พระวรสารนักบุญมาระโก

1 : 1 ข่าวประเสริฐเรื่องพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้าเริ่มต้นตรงนี้ 1 : 2 ในพระธรรมอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะมีเขียนไว้ว่า"เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่านผู้นั้นจะเตรียมมรรคาของท่านไว้ 1 : 3 เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่าจงเตรียมมรรคาแห่งพระเป็นเจ้าจงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป" 1 : 4 ท่านยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาก็ได้ปรากฏตัวในถิ่นทุรกันดารท่านได้ประกาศให้กลับใจเสียใหม่และรับบัพติศมาเพื่อพระเจ้าจะทรงยกความผิดบาปเสีย 1 : 5 คนทั่วแคว้นยูเดียกับชาวกรุงเยรูซาเล็มได้พากันออกไปหายอห์นสารภาพความผิดบาปของตนและได้รับบัพติศมาจากท่านในแม่น้ำจอร์แดน 1 : 6 ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐและใช้หนังสัตว์คาดเอวรับประทานจักจั่นและน้ำผึ้งป่า 1 : 7 ท่านประกาศว่า"ภายหลังเราจะมีพระองค์ผู้หนึ่งเสด็จมาทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีกซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะน้อมตัวลงแก้สายฉลองพระบาทให้พระองค์ 1 : 8 เราให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยน้ำแต่พระองค์นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์" 1 : 9 ต่อมาพระเยซูเสด็จมาจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลีและได้ทรงรับบัพติศมาจากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 1 : 10 พอพระองค์เสด็จขึ้นมาจากน้ำในทันใดนั้นก็ทรงเห็นท้องฟ้าแหวกออกและพระวิญญาณดุจนกพิราบลงมาสู่พระองค์ 1 : 11 แล้วมีพระสุรเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า"ท่านเป็นบุตรที่รักของเราเราชอบใจท่านมาก" 1 : 12 ในทันใดนั้นพระวิญญาณจึงเร่งเร้าพระองค์ให้เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร 1 : 13 และซาตานได้ผจญพระองค์อยู่ในนั้นถึงสี่สิบวันพระองค์ทรงอยู่ในที่ของสัตว์ป่าและมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์ 1 : 14 ครั้นยอห์นถูกอายัดแล้วพระเยซูได้เสด็จมายังแคว้นกาลิลีทรงเทศนาประกาศข่าวประเสริฐของพระเจ้า 1 : 15 และตรัสว่า"เวลากำหนดมาถึงแล้วและแผ่นดินของพระเจ้าก็มาใกล้แล้วจงกลับใจเสียใหม่และเชื่อข่าวประเสริฐเถิด" 1 : 16 ขณะที่พระองค์เสด็จไปตามชายทะเลสาบกาลิลีก็ทอดพระเนตรเห็นชาวประมงสองคนคือซีโมนและอันดรูว์น้องของซีโมนกำลังทอดแหอยู่ที่ทะเลสาบ 1 : 17 พระเยซูตรัสกับเขาว่า"จงตามเรามาเถิดและเราจะตั้งท่านให้เป็นผู้หาคนดังหาปลา" 1 : 18 เขาก็ละแหตามพระองค์ไปทันที 1 : 19 ครั้นพระองค์ทรงดำเนินต่อไปหน่อยหนึ่งก็ทอดพระเนตรเห็นยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือ 1 : 20 ในทันใดนั้นพระองค์ได้ทรงเรียกเขาเขาจึงละเศเบดีบิดาของเขาไว้ที่เรือกับลูกจ้างและได้ตามพระองค์ไป 1 : 21 พระองค์กับพวกของพระองค์จึงเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุมและพอถึงวันสะบาโตพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาเทศนาสั่งสอน 1 : 22 เขาทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์เพราะว่าพระองค์ได้ทรงสั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจหาเหมือนพวกธรรมาจารย์ไม่ 1 : 23 ในทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งในธรรมศาลาของเขามีผีโสโครกเข้าสิง 1 : 24 มันร้องอึงว่า"พระเยซูชาวนาซาเร็ธท่านมายุ่งกับเราทำไมท่านมาทำลายพวกเราหรือเรารู้ว่าท่านเป็นผู้ใดท่านคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า" 1 : 25 พระเยซูจึงตรัสห้ามมันว่า"จงนิ่งเสียออกมาจากเขาซิ" 1 : 26 และเมื่อผีโสโครกทำให้คนนั้นชักและร้องเสียงดังแล้วมันก็ออกมาจากเขา 1 : 27 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงถามกันว่า"การนี้เป็นอย่างไรหนอเป็นคำสั่งสอนใหม่แน่ท่านสั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและมันจำต้องฟัง" 1 : 28 ในขณะนั้นกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วแคว้นกาลิลี 1 : 29 พอออกมาจากธรรมศาลาพระองค์กับพวกของพระองค์จึงเข้าไปในเรือนของเปโตรและอันดรูว์พร้อมกับยากอบและยอห์น 1 : 30 แม่ยายของซีโมนนอนป่วยจับไข้อยู่ในทันใดนั้นเขาจึงมาทูลพระองค์ให้ทราบด้วยเรื่องของนาง 1 : 31 แล้วพระองค์ก็เสด็จไปจับมือนางพยุงขึ้นและความไข้ก็หายนางจึงปรนนิบัติพระองค์กับพวกของพระองค์ 1 : 32 เวลาเย็นวันนั้นครั้นตะวันตกแล้วคนทั้งหลายพาบรรดาคนเจ็บป่วยและคนที่มีผีสิงมาหาพระองค์ 1 : 33 และคนทั้งเมืองก็แตกตื่นมาออกันอยู่ที่ประตู 1 : 34 พระองค์จึงทรงรักษาคนเป็นโรคต่างๆให้หายหลายคนและได้ทรงขับผีออกเสียหลายผีแต่ผีเหล่านั้นพระองค์ทรงห้ามมิให้พูดเพราะว่ามันรู้จักพระองค์ 1 : 35 ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ทรงลุกขึ้นเสด็จออกไปยังที่เปลี่ยวและทรงอธิษฐานที่นั่น 1 : 36 ฝ่ายซีโมนและคนทั้งหลายที่อยู่ด้วยก็ตามหาพระองค์ 1 : 37 เมื่อพบแล้วเขาจึงทูลว่า"คนทั้งปวงแสวงหาพระองค์" 1 : 38 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า"ให้เราทั้งหลายไปในตำบลบ้านใกล้เคียงเพื่อเราจะได้ประกาศที่นั่นด้วยที่เรามาก็เพื่อการนั้นเอง" 1 : 39 พระองค์ได้เสด็จไปประกาศในธรรมศาลาของเขาทั่วแคว้นกาลิลีและได้ขับผีออกเสียหลายผี 1 : 40 คนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลวิงวอนพระองค์ว่า"เพียงแต่พระองค์จะโปรดก็จะทรงบันดาลให้ข้าพระองค์หายโรคได้" 1 : 41 พระเยซูทรงสงสารเขาจึงทรงยื่นพระหัตถ์ถูกต้องคนนั้นตรัสแก่เขาว่า"เราพอใจแล้วจงหายเถิด" 1 : 42 ในทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หายและคนนั้นก็สะอาด 1 : 43 ก่อนให้เขาไปพระองค์จึงกำชับผู้นั้นตรัสแก่เขาว่า 1 : 44 "อย่าบอกเล่าอะไรให้ผู้ใดฟังเลยแต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิตและถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายโรคเรื้อนแล้วตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว" 1 : 45 แต่คนนั้นเมื่อออกไปแล้วก็ตั้งต้นป่าวร้องมากมายให้เลื่องลือไปจนพระองค์จะเสด็จเข้าไปในเมืองโดยเปิดเผยต่อไปไม่ได้แต่ต้องประทับภายนอกในที่เปลี่ยวและมีคนทุกแห่งทุกตำบลมาหาพระองค์ 2 : 1 ครั้นล่วงไปหลายวันพระองค์ได้เสด็จไปในเมืองคาเปอรนาอุมอีกและคนทั้งหลายได้ยินว่าพระองค์ประทับที่บ้าน 2 : 2 และคนเป็นอันมากมาชุมนุมกันจนไม่มีที่จะรับจะเข้าใกล้ประตูก็ไม่ได้พระองค์จึงเทศนาข่าวนั้นให้เขาฟัง 2 : 3 แล้วมีคนนำคนง่อยคนหนึ่งมาหาพระองค์มีสี่คนหาม 2 : 4 เมื่อเขาเข้าไปให้ถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมากเขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์ประทับนั้นและเมื่อรื้อเป็นช่องแล้วเขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ 2 : 5 เมื่อพระเยซูทรงเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลายพระองค์จึงตรัสกับคนง่อยว่า"ลูกเอ๋ยบาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว" 2 : 6 แต่มีพวกธรรมาจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่นและเขาคิดในใจว่า 2 : 7 "ทำไมคนนี้พูดเช่นนี้หมิ่นประมาทพระเจ้านี่ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น" 2 : 8 และในทันใดนั้นเมื่อพระเยซูทรงทราบในพระทัยว่าเขาคิดในใจอย่างนั้นจึงตรัสแก่เขาว่า"เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้เล่า 2 : 9 ที่จะว่ากับคนง่อยว่าบาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้วและจะว่าจงยกแคร่เดินไปเถิดนั้นข้างไหนจะง่ายกว่ากัน 2 : 10 แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้"พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า 2 : 11 "เราสั่งเจ้าว่าจงลุกขึ้นยกแคร่ไปบ้านของเจ้าเถิด" 2 : 12 คนง่อยได้ลุกขึ้นแล้วก็ยกแคร่ของตนเดินออกไปต่อหน้าคนทั้งปวงคนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักจึงสรรเสริญพระเจ้าว่า"เราไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย" 2 : 13 ฝ่ายพระองค์ได้เสด็จไปตามชายทะเลสาบอีกประชาชนก็มาหาพระองค์และพระองค์ได้ตรัสสั่งสอนเขา 2 : 14 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จไปนั้นก็เห็นชายคนหนึ่งชื่อเลวีบุตรอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านภาษีจึงตรัสแก่เขาว่า"จงตามเรามาเถิด"เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 2 : 15 เมื่อพระองค์ประทับเสวยพระกระยาหารอยู่ในเรือนของเลวีมีพวกเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆหลายคนร่วมสำรับกับพระเยซูและกับพวกสาวกของพระองค์เพราะมีคนติดตามพระองค์ไปมาก 2 : 16 ฝ่ายธรรมาจารย์ที่เป็นพวกฟาริสีเมื่อเห็นพระองค์ทรงเสวยพระกระยาหารกับพวกคนบาปและคนเก็บภาษีจึงถามศิษย์ของพระองค์ว่า"เหตุไฉนอาจารย์ของท่านจึงรับประทานด้วยกันกับคนเก็บภาษีและคนนอกรีตเล่า" 2 : 17 ครั้นพระเยซูทรงทราบดังนั้นจึงตรัสแก่เขาว่า"คนเจ็บต้องการหมอแต่คนสบายไม่ต้องการเรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวชอบธรรมแต่มาเรียกคนที่พวกท่านว่านอกรีต" 2 : 18 