ประกาศพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชกาลที่ 6/เล่ม 13/เรื่อง 9
มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ ว่า บัดนี้ ความทราบใต้ฝ่าลอองธุลีพระบาทว่า บุคคลที่ไม่มีบุตร์หลานเหลนสืบสายโลหิตได้ขอบุตร์ผู้อื่นมาเลี้ยงเปนบุตร์บุญธรรม มีความปราถนาจะให้ใช้นามสกุลของตนเพื่อสืบสกุลต่อไปภายน่า ประการ ๑ อีกประการ ๑ มีเด็กที่ไม่ปรากฎนามบิดามารดาซึ่งตามสถานที่รับเลี้ยงดูทารกได้รับเลี้ยงไว้ จะควรใช้นามสกุลอย่างไรก็ยังไม่มีบทบังคับไว้ เปนการขัดข้องแก่การจดทะเบียนนามสกุล สมควรจะแก้ไขขยายความในพระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. ๒๔๕๖ ให้พอเพียงแก่เหตุการณ์ กับทั้งควรระวังการที่มีผู้ขอเปลี่ยนนามสกุลอย่าให้เปนที่ยุ่งยากสับสนด้วย
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชกำหนดขนานนามสกุลเพิ่มเติมขึ้นไว้ดังต่อไปนี้
มาตรา๑บุคคลใดไม่มีบุตร์หลานเหลนผู้สืบสายโลหิต มีความปราถนาจะให้บุตร์บุญธรรมใช้นามสกุลของตนเพื่อสืบสกุลต่อไป ถ้าเจ้าพนักงานผู้รับจดทะเบียนนามสกุลพิจารณาเห็นสมควร ก็อนุญาตให้จดทะเบียนใช้นามสกุลร่วมกันได้
มาตรา๒เมื่อใดความปรากฎว่ามีเด็กที่โรงพยาบาลหรือสถานที่รับเลี้ยงดูเด็กทารกที่ไม่ปรากฎนามบิดามารดา ให้ผู้ปกครองโรงพยาบาลหรือสถานที่เลี้ยงดูเด็กทารกขอจดทะเบียนนามสกุลได้ การจดทะเบียนเช่นนี้ ให้จดรวมกันเปนตำบล ๆ คือ สถานที่แห่ง ๆ ก็ให้ใช้นามสกุลสำหรับเด็กที่ไม่ปรากฎนามบิดามารดาแต่สกุล ๑ จนกว่าจะสืบหาสกุลที่แท้จริงได้
มาตรา๓บุคคลใดที่มีนามสกุลอยู่แล้ว มีความปราถนาจะเปลี่ยนใช้นามสกุลอื่น จะต้องไปแจ้งเหตุผลต่อเจ้าพนักงานผู้จดทะเบียน ถ้าเจ้าพนักงานเห็นสมควร ให้ออกประกาศให้สาธารณชนทราบว่าผู้นั้นปราถนาจะเปลี่ยนใช้นามสกุลอย่างนั้น ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดมีข้อควรคัดค้าน เช่น เปนผู้ที่ใช้นามสกุลอันผู้ที่ขอจะได้เปลี่ยนมาเปนนั้น ก็ให้ร้องต่อเจ้าพนักงาน ๆ จะได้พิจารณาดูว่าคัดค้านนั้นมีเหตุสมควรที่จะยอมหรือไม่ แล้วจะได้วินิจฉัยต่อไปว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ใช้นามสกุลซึ่งขอเปลี่ยนใหม่ ทั้งนี้ เพื่อเปนทางให้บุคคลมีสิทธิสงวนนามสกุลของตนเองได้บ้าง
มาตรา๔ให้เรียกค่าธรรมเนียมแต่ผู้ที่ร้องขอเปลี่ยนนามสกุลใหม่รายละ ๒๐ บาท
ประกาศมาณวันที่ ๑๔ ธันวาคม พระพุทธศักราช ๒๔๖๕ เปนปีที่ ๑๓ ในรัชกาลปัตยุบัน