ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 55)
ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร
เกี่ยวกับภาษีเงินได้(ฉบับที่ 55)
เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์
อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 42(8)(ค) แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 29) พ.ศ.2534 และตามความในข้อ 2(38) แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ.2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ 200 (พ.ศ. 2538) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้ สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ไว้ ดังต่อไปนี้
ข้อ 1 ให้ยกเลิกประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 41) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไข เพื่อการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ลงวันที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2534
ข้อ 2 ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ต้องเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร เฉพาะที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ ซึ่งใช้สมุดคู่ฝากในการฝากถอนและไม่ใช้เช็คในการถอน ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านระบบการหักหรือโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวไปยังบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชี เงินฝากอื่นใด และมีจำนวนดอกเบี้ยรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น[1]
ข้อ 2 “ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร ที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต้องเป็นดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในราชอาณาจักร เฉพาะที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามประเภทออมทรัพย์ที่ไม่ใช้เช็คในการถอนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมผ่านระบบการหักหรือโอนเงินจากบัญชีดังกล่าวไปยังบัญชีเงินฝากกระแสรายวันหรือบัญชีเงินฝากอื่นใด และมีจำนวนดอกเบี้ยรวมกันทั้งสิ้นไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ตลอดปีภาษีนั้น”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 177) ใช้บังคับ 27 เมษายน 2552 เป็นต้นไป)
ข้อ 3 ชื่อบัญชีเงินฝากจะต้องเป็นชื่อของผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ได้รับประโยชน์จากดอกเบี้ยนั้น
ข้อ 4 ผู้มีเงินได้ไม่ต้องนำดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 ที่ได้รับไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ข้อ 5 กรณีผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 มีจำนวนรวมกันทั้งสิ้นเกิน 20,000 บาท ตลอดปีภาษีนั้น ให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าวหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่ง ตามมาตรา 50(2) และมาตรา 52 แห่งประมวลรัษฎากร[2]
ข้อ 5 “กรณีผู้มีเงินได้ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ ๒ จากทุกธนาคารรวมกัน มีจำนวนทั้งสิ้นเกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ตลอดปีภาษีนั้น ให้แจ้งแก่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยดังกล่าว เพื่อหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา ๕๐ (๒) และมาตรา ๕๒ แห่งประมวลรัษฎากร เว้นแต่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยแต่ละแห่งได้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าวมีจำนวนรวมกันทั้งสิ้นเกิน ๒๐,๐๐๐ บาท ตลอดปีภาษีนั้นให้ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากนั้นหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย และนำส่งตามมาตรา ๕๐ (๒) และมาตรา ๕๒ แห่งประมวลรัษฎากร”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 181) ใช้บังคับ 1 มกราคม 2552 เป็นต้นไป)
ข้อ 6 ผู้มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 ให้ถือตามหลักเกณฑ์ดังนี้
(1) ในกรณีที่สามีภริยาเป็นผู้ฝากเงินร่วมกันหรือแยกกัน ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของสามี
(2) ในกรณีที่ความเป็นสามีภริยาตาม (1) มิได้มีอยู่ตลอดปีภาษี ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล
(3) ในกรณีบิดาและหรือมารดาและบุตรผู้เยาว์เป็นผู้ฝากเงินร่วมกันให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของบิดาหรือของมารดาผู้ใช้อำนาจปกครองแล้วแต่กรณี หรือเป็นเงินได้ของบิดาในกรณีบิดามารดาใช้อำนาจปกครองร่วมกัน
บุตรผู้เยาว์ในวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ด้วยโดยอนุโลม
(4) กรณีบิดาและหรือมารดาเป็นผู้ฝากเงินเพื่อบุตรผู้เยาว์ ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของบุตรผู้เยาว์
บุตรผู้เยาว์ในวรรคหนึ่งให้หมายความรวมถึงบุตรบุญธรรมที่เป็นผู้เยาว์ด้วยโดยอนุโลม
(5) กรณีห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลเป็นผู้ฝากเงิน ให้ถือว่าเงินได้ดังกล่าวเป็นเงินได้ของห้างหุ้นส่วนสามัญ หรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคลนั้น