มีพวกศิษย์ของยอห์นและพวกฟาริสีกำลังถืออดอาหารประชาชนจึงมาทูลถามพระองค์ว่า"เหตุไฉนพวกศิษย์ของยอห์นและศิษย์ของพวกฟาริสีถืออดอาหารแต่พวกศิษย์ของพระองค์ไม่ถือ" 2 : 19 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า"ท่านจะให้สหายของเจ้าบ่าวถืออดอาหารเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือเจ้าบ่าวอยู่ด้วยนานเท่าใดสหายก็ถืออดอาหารไม่ได้นานเท่านั้น 2 : 20 แต่วันหนึ่งเจ้าบ่าวจะต้องจากสหายไปในวันนั้นสหายจะถืออดอาหาร 2 : 21 ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่าถ้าทำอย่างนั้นท่อนผ้าทอใหม่ที่ปะเข้านั้นเมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 2 : 22 และไม่มีผู้ใดเอาน้ำองุ่นหมักใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่าถ้าทำอย่างนั้นน้ำองุ่นหมักใหม่จะทำให้ถุงเก่านั้นขาดไปทั้งน้ำองุ่นและถุงก็จะเสียไปด้วยกันแต่น้ำองุ่นหมักใหม่นั้นต้องใส่ไว้ในถุงหนังใหม่" 2 : 23 ในวันสะบาโตวันหนึ่งพระองค์กำลังเสด็จไปในนาและเมื่อพวกศิษย์ของพระองค์กำลังเดินไปก็เด็ดรวงข้าวไป 2 : 24 ฝ่ายพวกฟาริสีจึงถามพระองค์ว่า"ดูซิทำไมพวกศิษย์ของท่านจึงทำการซึ่งต้องห้ามในวันสะบาโต" 2 : 25 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า"พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือซึ่งดาวิดได้กระทำเมื่อขาดอาหารและอดอยากทั้งท่านและพรรคพวกด้วย 2 : 26 คือคราวเมื่ออาบีอาธาร์เป็นมหาปุโรหิตท่านได้เข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้าและรับประทานขนมปังหน้าพระพักตร์ที่กฎหมายห้ามไม่ให้ใครรับประทานเว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้นและยังซ้ำส่งให้คนที่มากับท่านรับประทานด้วย" 2 : 27 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า"วันสะบาโตนั้นทรงตั้งไว้เพื่อมนุษย์มิใช่ทรงสร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันสะบาโต 2 : 28 เหตุฉะนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันสะบาโตด้วย" 3 : 1 แล้วพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาอีกและที่นั่นมีคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ 3 : 2 คนเหล่านั้นคอยดูว่าพระองค์จะรักษาโรคให้คนนั้นในวันสะบาโตหรือไม่เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้ 3 : 3 พระองค์ตรัสแก่คนมือลีบว่า"มาข้างหน้าเถอะ" 3 : 4 พระองค์จึงตรัสแก่คนทั้งหลายว่า"ในวันสะบาโตควรจะทำการดีหรือควรจะทำร้ายจะช่วยชีวิตดีหรือจะผลาญชีวิตเสียดี"ฝ่ายคนทั้งปวงก็นิ่งอยู่ 3 : 5 พระองค์มีพระทัยเป็นทุกข์เพราะใจเขาแข็งกระด้างนักและได้ทอดพระเนตรดูรอบด้วยพระพิโรธและพระองค์ตรัสแก่คนมือลีบนั้นว่า"จงเหยียดมือออกเถิด"เขาก็เหยียดออกและมือของเขาก็หายเป็นปกติ 3 : 6 พวกฟาริสีจึงออกไปและในทันใดนั้นได้ปรึกษากับพรรคพวกของเฮโรดว่าจะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้ 3 : 7 ฝ่ายพระเยซูกับพวกศิษย์ของพระองค์จึงออกจากที่นั่นไปยังทะเลสาบและคนเป็นอันมากจากแคว้นกาลิลีได้ตามไปทั้งจากแคว้นยูเดีย 3 : 8 จากกรุงเยรูซาเล็มและจากเอโดมและจากแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกและจากแคว้นเมืองไทระและไซดอนคนเป็นอันมากเมื่อทราบถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้นก็มาหาพระองค์ 3 : 9 พระองค์จึงตรัสสั่งพวกศิษย์ให้เอาเรือมาคอยรับพระองค์เพื่อมิให้ประชาชนเบียดเสียดพระองค์ 3 : 10 ด้วยว่าพระองค์ได้ทรงรักษาคนเป็นอันมากให้หายโรคจนบรรดาผู้ที่มีโรคต่างๆเบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อจะได้ถูกต้องพระองค์ 3 : 11 และผีโสโครกที่เข้าสิงอยู่ในคนหลายคนเมื่อได้เห็นพระองค์ก็ได้หมอบลงกราบพระองค์แล้วร้องอึงว่า"พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า" 3 : 12 ฝ่ายพระองค์จึงทรงกำชับห้ามมันมิให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือผู้ใด 3 : 13 แล้วพระองค์เสด็จขึ้นภูเขาและพอพระทัยจะเรียกผู้ใดพระองค์ก็ทรงเรียกผู้นั้นแล้วเขาได้มาหาพระองค์ 3 : 14 พระองค์จึงทรงตั้งศิษย์สิบสองคนไว้ให้อยู่กับพระองค์เพื่อจะทรงใช้เขาไปประกาศ 3 : 15 และให้มีอำนาจขับผีออกได้ 3 : 16 และซีโมนนั้นพระองค์ทรงประทานชื่ออีกว่าเปโตร 3 : 17 และยากอบบุตรเศเบดีกับยอห์นน้องของยากอบทั้งสองคนนี้พระองค์ทรงประทานชื่ออีกว่าโบอาเนอเยแปลว่าลูกฟ้าร้อง 3 : 18 อันดรูว์ฟีลิปบารโธโลมิวมัทธิวโธมัสยากอบบุตรอัลเฟอัสธัดเดอัสซีโมนพรรคชาตินิยม 3 : 19 และยูดาสอิสคาริโอทที่ได้อายัดพระองค์ไว้นั้นพระองค์จึงเสด็จเข้าไปในเรือน 3 : 20 และประชาชนก็มาประชุมกันอีกจนพระเยซูและสาวกจะรับประทานอาหารไม่ได้ 3 : 21 เมื่อญาติมิตรของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นั้นเขาก็ออกไปเพื่อจะกันพระองค์ไว้ด้วยเขาว่าพระองค์วิกลจริตแล้ว 3 : 22 พวกธรรมาจารย์ซึ่งได้ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มได้กล่าวว่า"ผู้นี้มีผีเบเอลเซบูลเข้าและที่เขาขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจนายผีนั้น" 3 : 23 ฝ่ายพระองค์จึงเรียกคนเหล่านั้นมาตรัสแก่เขาเป็นคำเปรียบว่า"ซาตานจะขับตัวเองให้ออกอย่างไรได้ 3 : 24 ถ้าราชอาณาจักรใดๆเกิดแตกแยกกันแล้วราชอาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้ 3 : 25 ถ้าครัวเรือนใดๆเกิดแตกแยกกันครัวเรือนนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้ 3 : 26 และถ้าซาตานจะต่อสู้กับตนเองและแตกแยกกันมันก็ตั้งอยู่ไม่ได้มีแต่จะสิ้นสูญไป 3 : 27 ไม่มีผู้ใดอาจเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมากและปล้นทรัพย์ได้เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อนแล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้ 3 : 28 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าความผิดบาปทุกอย่างและคำหมิ่นประมาทที่เขากล่าวนั้นจะทรงโปรดยกให้มนุษย์ได้ 3 : 29 แต่ผู้ใดจะกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้เลยแต่ผู้นั้นมีกรรมชั่วแห่งบาปเป็นนิตย์" 3 : 30 ที่ตรัสอย่างนั้นก็เพราะเขาทั้งหลายว่าพระองค์มีผีโสโครกเข้าสิง 3 : 31 เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอกแล้วใช้คนเข้าไปทูลเรียกพระองค์ 3 : 32 และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์เขาจึงทูลพระองค์ว่า"นี่แน่ะท่านมารดาและพวกน้องชายของท่านมาหาท่านคอยอยู่ข้างนอก" 3 : 33 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า"ใครเป็นมารดาของเราและใครเป็นพี่น้องของเรา" 3 : 34 พระองค์ทอดพระเนตรคนที่นั่งล้อมรอบนั้นแล้วตรัสว่า"นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา 3 : 35 ผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระเจ้าผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา" 4 : 1 แล้วพระองค์ทรงสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีกประชาชนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์เหตุฉะนั้นพระองค์จึงได้เสด็จลงไปประทับในเรือที่ทะเลและประชาชนอยู่บนฝั่ง 4 : 2 พระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาหลายประการเป็นคำอุปมาและในการสอนนั้นพระองค์ตรัสแก่เขาว่า 4 : 3 "จงฟังเถิดมีคนหนึ่งออกไปหว่านพืช 4 : 4 และเมื่อเขาหว่านเมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้างแล้วนกก็มากินเสีย 4 : 5 บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อยจึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก 4 : 6 แต่เมื่อแดดจัดแดดก็แผดเผาเพราะรากไม่มีจึงเหี่ยวไป 4 : 7 บ้างก็ตกกลางต้นหนามต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสียจึงไม่เกิดผล 4 : 8 บ้างก็ตกที่ดินดีแล้วงอกงามจำเริญขึ้นเกิดผลสามสิบเท่าบ้างหกสิบเท่าบ้างร้อยเท่าบ้าง" 4 : 9 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า"ใครมีหูจงฟังเถิด" 4 : 10 เมื่อฝูงคนไปแล้วคนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับสาวกสิบสองคนได้ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น 4 : 11 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า"ข้อความลับลึกแห่งแผ่นดินของพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง 4 : 12 เพื่อว่าเขาจะดูแล้วดูเล่าแต่มองไม่เห็นและฟังแล้วฟังเล่าแต่ไม่เข้าใจเกลือกว่าเขาจะหันกลับมาหาพระเจ้าและรับการอภัย" 4 : 13 พระองค์ตรัสกับเขาว่า"คำอุปมานั้นพวกท่านยังไม่เข้าใจหรือถ้ากระนั้นท่านทั้งหลายจะเข้าใจคำอุปมาทั้งปวงอย่างไรได้ 4 : 14 ผู้หว่านนั้นก็ได้หว่านพระวจนะ 4 : 15 ซึ่งตกริมหนทางนั้นได้แก่พระวจนะที่หว่านแล้วและเมื่อบุคคลได้ฟังในทันใดนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระวจนะซึ่งหว่านถูกใจเขานั้นไปเสีย 4 : 16 และซึ่งตกที่ซึ่งมีพื้นหินมีเนื้อดินแต่น้อยนั้นก็ทำนองเดียวกันได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะและก็รับทันทีด้วยความปรีดี 4 : 17 แต่ไม่ฝังลึกในตัวจึงทนอยู่ชั่วคราวและเมื่อเกิดการยากลำบากหรือการข่มเหงต่างๆเพราะพระวจนะนั้นก็เลิกเสียในทันทีทันใด 4 : 18 และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้นได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระวจนะ 4 : 19 