ประกาศพระราชบัญญัติและพระราชกำหนดต่าง ๆ รัชชกาลที่ 8/เล่ม 2/เรื่อง 34


พระราชบัญญัติ
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พุทธศักราช ๒๔๗๗

ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
คณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร
ลงวันที่ ๗ มีนาคม พุทธศักราช ๒๔๗๗)
อนุวัตน์จาตุรนต์
อาทิตย์ทิพอาภา
เจ้าพระยายมราช
ตราไว้ณวันที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๗๘
เป็นปีที่ ๒ ในรัชชกาลปัจจุบัน

โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า สมควรมีพระราชบัญญัติกำหนดฐานะ ระเบียบ และแบบแผนแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จึ่งมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำและยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดั่งต่อไปนี้

มาตราพระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า “พระราชบัญญัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พุทธศักราช ๒๔๗๗”

มาตราให้ใช้พระราชบัญญัตินี้ตั้งแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

มาตราให้ยกเลิกบรรดากฎหมาย กฎ และข้อบังคับอื่นซึ่งมีข้อความขัดหรือแย้งกับบทแห่งพระราชบัญญัตินี้


มาตราให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถานศึกษาและค้นคว้าในศาสตร์ต่าง ๆ โดยมุ่งจะส่งเสริมวิชาชีพชั้นสูงและทนุบำรุงวัฒนะธรรมแห่งชาติ

มาตรามหาวิทยาลัยนี้แบ่งออกเป็นคณะต่าง ๆ คณะหนึ่ง ๆ แบ่งออกเป็นแผนกวิชาต่าง ๆ แต่ถ้าแผนกวิชาใดจะรวมกับแผนกวิชาอื่นเป็นคณะไม่ได้ ก็ให้ตั้งเป็นแผนกอิสสระได้

การตั้งหรือเลิกล้มคณะหรือแผนกวิชานั้น ให้ทำได้แต่โดยพระราชบัญญัติ

มาตราคณะต่าง ๆ แห่งมหาวิทยาลัยนี้ คือ

คณะแพทย์ศาสตร์และศิริราชพยาบาล มีแผนกกายวิภาควิทยา สรีระวิทยา พยาธิวิทยา อายุศศาสตร์ ศัลยศาสตร์ สูติศาสตร์–นารีเวชวิทยา เอกซเรย์ และพยาบาล–ผดุงครรภ์

คณะอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มีแผนกเคมี ฟิสิคส์ ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาไทย และภาษาโบราณตะวันออก ภาษาปัจจุบัน ภูมิศาสตร์–ประวัติศาสตร์ และฝึกหัดครู

คณะวิศวกรรมศาสตร์ มีแผนกวิศวกรรมโยธา วิศวกรรมเครื่องกล และวิศวกรรมไฟฟ้า

แผนกอิสสระต่าง ๆ แห่งมหาวิทยาลัยนี้ คือ แผนกเภสัชกรรมศาสตร์ แผนกสถาปัตยกรรมศาสตร์ และแผนกสัตวแพทยศาสตร์

มาตราให้มหาวิทยาลัยนี้เป็นนิติบุคคล

ในส่วนการเงินนั้น อาจที่จะมีรายได้ต่าง ๆ ดั่งนี้

(๑)เงินงบประมาณแผ่นดิน

(๒)เงินผลประโยชน์และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ของมหาวิทยาลัย เงินประเภทนี้ให้มหาวิทยาลัยรักษาและจัดการได้เอง

(๓)เงินและทรัพย์สินอย่างอื่นซึ่งบุคคลอุททิศให้แก่มหาวิทยาลัย และภายในบังคับแห่งเงื่อนไข ข้อบังคับ หรือวัตถุประสงค์ซึ่งผู้อุททิศทุนกำหนดไว้ ให้มหาวิทยาลัยรักษาและจัดการตามที่เห็นสมควรแก่ประโยชน์แห่งมหาวิทยาลัยนี้