ข้อ 7 ผู้มีเงินได้ที่ได้รับดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 20,000 บาทในแต่ละปีภาษี ต้องแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร พร้อมแสดงบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรของตนต่อธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝาก ก่อนหรือในขณะรับดอกเบี้ยเงินฝากดังกล่าว และให้ธนาคารแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรดังกล่าวต่อกรมสรรพากร ถ้าผู้มีเงินได้ดังกล่าวไม่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร ให้ผู้มีเงินได้ลงนามรับทราบว่า ถ้าเป็นคนโสดและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีนั้นรวมกันเกิน 30,000 บาท หรือมีคู่สมรสและมีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีนั้นรวมกันเกิน 60,000 บาท ผู้มีเงินได้มีหน้าที่ต้องยื่นรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษีนั้น และให้ธนาคารส่งหลักฐานการรับทราบของผู้มีเงินได้รายดังกล่าวต่อกรมสรรพากร
ในกรณีที่ผู้มีเงินได้ได้แจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรต่อธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากแล้ว ต่อไปไม่ต้องแจ้งอีก
“การแจ้งเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากรพร้อมแสดงบัตรประจำตัวผู้เสียภาษีอากรตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง ให้แจ้งเลขประจำตัวประชาชนตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรแทนก็ได้”
(แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 139) ใช้บังคับ 1 ตุลาคม 2546 เป็นต้นไป)
ข้อ 8 ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 ต้องส่งข้อมูลของผู้ฝากเงินพร้อมกับรายละเอียดที่ผู้ฝากแจ้งต่อธนาคารตามข้อ 7 ต่อสำนักงานภาษีสรรพากรพื้นที่หรือสำนักงานสรรพากรจังหวัดที่ธนาคารผู้จ่ายดอกเบี้ยตั้งอยู่ แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้ [3]
(1) กรณีบันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งสื่อบันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงิน ตามรูปแบบ (Format) ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด หรือ
(2) กรณีไม่ได้บันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งข้อมูลของผู้ฝากเงินตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด
การส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดของผู้ฝากเงินตามวรรคหนึ่ง สำหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ต้องส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น และสำหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม ต้องส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดดังกล่าวของเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
"ข้อ 8 ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยเงินฝากตามข้อ 2 ต้องส่งข้อมูลของ ผู้ฝากเงินพร้อมกับรายละเอียดที่ผู้ฝากเงินแจ้งต่อธนาคารตามข้อ 7 ต่อสำนักงานสรรพากรพื้นที่ ในเขตท้องที่ที่ธนาคารซึ่งเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยตั้งอยู่ แล้วแต่กรณี ดังต่อไปนี้
(1) กรณีบันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งสื่อบันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงิน ตามรูปแบบ (Format) ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด หรือ
(2) กรณีไม่ได้บันทึกข้อมูลของผู้ฝากเงินด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้ส่งข้อมูลของผู้ฝากเงินตามแบบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด"
( แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศอธิบดีกรมสรรพากร เกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 114) ใช้บังคับ 11 ตุลาคม 2545 เป็นต้นไป )
การส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดของผู้ฝากเงินตามวรรคหนึ่ง สำหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน ต้องส่งภายในเดือนกรกฎาคมของปีนั้น และสำหรับรอบระยะเวลาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงเดือนธันวาคม ต้องส่งข้อมูลพร้อมรายละเอียดดังกล่าวของเดือนมกราคมถึงเดือนธันวาคม ภายในเดือนมกราคมของปีถัดไป
ข้อ 9 ในกรณีผู้มีเงินได้ที่ได้ฝากเงินต่อธนาคารก่อนวันที่อธิบดีกรมสรรพากรลงนามในประกาศนี้ การแจ้งเลขประจำตัวและการส่งหลักฐานการรับทราบของผู้มีเงินได้ที่ธนาคารต้องปฏิบัติตามกำหนดเวลาในข้อ 8 ให้ขยายกำหนดเวลาออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ.2539
ข้อ 10 ในกรณีที่มีปัญหาในการปฏิบัติให้อธิบดีกรมสรรพากรมีอำนาจวินิจฉัยและคำวินิจฉัยของอธิบดีกรมสรรพากรให้ถือเป็นหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่กำหนดตามประกาศนี้ด้วย
ข้อ 11 ประกาศนี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2538 เป็นต้นไป
ประกาศ ณ วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2538
ร้อยเอกสุชาติ เชาว์วิศิษฐ
อธิบดีกรมสรรพากร