แล้วความกังวลตามธรรมดาโลกและความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติและความโลภในสิ่งอื่นๆได้เข้ามาและรัดพระวจนะนั้นจึงไม่เกิดผล 4 : 20 ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้นได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระวจนะนั้นและรับไว้จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้างหกสิบเท่าบ้างร้อยเท่าบ้าง" 4 : 21 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า"เขาเอาตะเกียงมาสำหรับตั้งไว้ใต้ถังใต้เตียงนอนหรือและมิใช่สำหรับตั้งไว้บนเชิงตะเกียงหรือ 4 : 22 เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้งและไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย 4 : 23 ถ้าใครมีหูจงฟังเถิด" 4 : 24 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า"จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ฟังให้ดีท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใดจะทรงตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้นทั้งจะทรงเพิ่มเติมให้อีก 4 : 25 ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะทรงเพิ่มเติมให้ผู้นั้นอีกแต่ผู้ใดไม่มีแม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะทรงเอาไปเสียจากเขา" 4 : 26 พระองค์ตรัสว่า"แผ่นดินของพระเจ้าอุปมาเหมือนคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน 4 : 27 แล้วกลางคืนก็นอนหลับและกลางวันก็ตื่นขึ้นฝ่ายพืชนั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็ไม่รู้ 4 : 28 เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อนภายหลังก็ออกรวงแล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง 4 : 29 ครั้นสุกแล้วเขาก็ใช้คนไปเกี่ยวเก็บทีเดียวเพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว" 4 : 30 พระองค์ตรัสอีกว่า"แผ่นดินของพระเจ้าจะเปรียบเหมือนสิ่งใดหรือจะสำแดงด้วยคำอุปมาอย่างไร 4 : 31 ก็อุปมาเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่งเวลาเพาะลงในดินนั้นก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน 4 : 32 แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญโตใหญ่กว่าผักทั้งปวงและแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้" 4 : 33 พระองค์ได้ทรงกล่าวแก่เขาถึงข่าวนั้นเป็นคำอุปมาอย่างนั้นหลายประการตามที่เขาจะสามารถฟังและเข้าใจได้ 4 : 34 และนอกจากคำอุปมาพระองค์มิได้ตรัสแก่เขาเลยแต่เมื่อฝูงคนไปแล้วพระองค์จึงทรงอธิบายสิ่งสารพัดนั้นแก่เหล่าสาวก 4 : 35 เย็นวันนั้นพระองค์ได้ตรัสแก่เหล่าสาวกทั้งหลายว่า"ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด" 4 : 36 เมื่อลาประชาชนแล้วเขาจึงเชิญพระองค์เสด็จไปในเรือที่พระองค์ประทับอยู่นั้นและมีเรืออื่นหลายลำไปด้วย 4 : 37 และพายุใหญ่ได้บังเกิดขึ้นและคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือจวนจะเต็มอยู่แล้ว 4 : 38 ฝ่ายพระองค์บรรทมหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือเหล่าสาวกจึงมาปลุกพระองค์ทูลว่า"อาจารย์เจ้าข้าข้าพเจ้าทั้งหลายกำลังจะจมอยู่แล้วท่านไม่เป็นห่วงบ้างหรือ" 4 : 39 พระองค์จึงทรงตื่นขึ้นห้ามลมและตรัสแก่ทะเลว่า"จงสงบเงียบซิ"แล้วลมก็หยุดคลื่นก็สงบเงียบทั่วไป 4 : 40 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า"ทำไมเจ้ากลัวเจ้าไม่มีความเชื่อหรือ" 4 : 41 ฝ่ายเขาก็เกรงกลัวนักหนาและพูดกันและกันว่า"ท่านนี้เป็นผู้ใดหนอจนชั้นลมและทะเลก็เชื่อฟังท่าน" 5 : 1 ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกก็ข้ามทะเลไปยังแดนเมืองชาวเก–ราซา 5 : 2 พอพระองค์เสด็จขึ้นจากเรือมีคนหนึ่งออกจากอุโมงค์ฝังศพมีผีโสโครกสิงได้มาพบพระองค์ 5 : 3 คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและไม่มีผู้ใดจะผูกมัดตัวเขาอีกได้แม้จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็ไม่อยู่ 5 : 4 เพราะว่าได้ล่ามโซ่ใส่ตรวนหลายหนแล้วเขาก็หักโซ่และฟาดตรวนเสียไม่มีผู้ใดมีแรงพอที่จะทำให้เขาสงบได้ 5 : 5 เขาคลั่งร้องอึงอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและที่ภูเขาทั้งกลางคืนกลางวันเสมอและเอาหินเชือดเนื้อของตัว 5 : 6 ครั้นเขาเห็นพระเยซูแต่ไกลก็วิ่งเข้ามากราบไหว้พระองค์ 5 : 7 แล้วร้องเสียงดังว่า"ข้าแต่พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าสูงสุดพระองค์มายุ่งกับข้าพระองค์ทำไมข้าพระองค์ขอให้พระองค์สาบานในพระนามของพระเจ้าว่าจะไม่ทรมานข้าพระองค์" 5 : 8 ที่พูดเช่นนี้เพราะพระองค์ได้ตรัสแก่มันว่า"อ้ายผีโสโครกจงออกมาจากคนนั้นเถิด" 5 : 9 แล้วพระองค์ตรัสถามชายนั้นว่า"เอ็งชื่ออะไร"มันตอบว่า"ชื่อกองเพราะว่าพวกข้าพระองค์หลายตนด้วยกัน" 5 : 10 มันจึงอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมากมิให้ขับไล่มันออกจากแดนเมืองนั้น 5 : 11 มีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ไหล่เขาตำบลนั้น 5 : 12 ผีเหล่านั้นก็อ้อนวอนพระองค์ว่า"ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเข้าในสุกรเหล่านี้เถิด" 5 : 13 พระองค์ก็ทรงอนุญาตแล้วผีโสโครกนั้นจึงออกไปเข้าสิงอยู่ในสุกรสุกรทั้งฝูงประมาณสองพันตัวก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสำลักน้ำตาย 5 : 14 ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรนั้นต่างคนต่างหนีไปเล่าเรื่องทั้งในนครและบ้านนอกแล้วคนทั้งปวงก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น 5 : 15 เมื่อเขามาถึงพระเยซูก็เห็นคนที่ผีทั้งกองได้สิงนั้นนุ่งห่มผ้านั่งอยู่มีสติอารมณ์ดีเขาจึงเกรงกลัวนัก 5 : 16 แล้วคนที่ได้เห็นก็เล่าเหตุการณ์ซึ่งบังเกิดแก่คนที่ผีสิงนั้นและซึ่งบังเกิดแก่ฝูงสุกรให้เขาฟัง 5 : 17 คนทั้งหลายจึงพากันอ้อนวอนพระองค์ให้เสด็จไปเสียจากเขตแดนเมืองของเขา 5 : 18 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จลงเรือคนที่ผีได้สิงแต่ก่อนนั้นได้อ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไป 5 : 19 พระองค์ไม่ทรงอนุญาตแต่ตรัสแก่เขาว่า"จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้านแล้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงกระทำแก่เจ้าและได้ทรงพระเมตตาแก่เจ้าแล้ว" 5 : 20 ฝ่ายคนนั้นก็ทูลลาแล้วเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ที่พระเยซูได้ทรงกระทำเพื่อตัวและคนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก 5 : 21 ครั้นพระเยซูเสด็จลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้วมีคนเป็นอันมากมาหาพระองค์และพระองค์ยังประทับที่ฝั่งทะเล 5 : 22 มีนายธรรมศาลาคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินมาและเมื่อเขาเห็นพระเยซูก็กราบลงที่พระบาทของพระองค์ 5 : 23 แล้วทูลอ้อนวอนพระองค์ว่า"ลูกสาวเล็กๆของข้าพระองค์เจ็บเกือบจะตายแล้วขอเชิญพระองค์ไปวางพระหัตถ์บนเขาเพื่อเขาจะได้หายโรคและไม่ตาย" 5 : 24 ฝ่ายพระองค์ได้เสด็จไปกับคนนั้นมีคนเป็นอันมากตามไปและเบียดเสียดพระองค์ 5 : 25 มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกโลหิตได้สิบสองปีมาแล้ว 5 : 26 ได้ทนทุกข์ลำบากมามากมีหมอหลายคนมารักษาและได้เสียทรัพย์จนหมดสิ้นโรคนั้นก็มิได้บรรเทาแต่ยิ่งกำเริบขึ้น 5 : 27 ครั้นผู้หญิงนั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซูเขาก็เดินปะปนกับประชาชนที่เบียดเสียดข้างหลังพระองค์และได้ถูกต้องฉลองพระองค์ 5 : 28 เพราะคิดว่า"ถ้าเราได้แตะต้องแต่ฉลองพระองค์เราก็จะหายโรค" 5 : 29 ในทันใดนั้นโลหิตที่ตกก็หยุดแห้งไปและผู้หญิงนั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว 5 : 30 บัดเดี๋ยวนั้นพระเยซูทรงรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์แล้วจึงเหลียวหลังตรัสว่า"ใครถูกต้องเสื้อของเรา" 5 : 31 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ทูลว่า"พระองค์ทรงเห็นแล้วว่าประชาชนกำลังเบียดเสียดพระองค์และพระองค์ยังจะทรงถามอีกหรือว่าใครถูกต้องเรา" 5 : 32 แล้วพระเยซูทอดพระเนตรดูรอบประสงค์จะเห็นผู้หญิงที่ได้กระทำสิ่งนั้น 5 : 33 ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่นเพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้นจึงมากราบลงทูลแก่พระองค์ตามจริงทั้งสิ้น 5 : 34 พระองค์จึงตรัสแก่ผู้หญิงนั้นว่า"ลูกหญิงเอ๋ยที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อจงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด" 5 : 35 เมื่อพระองค์ยังตรัสไม่ทันขาดคำมีบางคนได้มาจากบ้านนายธรรมศาลาบอกว่า"ลูกสาวของท่านตายเสียแล้วยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า" 5 : 36 ฝ่ายพระเยซูไม่ทรงฟังซึ่งเขาว่านั้นจึงตรัสแก่นายธรรมศาลาว่า"อย่าวิตกเลยจงเชื่อเท่านั้นเถิด" 5 : 37 พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ผู้ใดไปด้วยเว้นแต่เปโตรยากอบและยอห์นน้องชายของยากอบ 5 : 38 ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงเรือนนายธรรมศาลาแล้วก็เห็นคนวุ่นวายร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก 5 : 39 และเมื่อพระองค์เสด็จเข้าไปแล้วจึงตรัสถามเขาว่า"ท่านทั้งหลายพากันร้องไห้วุ่นวายไปทำไมเด็กนั้นไม่ตายแต่นอนหลับอยู่" 5 : 40 เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์แต่เมื่อพระองค์ขับคนทั้งหลายออกไปแล้วจึงนำบิดามารดาและสาวกสามคนที่ตามพระองค์มานั้นเข้าไปในที่ที่เด็กหญิงอยู่ 5 : 41 พระองค์จึงจับมือเด็กหญิงนั้นตรัสว่า"ทาลิธาคูมิ"แปลว่า"เด็กหญิงเอ๋ยเราว่าแก่เจ้าว่าจงลุกขึ้นเถิด" 5 : 42 ในทันใดนั้นเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นเดินเพราะว่าเด็กนั้นอายุได้สิบสองปีในทันใดนั้นคนทั้งปวงก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง 5 : 43 พระองค์ก็กำชับห้ามเขาแข็งแรงไม่ให้บอกผู้ใดให้รู้เหตุการณ์นี้แล้วจึงสั่งเขาให้นำอาหารมาให้เด็กนั้นรับประทาน 6 : 1 ฝ่ายพระเยซูได้เสด็จจากที่นั่นไปยังตำบลบ้านของพระองค์และเหล่าสาวกก็ตามพระองค์ไป 6 : 2 พอถึงวันสะบาโตพระองค์ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาและคนเป็นอันมากที่ได้ยินพระองค์ก็ประหลาดใจนักพูดกันว่า"คนนี้ได้ความคิดนี้มาจากไหนสติปัญญาที่ได้ประทานแก่คนนี้เป็นปัญญาอย่างใดการมหัศจรรย์อย่างนี้สำเร็จได้ด้วยมือของเขาเองหนอ 6 : 3 คนนี้เป็นช่างไม้บุตรนางมารีย์มิใช่หรือยากอบโยเสสยูดาสและซีโมนเป็นน้องชายมิใช่หรือและน้องสาวก็อยู่ที่นี่กับเรามิใช่หรือ"เขาทั้งหลายจึงหมางใจในพระองค์ 6 : 4 ฝ่ายพระเยซูตรัสกับเขาว่า"ผู้เผยพระวจนะจะไม่ขาดความนับถือเว้นแต่ในเมืองของตนท่ามกลางญาติพี่น้องของตนและในวงศ์วานของตน" 6 : 5 พระองค์จะกระทำการมหัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้เว้นแต่ได้วางพระหัตถ์ถูกต้องคนเจ็บบางคนให้หายโรค 6 : 6 พระองค์ก็ประหลาดพระทัยเพราะเขาไม่มีความเชื่อแล้วพระองค์จึงเสด็จไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ 6 : 7 พระองค์ทรงเรียกสาวกสิบสองคนมาแล้วทรงใช้เขาให้ออกไปเป็นคู่ๆทรงประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ 6 : 8 และตรัสกำชับเขาไม่ให้เอาอะไรไปใช้ตามทางเว้นแต่ไม้เท้าสิ่งเดียวห้ามมิให้เอาอาหารหรือย่ามหรือหาสตางค์ใส่ไถ้ไป 6 : 9 แต่ให้สวมรองเท้าและไม่ให้สวมเสื้อสองตัว 6 : 10 แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า"ถ้าไปแห่งใดเมื่อเข้าอาศัยในเรือนไหนก็อาศัยในเรือนนั้นจนกว่าจะไปจากที่นั่น 6 : 11 และถ้าแห่งไหนไม่ต้อนรับไม่ฟังท่านทั้งหลายเมื่อจะไปจากที่นั่นจงสะบัดผงคลีใต้ฝ่าเท้าของท่านออกส่อให้เห็นความผิดของเขา" 6 : 12 ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปเทศนาประกาศให้กลับใจเสียใหม่ 6 : 13 เขาได้ขับผีให้ออกเสียหลายผีและได้เอาน้ำมันทาคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค 6 : 14 ฝ่ายกษัตริย์เฮโรดทรงทราบเรื่องของพระองค์เพราะว่าพระนามของพระเยซูได้เลื่องลือไปบางคนพูดว่า"ยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วเหตุฉะนั้นจึงทำการมหัศจรรย์ได้" 6 : 15 แต่คนอื่นว่าเป็นเอลียาห์และคนอื่นๆว่าเป็นผู้เผยพระวจนะเหมือนคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะโบราณ 6 : 16 ฝ่ายเฮโรดเมื่อทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า"คือยอห์นนั้นเองที่เราได้ตัดศีรษะเสียท่านได้เป็นขึ้นมาจากความตาย" 6 : 17 ด้วยว่าเฮโรดได้ใช้คนไปจับยอห์นล่ามโซ่ขังคุกไว้เพราะเห็นแก่นางเฮโรเดียสภรรยาฟีลิปน้องชายของตนด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นภรรยาของตน 6 : 18 เพราะยอห์นได้เคยทูลเฮโรดว่า"ท่านไม่มีสิทธิ์รับภรรยาของน้องมาเป็นภรรยาของตน" 6 : 19 นางเฮโรเดียสจึงผูกพยาบาทยอห์นและปรารถนาจะฆ่าเสียแต่ฆ่าไม่ได้ 6 : 20 เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นด้วยรู้ว่าท่านเป็นคนชอบธรรมและบริสุทธิ์เฮโรดจึงได้ป้องกันไว้เมื่อเฮโรดได้ยินคำสั่งสอนของท่านก็ให้ฉงนสนเท่ห์นักแต่ก็ยังยินดีอยากฟัง 6 : 21 ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดีคือเป็นวันฉลองวันกำเนิดของเฮโรดเฮโรดได้จัดการเลี้ยงขุนนางกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่และคนสำคัญๆทั้งปวงในแคว้นกาลิลี 6 : 22 เมื่อบุตรีของนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำทำให้กษัตริย์เฮโรดและแขกทั้งปวงชอบใจกษัตริย์จึงตรัสกับหญิงสาวนั้นว่า"เธอจะขอสิ่งใดก็จะให้สิ่งนั้น" 6 : 23 และกษัตริย์จึงทรงปฏิญาณตัวไว้ว่า"เธอจะขอสิ่งใดๆเราจะให้สิ่งนั้นจนถึงกึ่งราชสมบัติ" 6 : 24 หญิงสาวนั้นจึงออกไปถามมารดาว่า"ฉันจะขอสิ่งใดดี"มารดาจึงตอบว่า"จงขอศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาเถิด" 6 : 25 ในทันใดนั้นหญิงสาวก็รีบเข้าไปเฝ้ากษัตริย์ทูลว่า"หม่อมฉันขอศีรษะยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เพคะ" 6 : 26 กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์นักแต่เพราะเหตุได้ทรงปฏิญาณไว้และเพราะเห็นแก่หน้าแขกก็ขัดไม่ได้ 6 : 27 ในขณะนั้นกษัตริย์จึงรับสั่งเพชฌฆาตให้ไปตัดศีรษะยอห์นมาเพชฌฆาตก็ไปตัดศีรษะยอห์นในคุก 6 : 28 ใส่ถาดมาให้แก่หญิงสาวนั้นหญิงสาวนั้นก็เอาไปให้แก่มารดาของตน 6 : 29 เมื่อศิษย์ของยอห์นรู้เหตุแล้วก็พากันมารับเอาศพของท่านไปฝังไว้ในอุโมงค์ 6 : 30 ฝ่ายอัครทูตพากันมาหาพระเยซูและได้ทูลถึงบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำและได้สั่งสอน 6 : 31 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า"ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยวหยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง"เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมากจนไม่มีเวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ 6 : 32 พระองค์จึงเสด็จลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง 6 : 33 คนเป็นอันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไปและจำได้จึงพากันวิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึงก่อน 6 : 34 ครั้นพระเยซูเสด็จขึ้นจากเรือแล้วก็ทรงเห็นประชาชนหมู่ใหญ่และพระองค์ทรงสงสารเขาเพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยงพระองค์จึงทรงสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ 6 : 35 เมื่อเวลาล่วงไปเกือบจะค่ำแล้วพวกสาวกมาทูลพระองค์ว่า"ที่นี่กันดารอาหารนักและบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว 6 : 36 ขอพระองค์ทรงให้ประชาชนไปเสียเถิดเพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามบ้านไร่บ้านนาที่อยู่แถบนี้" 6 : 37 แต่พระองค์ตรัสตอบแก่เหล่าสาวกว่า"พวกท่านจงเลี้ยงเขาเถิด"เขาทูลพระองค์ว่า"จะให้พวกข้าพระองค์ไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญเดนาริอันให้เขารับประทานหรือ" 6 : 38 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า"พวกท่านมีขนมปังอยู่กี่ก้อนไปดูซิ"เมื่อรู้แล้วเขาจึงทูลว่า"มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว" 6 : 39 พระองค์จึงตรัสสั่งคนทั้งปวงให้นั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ๆ 6 : 40 ประชาชนก็ได้นั่งรวมกันเป็นหมู่ๆหมู่ละร้อยคนบ้างห้าสิบบ้าง 6 : 41 เมื่อพระองค์ทรงรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้วก็แหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ถวายคำสาธุการแล้วหักขนมปังนั้นให้เหล่าสาวกให้เขาแจกแก่คนทั้งปวงและปลาสองตัวนั้นพระองค์ทรงแบ่งให้ทั่วกันด้วย 6 : 42 เขาได้กินอิ่มทุกคน 6 : 43 ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้นเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม 6 : 44 และในจำนวนคนที่ได้รับประทานขนมปังนั้นมีผู้ชายห้าพันคน 6 : 45 ครั้นแล้วพระองค์ได้ตรัสให้เหล่าสาวกของพระองค์ลงเรือข้ามไปยังเมืองเบธไซดาก่อนส่วนพระองค์ทรงรอส่งประชาชนกลับบ้าน 6 : 46 เมื่อพระองค์ทรงลาเขาทั้งหลายแล้วก็เสด็จขึ้นภูเขาเพื่ออธิษฐานที่นั่น 6 : 47 เมื่อค่ำลงแล้วเรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเลส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งแต่ผู้เดียว 6 : 48 แล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ครั้นเวลาสามยามเศษพระองค์จึงทรงดำเนินบนน้ำทะเลไปยังเหล่าสาวกและพระองค์ทรงดำเนินดังจะเลยเขาไป 6 : 49 เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์ทรงดำเนินบนทะเลเขาสำคัญว่าผีแล้วพากันร้องอึงไป 6 : 50 เพราะว่าทุกคนเห็นแล้วก็กลัวแต่ในทันใดนั้นพระองค์ทรงออกพระโอษฐ์ตรัสแก่เขาว่า"ทำใจให้ดีไว้เถิดเราเองอย่ากลัวเลย" 6 : 51 พระองค์จึงเสด็จขึ้นไปหาเขาบนเรือแล้วลมก็เงียบลง 6 : 52 เหล่าสาวกก็ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณเพราะว่าเรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจแต่ใจเขายังมืดมัวอยู่ 6 : 53 ครั้นข้ามฟากไปแล้วเขาจอดเรือที่แขวงเยนเนซาเรท 6 : 54 เมื่อขึ้นจากเรือแล้วคนทั้งปวงก็จำพระองค์ได้ทันที 6 : 55 และเขารีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบเอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังตำบลที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์อยู่นั้น 6 : 56 แล้วพระองค์เสด็จไปที่ไหนๆไม่ว่าในหมู่บ้านในตำบลหรือในเมืองเขาก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางตามตลาดทูลขอพระองค์โปรดให้คนเจ็บป่วยแตะต้องแต่ชายฉลองพระองค์และผู้ใดได้แตะต้องแล้วก็หายป่วยทุกคน 7 : 1 