มาตราให้มหาวิทยาลัยนี้อยู่ในความควบคุมดูแลของสภามหาวิทยาลัย

สภามหาวิทยาลัยประกอบด้วย

(ก)กรรมการโดยตำแหน่ง คือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการ อธิการบดีมหาวิทยาลัย คณบดี และหัวหน้าแผนกอิสสระ

(ข)กรรมการที่เลือกตั้งขึ้นจากบรรดาศาสตราจารย์หรืออาจารย์ซึ่งเป็นหัวหน้าแผนกวิชาของคณะต่าง ๆ คณะละหนึ่งหรือสองคน แล้วแต่สภามหาวิทยาลัยจะวินิจฉัย

(ค)กรรมการซึ่งจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรเป็นจำนวนไม่เกินกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการสองประเภทข้างต้น

มาตราให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการเป็นนายกสภามหาวิทยาลัยโดยตำแหน่ง และให้อธิการบดีมหาวิทยาลัยเป็นอุปนายกโดยตำแหน่ง ให้คณะกรรมการเลือกตั้งผู้หนึ่งผู้ใดในหรือนอกคณะกรรมการนี้ซึ่งมีคุณวุฒิตามมาตรา ๑๘ เป็นเลขาธิการสภามหาวิทยาลัย

มาตรา๑๐ให้กรรมการที่เลือกตั้งขึ้นและกรรมการที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นดำรงอยู่ในตำแหน่งสองปี แต่จะกลับตั้งให้อยู่ในตำแนห่งนั้นต่อไปอีกคราวละสองปีก็ได้

มาตรา๑๑สภามหาวิทยาลัยมีอำนาจและหน้าที่ดั่งนี้

(๑)วางระเบียบภายในมหาวิทยาลัย เช่น การรับผู้สมัครเข้าเรียน วินัย และอัตราค่าธรรมเนียม

(๒)พิจารณาเพื่ออนุมัติการปรับปรุงและแก้ไขรายละเอียดหลักสูตรวิชาของคณะต่าง ๆ

(๓)เลือกตั้งหรือถอดถอนคณบดีและหัวหน้าแผนกต่าง ๆ

(๔)ทำหน้าที่ อ.ก.พ. กระทรวงธรรมการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๔๗๖ ในเมื่อเกี่ยวกับตำแหน่งศาสตราจารย์ อาจารย์ และเจ้าหน้าที่ซึ่งมีเงินเดือนในงบประมาณแผ่นดิน

(๕)วางระเบียบการแต่งตั้ง เลื่อนชั้น ถอดถอน และควบคุมศาสตราจารย์ อาจารย์ และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ที่ได้รับเงินเดือนจากรายได้ของมหาวิทยาลัยตามมาตรา ๗ (๒)

(๖)วางระเบียบให้ปริญญาและอนุปริญญา

(๗)ทำงบประมาณเงินประจำปีของมหาวิทยาลัย

(๘)รักษาและจัดการเงินและทรัพย์สินอย่างอื่นของมหาวิทยาลัย

(๙)พิจารณาและให้ความเห็นในปัญหาใด ๆ อันเกี่ยวกับมหาวิทยาลัยหรือเรื่องการศึกษาซึางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงธรรมการหรืออธิการบดีเสนอขึ้นมา

มาตรา๑๒ให้นายกหรืออุปนายกเป็นผู้เรียกประชุมสภามหาวิทยาลัย ในการประชุมต้องมีกรรมการมาประชุมอย่างน้อยกึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึ่งจะเป็นองค์ประชุมได้

มาตรา๑๓ให้นายกเป็นประธานในที่ประชุม ถ้านายกมาประชุมไม่ได้ ให้อุปนายกเป็นประธาน ถ้าอุปนายกมาประชุมไม่ได้ ก็ให้กรรมการเลือกตั้งกรรมการคนหนึ่งขึ้นเป็นประธานชั่วคราว

มาตรา๑๔การลงมติให้ถือคะแนนเสียงข้างมากเป็นประมาณ ถ้าในการลงมตินั้นมีคะแนนเสียงเท่ากัน ให้ประธานออกคะแนนเสียงเพิ่มขึ้นหนึ่งคะแนนเพื่อชี้ขาด

