่ สิ้นชีวิตเสือไหย่เพียงนั้น แต่ยังไม่หมดเรื่อง ฉันนึกถึงความหลัง เกิดหยากได้หนังหรือหัวกะโหลกเสือตัวนั้น ไห้ไปถามหาได้ความว่า เมื่ออ้ายเป๋ถูกยิงตายแล้ว กำนันนายตำบนเอาซากไปส่งต่อพระยาชุมพร (ยัง) พระยาชุมพรออกเงินไห้เปนบำเหน็ดแก่คนยิง แล้วได้ซากเสือไว้ มิรู้ที่จะทำหย่างไร มีเจ๊กไปขอซื้อ ว่าจะเอาไปทำยา พระยาชุมพรก็เลยขายซากไห้เจ๊กไป ฉันไห้ลงไปถามหาช้าไป จึงไม่ได้หนังหรือหัวกะโหลกอ้ายเป๋ดังประสงค์ เปนสิ้นเรื่องเสือไหย่เมืองชุมพรเพียงเท่านี้.