ครั้งนั้นพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคนซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็มพากันมาหาพระองค์ 7 : 2 เขาได้เห็นเหล่าสาวกบางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทินคือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน 7 : 3 (เพราะว่าพวกฟาริสีกับพวกยิวทั้งสิ้นถือตามคำที่บรรพบุรุษสอนต่อๆกันมานั้นว่าถ้ามิได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัดเขาก็ไม่รับประทานอาหารเลย 7 : 4 และเมื่อเขามาจากตลาดถ้ามิได้ทำพิธีชำระตัวก่อนเขาก็ไม่รับประทานอาหารและธรรมเนียมอื่นๆอีกหลายอย่างเขาก็ถือคือล้างถ้วยเหยือกและภาชนะทองสัมฤทธิ์) 7 : 5 พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า"ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษแต่รับประทานอาหารด้วยมือเป็นมลทิน" 7 : 6 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า"อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดก็ถูกตามที่ได้เขียนไว้ว่าประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปากใจของเขาห่างไกลจากเรา 7 : 7 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า 7 : 8 เจ้าทั้งหลายละธรรมบัญญัติของพระเจ้าและกลับไปถือตามถ้อยคำของมนุษย์ที่เขาสอนต่อๆกันมานั้น" 7 : 9 พระองค์ตรัสแก่เขาว่า"เหมาะจริงนะที่เจ้าทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้าเพื่อจะได้ถือตามคำสอนที่ตนรับมาจากบรรพบุรุษ 7 : 10 เพราะโมเสสได้สั่งไว้ว่าจงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้าและผู้ใดประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย 7 : 11 แต่พวกเจ้ากลับสอนว่าผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า"สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่านสิ่งนั้นเป็นโกระบาน"(แปลว่าเป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว) 7 : 12 เจ้าทั้งหลายจึงไม่อนุญาตให้ผู้นั้นทำสิ่งใดต่อไปเป็นที่ช่วยบำรุงบิดามารดาของตน 7 : 13 เจ้าทั้งหลายจึงทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นหมันไปด้วยคำสอนที่พวกเจ้ารับมาจากบรรพบุรุษและสอนต่อๆกันไปและสิ่งอื่นๆเช่นนี้อีกหลายสิ่งเจ้าทั้งหลายก็ทำอยู่" 7 : 14 แล้วพระองค์ทรงเรียกประชาชนอีกตรัสกับเขาว่า"ท่านทั้งหลายจงฟังเราและเข้าใจเถิด 7 : 15 ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้แต่สิ่งซึ่งออกมาจากภายในมนุษย์สิ่งนั้นแหละกระทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 7 : 16 ใครมีหูฟังได้จงฟังเถิด"] 7 : 17 ครั้นพระองค์ได้เสด็จเข้าไปในเรือนพ้นประชาชนแล้วเหล่าสาวกก็ได้ทูลถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น 7 : 18 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า"ถึงท่านทั้งหลายก็ยังไม่เข้าใจหรือท่านยังไม่เห็นหรือว่าสิ่งใดๆแต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้ 7 : 19 เพราะว่าสิ่งนั้นมิได้เข้าในใจแต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป"(ที่ทรงสอนอย่างนี้ก็เป็นการประกาศว่าอาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน) 7 : 20 พระองค์ตรัสว่า"สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 7 : 21 เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์มีความคิดชั่วร้ายการล่วงประเวณีการลักขโมยการฆ่าคนการผิดผัวผิดเมีย 7 : 22 การโลภความอธรรมการล่อลวงเขาราคะตัณหาอิจฉาตาร้อนการใส่ร้ายความเย่อหยิ่งความบัดซบ 7 : 23 สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน" 7 : 24 พระองค์จึงทรงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอนแล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่งประสงค์จะมิให้ผู้ใดรู้แต่พระองค์จะทรงซ่อนอยู่มิได้ 7 : 25 เพราะทันใดนั้นผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวที่ผีโสโครกสิงเมื่อได้ยินข่าวถึงพระองค์ก็มากราบที่พระบาทของพระองค์ 7 : 26 ผู้หญิงนั้นมีเชื้อชาติซีเรียฟีนิเซียพูดภาษากรีกแล้วนางทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้ขับผีออกจากลูกสาวของตน 7 : 27 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่นางนั้นว่า"ให้พวกลูกกินอิ่มเสียก่อนเพราะว่าซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร" 7 : 28 แต่นางทูลตอบว่า"จริงเจ้าข้าแต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก" 7 : 29 แล้วพระองค์ตรัสแก่นางว่า"เพราะเหตุถ้อยคำนี้จงกลับไปเถิดผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว" 7 : 30 ฝ่ายหญิงนั้นเมื่อไปยังเรือนของตนได้เห็นลูกนอนอยู่บนที่นอนและทราบว่าผีออกแล้ว 7 : 31 ต่อมาพระองค์จึงเสด็จจากเขตแดนเมืองไทระและผ่านเมืองไซดอนดำเนินตามทางแคว้นทศบุรีมายังทะเลสาบกาลิลี 7 : 32 เขาพาชายหูหนวกพูดติดอ่างคนหนึ่งมาหาพระองค์แล้วทูลขอพระองค์ให้ทรงวางพระหัตถ์บนคนนั้น 7 : 33 พระองค์จึงทรงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหากทรงเอานิ้วพระหัตถ์ยอนเข้าที่หูของชายผู้นั้นและทรงบ้วนน้ำลายเอานิ้วพระหัตถ์จิ้มแตะลิ้นคนนั้น 7 : 34 แล้วพระองค์ทรงแหงนพระพักตร์ดูฟ้าสวรรค์ทรงถอนพระทัยตรัสแก่คนนั้นว่า"เอฟฟาธา"แปลว่า"จงเปิดออก" 7 : 35 แล้วหูคนนั้นก็ปกติสิ่งที่ขัดลิ้นนั้นก็หลุดและเขาพูดได้ชัด 7 : 36 พระองค์ทรงห้ามปรามคนทั้งหลายมิให้แจ้งความนี้แก่ผู้ใดเลยแต่พระองค์ยิ่งทรงห้ามปรามเขาก็ยิ่งเล่าลือไปมาก 7 : 37 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจเหลือเกินพูดกันว่า"พระองค์ทรงกระทำล้วนแต่ดีทั้งนั้นทรงกระทำคนหูหนวกให้ได้ยินคนใบ้ให้พูดได้" 8 : 1 คราวนั้นเมื่อประชาชนพากันมามากมายอีกก็ไม่มีอาหารกินพระเยซูจึงทรงเรียกเหล่าสาวกตรัสแก่เขาว่า 8 : 2 "เราสงสารคนเหล่านี้เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้วและไม่มีอาหารจะกิน 8 : 3 ถ้าเราจะให้เขากลับไปบ้านเมื่อยังอดอาหารอยู่เขาจะหิวโหยสิ้นแรงลงตามทางเพราะว่าบางคนมาไกล" 8 : 4 เหล่าสาวกจึงทูลตอบพระองค์ว่า"ในถิ่นทุรกันดารนี้จะหาอาหารให้เขากินอิ่มได้ที่ไหน" 8 : 5 พระองค์ตรัสถามเขาว่า"พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน"เขาทูลว่า"มีเจ็ดก้อนเจ้าข้า" 8 : 6 พระองค์จึงตรัสสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดินแล้วทรงรับขนมปังเจ็ดก้อนนั้นมาโมทนาพระคุณแล้วจึงทรงหักส่งให้เหล่าสาวกให้เขาแจกเหล่าสาวกจึงแจกให้ประชาชน 8 : 7 และเขามีปลาเล็กๆอยู่บ้างพระองค์จึงถวายคำสาธุการแล้วสั่งเหล่าสาวกให้เอาปลานั้นแจกด้วย 8 : 8 คนทั้งปวงได้รับประทานจนอิ่มและเศษอาหารที่เหลือนั้นเขาเก็บได้เจ็ดตะกร้า 8 : 9 คนที่รับประทานนั้นประมาณสี่พันแล้วพระองค์ตรัสสั่งให้เขาไป 8 : 10 ในทันใดนั้นพระองค์ก็เสด็จลงเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์มาถึงเขตเมืองดาลมานูธา 8 : 11 พวกฟาริสีออกมาและเริ่มโต้เถียงกับพระองค์ขอพระองค์สำแดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์หมายจะทดลองพระองค์ 8 : 12 พระองค์ทรงถอนพระทัยแล้วตรัสว่า"คนยุคนี้แสวงหาหมายสำคัญทำไมเราว่าแก่เจ้าทั้งหลายจริงๆว่าจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่คนยุคนี้" 8 : 13 แล้วพระองค์เสด็จไปจากเขาและลงเรือข้ามฟากไปอีก 8 : 14 ฝ่ายเหล่าสาวกลืมเอาขนมปังไปและในเรือเขามีขนมปังอยู่ก้อนเดียวเท่านั้น 8 : 15 พระองค์ทรงกำชับเหล่าสาวกว่า"จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสีและเชื้อแห่งเฮโรดให้ดี" 8 : 16 เหล่าสาวกจึงพูดกันว่า"เพราะเหตุที่เราไม่มีขนมปัง" 8 : 17 เมื่อพระเยซูทรงทราบจึงตรัสแก่เขาว่า"เหตุไฉนพวกท่านจึงพูดกันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปังท่านยังไม่รู้และไม่เข้าใจหรือใจของท่านมืดมัวหรือ 8 : 18 มีตาแล้วยังไม่เห็นหรือมีหูแล้วยังไม่ได้ยินหรือท่านทั้งหลายจำไม่ได้หรือ 8 : 19 เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้แก่คนห้าพันคนนั้นท่านทั้งหลายเก็บเศษที่เหลือนั้นได้กี่กระบุง"เขาทูลตอบว่า"ได้สิบสองกระบุง" 8 : 20 "เมื่อเราแจกขนมปังเจ็ดก้อนให้แก่คนสี่พันคนนั้นท่านทั้งหลายเก็บเศษที่เหลือได้กี่ตะกร้า"เขาทูลตอบว่า"ได้เจ็ดตะกร้า" 8 : 21 พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า"พวกท่านยังไม่เข้าใจหรือ" 8 : 22 พระองค์กับสาวกจึงไปยังเมืองเบธไซดาเขาพาคนตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์ทูลอ้อนวอนขอพระองค์ให้โปรดถูกต้องคนนั้น 8 : 23 พระองค์ได้ทรงจูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้านเมื่อได้ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ตาคนนั้นและวางพระหัตถ์บนเขาแล้วพระองค์จึงตรัสถามว่า"เจ้าเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่" 8 : 24 คนนั้นเงยหน้าดูแล้วทูลว่า"ข้าพระองค์แลเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา" 8 : 25 พระองค์จึงวางพระหัตถ์บนตาเขาอีกแล้วเขาก็เพ่งดูและตาก็หายเป็นปกติแลเห็นสิ่งทั้งหลายได้ชัด 8 : 26 พระองค์จึงตรัสสั่งคนนั้นให้กลับตรงไปยังบ้านของตนแล้วกำชับว่า"อย่าเข้าไปในหมู่บ้านนั้น" 8 : 27 พระเยซูได้เสด็จกับเหล่าสาวกออกไปยังหมู่บ้านแขวงซีซารียาฟีลิปปีเมื่ออยู่ตามทางนั้นพระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกว่า"คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด" 