มาตรา๑๕เจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยมีดั่งนี้ คือ

(๑)ข้าราชการสามัญและวิสามัญตามความหมายแห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๖

(๒)พนักงานที่มหาวิทยาลัยตั้งขึ้นและรับเงินเดือนจากรายได้ของมหาวิทยาลัยนี้ตามมาตรา ๗ (๒)

มาตรา๑๖อธิการบดีมหาวิทยาลัยนั้นจะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งขึ้นโดยคำแนะนำของสภามหาวิทยาลัยจากผู้ที่มีคุณวุฒิดั่งต่อไปนี้

(๑)ได้ปริญญาไม่ต่ำกว่าชั้นปริญญาเอกของมหาวิทยาลัยนี้หรือเทียบเท่ากัน หรือ

(๒)ได้ปริญญาไม่ต่ำกว่าชั้นปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยนี้หรือเทียบเท่ากัน และได้ทำการเป็นเจ้าหน้าที่ในมหาวิทยาลัยนี้หรือเป็นข้าราชการมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปี

อธิการบดีมหาวิทยาลัยดำรงอยู่ในตำแหน่งสองปี แต่จะกลับตั้งให้อยู่ในตำแหน่งนั้นต่อไปอีกคราวละสองปีก็ได้

มาตรา๑๗อธิการบดีมหาวิทยาลัยมีหน้าที่ดั่งนี้

(๑)ควบคุมดูแลการศึกษาในมหาวิทยาลัยให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติและข้อบังคับของสภามหาวิทยาลัย

(๒)รับปรึกษาและให้ความเห็นแก่คณบดี

(๓)ควบคุมดูแลการเงิน การพัสดุ สถานที่ และทรัพย์สินอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัย

(๔)รักษาวินัยของมหาวิทยาลัย

มาตรา๑๘เลขาธิการของสภามหาวิทยาลัยนั้นต้องได้ปริญญาไม่ต่ำกว่าชั้นปริญญาตรีของมหาวิทยาลัยนี้หรือเทียบเท่ากัน และได้ทำงานในมหาวิทยาลัยนี้ไม่ต่ำกว่าห้าปี

มาตรา๑๙ให้เลขาธิการของสภามหาวิทยาลัยเป็นเลขาธิการแห่งมหาวิทยาลัยโดยตำแหน่ง และมีหน้าที่ดั่งนี้

(๑)ควบคุมการทะเบียนและสถิติ

(๒)ควบคุมการบัญชี

(๓)ตรวจตราดูแลพัสดุ สถานที่ และทรัพย์สินอื่น ๆ ของมหาวิทยาลัย

(๔)ช่วยเหลืออธิการบดีในกิจการทั่วไปของมหาวิทยาลัย


มาตรา๒๐ในคณะหนึ่ง ให้มีคณะกรรมการประจำทุกคณะ ซึ่งประกอบด้วยคณบดีเป็นประธาน และผู้แทนแผนกวิชาต่าง ๆ ในคณะนั้นเท่าที่คณะกรรมการประจำคณะจะได้ตกลงกันโดยอนุมัติของสภามหาวิทยาลัย ตั้งขึ้นจากบรรดาหัวหน้าแผนก ศาสตราจารย์ และอาจารย์ในแผนกนั้น แต่ต้องมีจำนวนไม่เกินสองคนต่อหนึ่งแผนก

ในแผนกอิสสระ ให้มีคณะกรรมการประจำแผนก ซึ่งประกอบด้วยหัวหน้าแผนกวิชาและอาจารย์

ให้คณะกรรมการประจำตั้งผู้ใดผู้หนึ่งในหรือกนอกคณะกรรมการเป็นเลขานุการ

มาตรา๒๑คณะกรรมการประจำคณะหรือแผนกอิสสระมีหน้าที่ดั่งนี้

(๑)วางระเบียบการภายในคณะหรือแผนกเพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย

(๒)วางหลักสูตรรายละเอียดสำหรับคณะหรือแผนกเพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย

(๓)วางระเบียบการสอบไล่เพื่อเสนอต่อสภามหาวิทยาลัย และจัดการสอบไล่สำหรับคณะหรือแผนก

(๔)รับปรึกษาและให้ความเห็นแก่คณบดีหรือหัวหน้าแผนกในกิจการของคณะหรือแผนก

(๕)เสนอแต่งตั้ง เลื่อนชั้น และถอดถอนศาสตราจารย์ อาจารย์ และเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในคณะหรือแผนก และสำหรับตำแหน่งที่มีเงินเดือนในงบประมาณแผ่นดิน ให้คณะกรรมการประจำทำหน้าที่ อ.ก.พ. กรม ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๖

(๖)จัดทำงบประมาณประจำปีของคณะหรือแผนกแล้วเสนอต่ออธิการบดีมหาวิทยาลัยต่อไป

มาตรา๒๒การประชุม องค์ประชุม การลงมติ และการตั้งประธาน ให้ใช้บทบัญญัติในมาตรา ๑๒ ๑๓ และ ๑๔ โดยอนุโลม

มาตรา๒๓กิจการในคณะหนึ่ง ๆ ของมหาวิทยาลัยนั้น ให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของคณบดีซึ่งสภามหาวิทยาลัยจะได้ตั้งขึ้นโดยคำแนะนำของคณะกรรมการประจำคณะจากบรรดาหัวหน้าแผนกในคณะนั้น และดำรงอยู่ในตำแหน่งสี่ปี แต่จะกลับตั้งให้อยู่ในตำแหน่งนั้นอีกคราวละสี่ปีก็ได้

กิจการในแผนกวิชานั้นให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของหัวหน้าแผนกวิชา

มาตรา๒๔คณบดีและหัวหน้าแผนกวิชามีหน้าที่ดั่งนี้

(๑)เป็นผู้แทนของคณะและแผนกวิชา

(๒)ปฏิบัติการตามข้อตกลงของคณะกรรมการประจำคณะและแผนกวิชา และข้อบังคับต่าง ๆ เพื่อให้การสอนและหลักสูตรการสอนดำเนินไปโดยเรียบร้อย

(๓)รักษาวินัยภายในคณะและแผนกวิชา

มาตรา๒๕บุคคลซึ่งสภามหาวิทยาลัยเสนอเพื่อตั้งเป็นศาสตราจารย์นั้น ให้มหาวิทยาลัยเลือกจากบรรดาผู้มีคุณวุฒิสำหรับแผนกวิชาที่ตนพึงปฏิบัติดั่งนี้

(๑)ได้ปริญญาชั้นเอกของมหาวิทยาลัยนี้หรือเทียบเท่ากัน และได้ทำการสอนมาแล้วไม่ต่ำกว่าห้าปี หรือ

(๒)ได้ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยนี้หรือเทียบเท่ากัน และได้ทำการค้นคว้าได้ผลดีเป็นพิเศษ หรือ

(๓)ได้ปริญญาชั้นใดชั้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยหรือเทียบเท่ากัน และได้แสดงความสามารถเป็นพิเศษในการสอนในมหาวิทยาลัยนี้ไม่ต่ำกว่าสิบห้าปี

มาตรา๒๖สภามหาวิทยาลัยอาจตั้งผู้หนึ่งผู้ใดซึ่งเคยเป็นศาสตราจารย์มาแล้วด้วยความสามารถและชำนาญดีพิเศษ เป็นศาสตราจารย์อุปการคุณในวิชาที่ผู้นั้นได้มีความเชี่ยวชาญเพื่อเป็นเกียรติยศก็ได้

มาตรา๒๗การแต่งตั้งอาจารย์และเจ้าหน้าอื่น ๆ ซึ่งมีเงินเดือนปรากฏอยู่ในงบประมาณแผ่นดินนั้น ให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๖ หรือพระราชกฤษฎีกากำหนดวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วแต่กรณี