8 : 28 เขาทูลตอบพระองค์ว่า"เขาว่าเป็นยอห์นผู้ให้รับบัพติศมาแต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์และบางคนว่าเป็นคนหนึ่งในพวกผู้เผยพระวจนะ" 8 : 29 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า"ฝ่ายพวกท่านเล่าว่าเราเป็นใคร"เปโตรทูลตอบว่า"พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์" 8 : 30 แล้วพระองค์ทรงกำชับห้ามเหล่าสาวกไม่ให้เขาบอกผู้ใดให้รู้ 8 : 31 ตั้งแต่เวลานั้นมาพระองค์กล่าวสอนสาวกว่าบุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการพวกผู้ใหญ่พวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์จะไม่ยอมรับพระองค์ในที่สุดพระองค์จะต้องถึงถูกประหารชีวิตแต่ในวันที่สามพระองค์จะทรงเป็นขึ้นมาใหม่ 8 : 32 คำเหล่านี้พระองค์ตรัสโดยเปิดเผยฝ่ายเปโตรเอามือจับพระองค์แล้วก็ทูลท้วง 8 : 33 พระองค์จึงทรงหันพระพักตร์ดูเหล่าสาวกแล้วติเปโตรว่า"อ้ายซาตานจงไปให้พ้นเพราะเจ้าคิดอย่างคนมิได้คิดอย่างพระเจ้า" 8 : 34 พระองค์จึงทรงร้องเรียกประชาชนกับเหล่าสาวกให้เข้ามาแล้วตรัสแก่เขาว่า"ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามาให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเองและรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 8 : 35 เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอดผู้นั้นจะเสียชีวิตแต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด 8 : 36 เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลกแต่ต้องเสียชีวิตของตนผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร 8 : 37 เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาชีวิตของตนกลับคืนมา 8 : 38 ด้วยว่าถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเราในชั่วชีวิตนี้ซึ่งประกอบด้วยการชั่วคิดคดทรยศบุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้นในเวลาเมื่อพระองค์จะเสด็จมาด้วยพระสิริแห่งพระบิดาและด้วยเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์" 9 : 1 พระองค์ยังตรัสแก่เขาว่า"เรากล่าวความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่มีบางคนที่ยังจะไม่รู้รสความตายจนกว่าจะได้เห็นแผ่นดินของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ" 9 : 2 ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้วพระเยซูทรงพาเปโตรยากอบและยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพังแล้วพระกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา 9 : 3 และฉลองพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับจะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้ 9 : 4 แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้นและเฝ้าสนทนากับพระเยซู 9 : 5 ฝ่ายเปโตรทูลพระเยซูว่า"พระอาจารย์เจ้าข้าซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดีให้พวกข้าพระองค์ทำเพิงสามหลังสำหรับพระองค์หลังหนึ่งสำหรับโมเสสหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง" 9 : 6 ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไรด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก 9 : 7 แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้และมีพระสุรเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า"ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเราจงเชื่อฟังท่านเถิด" 9 : 8 ทันใดนั้นเมื่อสาวกแลดูรอบก็ไม่เห็นผู้ใดเห็นแต่พระเยซูทรงอยู่กับเขา 9 : 9 เมื่อลงมาจากภูเขาพระองค์ตรัสห้ามเหล่าสาวกไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลยจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย 9 : 10 เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้แต่ซักถามกันว่าที่ตรัสว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นจะหมายความว่าอย่างไร 9 : 11 เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า"เหตุไฉนพวกธรรมาจารย์จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน" 9 : 12 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า"เอลียาห์ต้องมาก่อนจริงและทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิมอนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่าพระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการและคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย 9 : 13 แต่เราบอกแก่ท่านทั้งหลายว่าเอลียาห์นั้นได้มาแล้วและซึ่งเขาใคร่ทำแก่ท่านอย่างไรเขาก็ได้กระทำแล้วตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงท่าน" 9 : 14 เมื่อพระองค์ได้เสด็จมายังเหล่าสาวกก็เห็นประชาชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขาและพวกธรรมาจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่ 9 : 15 ในทันใดนั้นเมื่อประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนักจึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ 9 : 16 พระองค์จึงตรัสถามเขาทั้งหลายว่า"ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด" 9 : 17 มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนทูลตอบพระองค์ว่า"อาจารย์เจ้าข้าข้าพเจ้าได้พาบุตรชายของข้าพเจ้ามาหาท่านเพราะผีใบ้เข้าสิง 9 : 18 เด็กจะอยู่ที่ไหนๆพอผีสำแดงมันก็ทำให้ล้มชักดิ้นไปมีอาการน้ำลายฟูมปากและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วตัวแข็งข้าพเจ้าได้ขอเหล่าสาวกของท่านให้ขับผีนั้นออกเสียแต่เขาขับให้ออกไม่ได้" 9 : 19 พระองค์จึงตรัสแก่คนนั้นว่า"โอคนในยุคที่ขาดความเชื่อเราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใดเราจะต้องอดทนเพราะเจ้าไปถึงไหนจงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด" 9 : 20 เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์และเมื่อเห็นพระองค์แล้วในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชักล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดินมีน้ำลายฟูมปาก 9 : 21 พระองค์จึงตรัสถามบิดานั้นว่า"เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร"บิดาทูลตอบว่า"ตั้งแต่เป็นเด็กเล็กๆมา 9 : 22 และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟและในน้ำบ่อยๆหมายจะฆ่าเสียให้ตายแต่ถ้าท่านสามารถช่วยได้ขอท่านโปรดกรุณาเถิด" 9 : 23 พระเยซูจึงตรัสแก่บิดานั้นว่า"ถ้าช่วยได้น่ะหรือใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง" 9 : 24 ในทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องทูลว่า"ข้าพเจ้าเชื่อที่ข้าพเจ้ายังขาดความเชื่อนั้นขอโปรดช่วยให้เชื่อเถิด" 9 : 25 เมื่อพระเยซูทรงเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามาพระองค์ตรัสสำทับผีโสโครกนั้นว่า"อ้ายผีใบ้หูหนวกเราสั่งเอ็งให้ออกจากเขาอย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย" 9 : 26 ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมากแล้วก็ออกมาเด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตายจนคนส่วนมากที่นั่นกล่าวว่า"เขาตายแล้ว" 9 : 27 แต่พระเยซูทรงจับมือพยุงเด็กนั้นเด็กนั้นก็ยืนขึ้น 9 : 28 เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในเรือนแล้วเหล่าสาวกมาทูลถามพระองค์เป็นส่วนตัวว่า"เหตุไฉนพวกข้าพระองค์ขับผีนั้นออกไม่ได้" 9 : 29 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า"ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลยเว้นแต่โดยการอธิษฐานเท่านั้น" 9 : 30 พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่นดำเนินไปในแคว้นกาลิลีแต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ผู้ใดรู้ 9 : 31 ด้วยว่าตอนนี้พระองค์ตรัสพร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า"บุตรมนุษย์จะต้องถูกอายัดไว้ในมือของคนและเขาจะประหารชีวิตท่านเสียเมื่อฆ่าแล้วในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่" 9 : 32 แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกหาเข้าใจไม่ครั้นจะทูลถามพระองค์ก็เกรงใจ 9 : 33 พระองค์จึงเสด็จมายังเมืองคาเปอรนาอุมและเมื่อเข้าไปในเรือนแล้วพระองค์ตรัสถามเหล่าสาวกว่า"เมื่อมาตามทางนั้นท่านทั้งหลายได้โต้แย้งกันด้วยข้อความอันใด" 9 : 34 เหล่าสาวกก็นิ่งอยู่เพราะเมื่อมาตามทางนั้นเขาได้เถียงกันว่าคนไหนจะเป็นใหญ่กว่ากัน 9 : 35 พระเยซูได้ประทับนั่งแล้วทรงเรียกสาวกสิบสองคนนั้นมาตรัสแก่เขาว่า"ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นคนต้นก็ให้ผู้นั้นเป็นคนสุดท้ายและเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง" 9 : 36 พระองค์จึงทรงเอาเด็กเล็กๆคนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเหล่าสาวกแล้วทรงอุ้มเด็กนั้นไว้ตรัสแก่เหล่าสาวกว่า 9 : 37 "ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเราผู้นั้นก็รับเราและผู้ใดได้รับเราผู้นั้นก็รับมิใช่แต่เราผู้เดียวแต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย" 9 : 38 ยอห์นจึงทูลพระองค์ว่า"พระอาจารย์เจ้าข้าพวกข้าพระองค์ได้เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยพระนามของพระองค์และพวกข้าพระองค์ได้ห้ามเขาเพราะเขามิได้ตามเรามา" 9 : 39 พระเยซูจึงตรัสว่า"อย่าห้ามเขาเลยเพราะว่าไม่มีผู้ใดจะกระทำมหกิจในนามของเราแล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งอาจกลับพูดประณามเรา 9 : 40 เพราะผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้เราผู้นั้นเป็นฝ่ายเราแล้ว 9 : 41 เพราะเราบอกความจริงแก่ท่านว่าผู้ใดจะเอาน้ำถ้วยหนึ่งให้พวกท่านดื่มเพราะท่านทั้งหลายเป็นฝ่ายพระคริสต์ผู้นั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้ 9 : 42 "แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่วางใจในเราให้หลงผิดถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียในทะเลก็ดีกว่า 9 : 43 ถ้ามือของท่านทำให้หลงผิดจงตัดทิ้งเสียซึ่งจะเข้าในชีวิตด้วยมือด้วนยังดีกว่ามีสองมือและต้องถูกทิ้งในนรกในไฟที่ไม่รู้ดับ 9 : 44 และ 9 : 45 ถ้าเท้าของท่านทำให้หลงผิดจงตัดทิ้งเสียซึ่งจะเข้าในชีวิตด้วยเท้าด้วนยังดีกว่ามีเท้าสองเท้าและต้องถูกทิ้งในนรก

9 : 47 ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิดจงควักออกทิ้งเสียซึ่งจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตาและต้องถูกทิ้งไปในนรก 9 : 48 ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตายและไฟก็ไม่ดับเลย 9 : 49 ด้วยว่าคนทั้งปวงจะต้องถูกเคล้าเกลือแล้วชำระด้วยไฟ 9 : 50 เกลือเป็นของดีแต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้วจะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ท่านทั้งหลายจงมีเกลือในตัวและจงอยู่สงบสุขสามัคคีซึ่งกันและกัน" 10 : 1 ฝ่ายพระเยซูได้ทรงลุกขึ้นเสด็จจากที่นั่นเข้าในเขตแดนแคว้นยูเดียและเสด็จไปแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกและประชาชนพากันมาหาพระองค์อีกพระองค์จึงตรัสสั่งสอนเขาตามที่พระองค์ทรงเคยสอนนั้น 10 : 2 พวกฟาริสีมาทดลองพระองค์ทูลถามว่า"ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่" 10 : 3 พระองค์ตรัสถามเขาว่า"โมเสสได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร" 10 : 4 เขาทูลตอบว่า"โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยาแล้วก็หย่าให้" 10 : 5 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า"โมเสสได้เขียนบัญญัติข้อนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าดื้อดึง 10 : 6 แต่ตั้งแต่เดิมสร้างโลกพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง 10 : 7 เพราะเหตุนั้นบุรุษจึงต้องละบิดามารดาของตนไปผูกพันอยู่กับภรรยา 10 : 8 และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกันเขาจึงไม่เป็นสองต่อไปแต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน 10 : 9 เหตุฉะนั้นซึ่งพระเจ้าได้ทรงผูกพันกันแล้วอย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย" 10 : 10 เมื่อเข้าไปในเรือนแล้วเหล่าสาวกทูลถามพระองค์อีกถึงเรื่องนั้น 10 : 11 พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า"ถ้าผู้ใดหย่าภรรยาของตนแล้วไปมีภรรยาใหม่ผู้นั้นก็ได้ผิดประเวณีต่อภรรยาเดิม 10 : 12 และถ้าหญิงเองจะหย่าสามีของตนแล้วไปมีสามีใหม่หญิงนั้นก็ผิดประเวณีเหมือนกัน" 10 : 13 ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กๆมาหาพระองค์เพื่อจะให้พระองค์ทรงถูกต้องตัวเด็กนั้นแต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามไว้ 10 : 14 เมื่อพระเยซูทรงเห็นดังนั้นก็ไม่พอพระทัยจึงตรัสแก่เหล่าสาวกว่า"จงยอมให้เด็กเล็กๆเข้ามาหาเราอย่าห้ามเขาเลยเพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น 10 : 15 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าผู้หนึ่งผู้ใดมิได้รับแผ่นดินของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็กๆผู้นั้นจะเข้าในแผ่นดินนั้นไม่ได้" 10 : 16 แล้วพระองค์ทรงอุ้มเด็กเล็กๆเหล่านั้นวางพระหัตถ์บนเขาแล้วทรงอวยพรให้ 10 : 17 เมื่อพระองค์กำลังเสด็จออกไปตามทางมีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงทูลถามพระองค์ว่า"ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐข้าพเจ้าจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตนิรันดร์" 10 : 18 พระเยซูตรัสถามคนนั้นว่า"ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไมไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว 10 : 19 ท่านรู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่าอย่าฆ่าคนอย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขาอย่าลักทรัพย์อย่าเป็นพยานเท็จอย่าฉ้อเขาจงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน" 10 : 20 คนนั้นจึงทูลพระองค์ว่า"อาจารย์เจ้าข้าข้อเหล่านั้นข้าพเจ้าได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา" 10 : 21 พระเยซูทรงเพ่งดูคนนั้นก็ทรงรักเขาแล้วตรัสว่า"ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่งจงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนอนาถาแล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์แล้วจงตามเรามาและเป็นสาวกของเรา" 10 : 22 เมื่อเขาได้ยินคำนั้นหน้าของเขาก็สลดลงแล้วคนนั้นออกไปเป็นทุกข์เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก 10 : 23 พระเยซูจึงทอดพระเนตรรอบๆแล้วตรัสแก่เหล่าสาวกว่า"คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงหนา" 10 : 24 เหล่าสาวกก็ประหลาดใจด้วยพระวจนะของพระองค์แต่พระเยซูตรัสแก่เขาอีกว่า"ลูกเอ๋ยคนที่วางใจในทรัพย์สมบัติจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าก็ยากจริงหนา 10 : 25 ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า" 10 : 26 เหล่าสาวกก็ประหลาดใจยิ่งนักจึงทูลว่า"ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้" 10 : 27 พระเยซูทอดพระเนตรเหล่าสาวกแล้วตรัสว่า"ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง" 10 : 28 ฝ่ายเปโตรจึงเริ่มทูลพระองค์ว่า"นี่แหละข้าพระองค์ทั้งหลายได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามพระองค์มา" 10 : 29 พระเยซูตรัสตอบเขาว่า"เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าผู้ใดได้สละบ้านหรือพี่น้องชายหญิงหรือบิดามารดาหรือลูกหรือไร่นาเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐของเรา 10 : 30 ในยุคนี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่าคือบ้านพี่น้องชายหญิงมารดาลูกและไร่นาทั้งจะถูกการข่มเหงด้วยและในยุคหน้าจะได้ชีวิตนิรันดร์ 10 : 31 แต่มีหลายคนที่เป็นคนต้นจะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้ายและที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนต้น" 10 : 32 เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มพระเยซูก็เสด็จนำหน้าเขาฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจและคนที่เดินมาข้างหลังก็หวาดกลัวพระองค์จึงทรงเรียกสาวกสิบสองคนอีกแล้วตรัสสำแดงให้เขาทราบถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น 10 : 33 ว่า"นี่แน่ะเราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มและเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตายและจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ 10 : 34 คนต่างชาตินั้นจะเยาะเย้ยท่านถ่มน้ำลายรดท่านจะเฆี่ยนตีท่านและจะฆ่าท่านเสียและวันที่สามท่านจึงจะเป็นขึ้นมาใหม่" 10 : 35 ฝ่ายยากอบกับยอห์นบุตรของเศเบดีเข้ามาทูลพระองค์ว่า"พระอาจารย์เจ้าข้าข้าพระองค์ทั้งสองปรารถนาจะขอให้พระองค์ทรงกระทำตามคำขอของข้าพระองค์" 10 : 36 พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า"ท่านทั้งสองปรารถนาจะให้เราทำสิ่งใดให้ท่าน" 10 : 37 เขาจึงทูลตอบว่า"เมื่อพระองค์จะทรงพระสิรินั้นขอให้ข้าพระองค์นั่งที่เบื้องขวาพระหัตถ์คนหนึ่งเบื้องซ้ายคนหนึ่ง" 10 : 38 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า"ที่ท่านขอนั้นท่านไม่เข้าใจถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นท่านจะดื่มได้หรือและบัพติศมานั้นซึ่งเราจะรับท่านจะรับได้หรือ" 10 : 39 เขาทั้งสองทูลตอบว่า"ได้พระเจ้าข้า"พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า"ถ้วยซึ่งเราดื่มท่านจะดื่มเป็นแน่และบัพติศมาที่เรารับท่านจะรับก็จริง 10 : 40 แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้นไม่ใช่พนักงานของเราที่จะจัดให้แต่พระเจ้าได้ทรงเตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น" 10 : 41 เมื่อสาวกสิบคนได้ยินแล้วก็มีความขุ่นเคืองยากอบและยอห์น 10 : 42 พระเยซูจึงทรงเรียกเขาทั้งหลายมาตรัสว่า"ท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขาและผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ 10 : 43 แต่ในพวกท่านหาเป็นอย่างนั้นไม่ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกท่านผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติท่านทั้งหลาย 10 : 44 และถ้าผู้ใดใคร่จะเป็นเอกเป็นต้นผู้นั้นจะต้องเป็นทาสสมัครของคนทั้งปวง 10 : 45 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติแต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขาและประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก" 