มาตรา๒๘ให้มหาวิทยาลัยนี้มีอำนาจให้ปริญญาบัณฑิตสำหรับวิชาต่อไปนี้

แพทยศาสตร์ (ใช้อักษรย่อ พ. ข้างหน้า)

วิศวกรรมศาสตร์ (ใช้อักษรย่อ วศ. ข้างหน้า)

อักษรศาสตร์ (ใช้อักษรย่อ อ. ข้างหน้า)

วิทยาศาสตร์ (ใช้อักษรย่อ วท. ข้างหน้า)

เภสัชกรรมศาสตร์ (ใช้อักษรย่อ ภ. ข้างหน้า)

สถาปัตยกรรมศาสตร์ (ใช้อักษรย่อ สถ. ข้างหน้า)

สัตวแพทยศาสตร์ (ใช้อักษรย่อ สต. ข้างหน้า)

มาตรา๒๙ปริญญาบัณฑิตมี ๓ ชั้น คือ

ชั้นเอก เรียกว่า ดุษฎีบัณฑิต (ใช้อักษรย่อ ด. ข้างหลัง)

ชั้นโทก เรียกว่า มหาบัณฑิต (ใช้อักษรย่อ ม. ข้างหลัง)

ชั้นตรี เรียกว่า บัณฑิต (ใช้อักษรย่อ บ. ข้างหลัง)

ปริญญาบัตรชั้นตรีอาจแบ่งเป็นเกียรติปริญญาอันดับ ๑ อันดับ ๒ และปริญญาสำเร็จ

หัวข้อหลักสูตรในการสอบไล่เพื่อปริญญาสำหรับแผนกวิชาต่าง ๆ ข้างบนนี้ ให้ตราไว้ในพระราชกฤษฎีกา

มาตรา๓๐ให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้ปริญญากิตติมศักดิ์แก่บุคคลซึ่งมหาวิทยาลัยเห็นว่าทรงคุณวุฒิสมควรแก่ปริญญานั้น ๆ

มาตรา๓๑บรรดาปริญญาของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ได้ให้ไปแล้วก่อนพระราชบัญญัตินี้ ให้ถือเป็นปริญญาตามพระราชบัญญัตินี้

ส่วนที่จะเข้าชั้นใดตามมาตรา ๒๙ แห่งพระราชบัญญัตินี้ ให้สภามหาวิทยาลัยกำหนดและประกาศในราชกิจจานุเบกษา

มาตรา๓๒ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๒๘ ให้มหาวิทยาลัยมีอำนาจให้อนุปริญญาแก่นิสสิตที่เรียนสำเร็จตามหลักสูตรที่มีมาตรฐานยังไม่ถึงชั้นปริญญาและสอบไล่ได้ตามระเบียบของมหาวิทยาลัย


มาตรา๓๓ให้มอบบรรดาเงินรายได้และทรัพย์สินอื่น ๆ ตามมาตรา ๗ (๒) และ (๓) ซึ่งกรมมหาวิทยาลัยและกระทรวงการคลังเก็บรักษาไว้ในเวลานี้ ให้แก่มหาวิทยาลัยภายในกำหนดเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้

มาตรา๓๔ให้อธิบดีกรมมหาวิทยาลัยทำหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยตั้งแต่วันประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้เป็นต้นไป แต่ไม่ให้เกินหกเดือน

มาตรา๓๕คณบดี หัวหน้าแผนกวิชา ศาสตราจารย์ และกรรมการในคณะกรรมการประจำคณะซึ่งกระทรวงธรรมการได้ตั้งขึ้นไว้แล้ว และยังดำรงตำแหน่งอยู่ในวันประกาศใช้พระราชบัญญัตินี้นั้น ให้ถือว่าได้เลือกตั้งหรือตั้งขึ้นโดยชอบตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้

ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
(ตามมติคณะรัฐมนตรี)
พระยานิติศาสตร์ไพศาลย์
รัฐมนตรี
(ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๕๒ วันที่ ๒๑ เมษายน หน้า ๘๒)