10 : 46 ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกมายังเมืองเยรีโคและเมื่อพระองค์เสด็จออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกและประชาชนเป็นอันมากมีคนตาบอดคนหนึ่งชื่อบารทิเมอัสซึ่งเป็นบุตรของทิเมอัสนั่งขอทานอยู่ที่ริมหนทาง 10 : 47 เมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเสด็จมาจึงร้องเสียงดังว่า"ท่านเยซูบุตรดาวิดเจ้าข้าขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด" 10 : 48 มีหลายคนห้ามให้เขานิ่งเสียแต่เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า"บุตรดาวิดเจ้าข้าขอทรงเมตตาข้าพระองค์เถิด" 10 : 49 พระเยซูทรงหยุดประทับยืนอยู่แล้วตรัสสั่งให้เรียกคนนั้นมาเขาจึงเรียกคนตาบอดนั้นว่าแก่เขาว่า"จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิดพระองค์ทรงเรียกเจ้า" 10 : 50 คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่มเสียลุกขึ้นมาหาพระเยซู 10 : 51 พระเยซูจึงตรัสถามเขาว่า"เจ้าปรารถนาจะให้เราทำอะไรให้เจ้า"คนตาบอดนั้นทูลพระองค์ว่า"พระอาจารย์เจ้าข้าขอโปรดให้ตาข้าพระองค์เห็นได้" 10 : 52 พระเยซูตรัสแก่เขาว่า"จงไปเถิดความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้เจ้าหายปกติแล้ว"ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้และได้เดินทางตามพระองค์ไป 11 : 1 ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มถึงหมู่บ้านเบธฟายีและหมู่บ้านเบธานีเชิงภูเขามะกอกเทศพระองค์ทรงใช้สาวกสองคน 11 : 2 สั่งเขาว่า"จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้าท่านครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลยจงแก้มันจูงมาเถิด 11 : 3 ถ้ามีผู้ใดถามว่าท่านทำอย่างนี้ทำไมจงบอกเขาว่าพระองค์ต้องประสงค์ลูกลานี้และประเดี๋ยวพระองค์จะส่งกลับคืนมาให้ที่นี่" 11 : 4 สาวกสองคนนั้นจึงไปแล้วพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่นอกประตูที่ถนนเขาจึงแก้มัน 11 : 5 บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นถามเขาว่า"แก้ลูกลานั้นทำไม" 11 : 6 สาวกก็ตอบตามพระดำรัสสั่งของพระเยซูแล้วเขาก็ยอมให้เอาไป 11 : 7 สาวกจึงจูงลูกลามาถึงพระเยซูแล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลาแล้วพระองค์จึงทรงลานั้น 11 : 8 มีคนเป็นอันมากเอาเสื้อผ้าของตนปูลงตามถนนหนทางและบางคนก็ตัดใบไม้จากทุ่งนามาปู 11 : 9 ฝ่ายคนที่เดินไปข้างหน้ากับผู้ที่ตามมาข้างหลังก็โห่ร้องว่า"โฮซันนาขอให้ท่านผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ 11 : 10 ความสุขสวัสดิมงคลจงมีแก่แผ่นดินของดาวิดบรรพบุรุษของเราที่จะมาตั้งอยู่โฮซันนาในที่สูงสุด" 11 : 11 พระเยซูก็เสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็มและเข้าไปในบริเวณพระวิหารเมื่อทอดพระเนตรสิ่งทั้งปวงแล้วเวลาก็จวนค่ำจึงเสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น 11 : 12 ครั้นรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับสาวกออกมาจากหมู่บ้านเบธานีแล้วพระองค์ก็ทรงหิว 11 : 13 พอทอดพระเนตรเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งแต่ไกลมีใบจึงเสด็จเข้าไปดูว่าจะมีผลหรือไม่ครั้นมาถึงต้นนั้นแล้วไม่เห็นมีผลมีแต่ใบเท่านั้นเพราะยังไม่ถึงฤดูผลมะเดื่อ 11 : 14 พระองค์จึงตรัสแก่ต้นนั้นว่า"ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย"เหล่าสาวกก็ได้ยินคำซึ่งพระองค์ตรัสนั้น 11 : 15 เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็มพระองค์ก็เสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารแล้วลงมือขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้นและคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงินกับทั้งคว่ำม้านั่งผู้ขายนกพิราบเสีย 11 : 16 และทรงห้ามมิให้ผู้ใดขนสิ่งใดๆเดินลัดบริเวณพระวิหาร 11 : 17 พระองค์ตรัสสอนเขาว่า"มีพระวจนะเขียนไว้มิใช่หรือว่านิเวศของเราเขาจะเรียกว่าเป็นนิเวศอธิษฐานสำหรับประชาชาติทั้งหลายแต่เจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เป็นถ้ำของพวกโจร" 11 : 18 เมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ทราบอย่างนั้นจึงหาช่องที่จะประหารพระองค์เสียเพราะเขากลัวพระองค์ด้วยว่าประชาชนประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ 11 : 19 และเมื่อถึงเวลาเย็นพระองค์ได้เสด็จออกไปจากกรุง 11 : 20 ครั้นเวลาเช้าเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกได้ผ่านที่นั้นไปก็ได้เห็นมะเดื่อต้นนั้นเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก 11 : 21 ฝ่ายเปโตรระลึกขึ้นได้จึงทูลพระองค์ว่า"พระอาจารย์เจ้าข้าขอทอดพระเนตรต้นมะเดื่อที่พระองค์ได้สาปไว้นั้นก็เหี่ยวแห้งไปแล้ว" 11 : 22 พระเยซูจึงตรัสตอบเหล่าสาวกว่า"จงเชื่อในพระเจ้าเถิด 11 : 23 เราบอกความจริงแก่ท่านว่าถ้าผู้ใดๆจะสั่งภูเขานี้ว่าจงลอยไปลงทะเลและมิได้สงสัยในใจแต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้นก็จะเป็นตามนั้นจริง 11 : 24 เหตุฉะนั้นเราบอกท่านทั้งหลายว่าขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานพระเจ้าขอสิ่งใดจงเชื่อว่าได้รับและท่านจะได้รับสิ่งนั้น 11 : 25 เมื่อท่านยืนอธิษฐานอยู่ถ้าท่านมีเหตุกับผู้หนึ่งผู้ใดจงยกโทษให้ผู้นั้นเสียเพื่อพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะโปรดยกความผิดของท่านด้วย 11 : 26 แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ยกความผิดพระบิดาของท่านผู้ทรงสถิตในสวรรค์จะไม่ทรงโปรดยกความผิดของท่านเหมือนกัน"] 11 : 27 ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกมายังกรุงเยรูซาเล็มอีกเมื่อพระองค์เสด็จดำเนินอยู่ในบริเวณพระวิหารพวกมหาปุโรหิตพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่มาหาพระองค์ 11 : 28 ทูลพระองค์ว่า"ท่านมีสิทธิอันใดจึงได้ทำเช่นนี้ใครให้สิทธิแก่ท่าน" 11 : 29 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า"เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งเหมือนกันจงตอบเราแล้วเราจะบอกท่านว่าเรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด 11 : 30 คือบัพติศมาของยอห์นนั้นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์จงตอบเราเถิด" 11 : 31 เขาจึงปรึกษากันว่า"ถ้าเราจะว่ามาจากสวรรค์ท่านจะถามเราว่าเหตุไฉนจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า 11 : 32 แต่ถ้าเราจะว่ามาจากมนุษย์"เขากลัวประชาชนเพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นผู้เผยพระวจนะจริงๆ 11 : 33 เขาจึงทูลตอบพระเยซูว่า"พวกข้าพเจ้าไม่ทราบ"พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า"เราจะไม่บอกท่านทั้งหลายเหมือนกันว่าเรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด" 12 : 1 พระองค์จึงตรัสแก่เขาเป็นคำอุปมาว่า"ยังมีชายคนหนึ่งได้ทำสวนองุ่นแล้วล้อมรั้วไว้รอบเขาได้สกัดบ่อเก็บน้ำองุ่นและสร้างหอเฝ้าให้ชาวสวนเช่าแล้วก็ไปต่างประเทศเสีย 12 : 2 ครั้นถึงฤดูผลองุ่นเขาจึงใช้บ่าวคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนนั้นเพื่อจะได้รับส่วนผลองุ่นจากสวนของเขา 12 : 3 ฝ่ายคนเหล่านั้นก็จับบ่าวนั้นเฆี่ยนตีแล้วไล่ให้กลับไปมือเปล่า 12 : 4 อีกครั้งหนึ่งเจ้าของสวนใช้บ่าวอีกคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนคนเช่าสวนนั้นก็ประทุษร้ายทำให้ศีรษะบ่าวนั้นแตกและทำการน่าอัปยศต่างๆ 12 : 5 ภายหลังเจ้าของใช้บ่าวไปอีกคนหนึ่งเขาก็ฆ่าบ่าวนั้นเสียแล้วยังใช้บ่าวไปอีกหลายคนเขาก็เฆี่ยนตีบ้างฆ่าเสียบ้าง 12 : 6 เจ้าของสวนยังมีอีกคนหนึ่งเป็นบุตรชายที่รักจึงใช้บุตรคนนั้นไปเป็นครั้งที่สุดพูดว่าเขาคงจะเคารพบุตรของเรา 12 : 7 แต่คนเช่าสวนพูดกันว่าคนนี้แหละเป็นทายาทฆ่าเสียเถิดแล้วมรดกนั้นจะตกอยู่กับเรา 12 : 8 เขาจึงพากันจับบุตรนั้นฆ่าเสียและเอาศพทิ้งไว้นอกสวน 12 : 9 เจ้าของสวนจะทำประการใดท่านก็จะมาฆ่าคนเช่าสวนเหล่านั้นเสียแล้วจะเอาสวนองุ่นนั้นให้ผู้อื่นเช่า 12 : 10 ท่านทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วมิใช่หรือซึ่งว่าศิลาซึ่งช่างก่อได้ทอดทิ้งเสียยังได้เป็นศิลามุมเอกแล้ว 12 : 11 การนี้เป็นมาจากพระเจ้าเป็นการมหัศจรรย์ประจักษ์ตาเรา 12 : 12 ฝ่ายเขาจึงอยากจะจับพระองค์แต่ว่าเขากลัวประชาชนด้วยเขารู้อยู่ว่าพระองค์ได้ตรัสคำอุปมานี้กระทบพวกเขาเองแล้วเขาก็ไปจากพระองค์ 12 : 13 เขาจึงใช้บางคนในพวกฟาริสีและพวกเฮโรดไปหาพระองค์เพื่อจะคอยจับความผิดในพระดำรัสของพระองค์ 12 : 14 ครั้นมาถึงแล้วก็ทูลพระองค์ว่า"อาจารย์เจ้าข้าข้าพเจ้าทั้งหลายทราบอยู่ว่าท่านเป็นคนสัตย์ซื่อและมิได้เอาใจผู้ใดเพราะท่านมิได้เห็นแก่หน้าผู้ใดแต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริงๆการที่จะส่งส่วยให้แก่ซีซาร์นั้นควรหรือไม่ 12 : 15 เราจะส่งดีหรือไม่ส่งดี"แต่พระองค์ทรงทราบอุบายของเขาจึงตรัสว่า"ท่านทั้งหลายมาจับผิดเราทำไมจงเอาเดนาริอันเหรียญหนึ่งมาให้เราดู" 12 : 16 เขาก็เอามาให้พระองค์จึงตรัสถามเขาว่า"รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร"เขาทูลตอบพระองค์ว่า"ของซีซาร์" 12 : 17 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า"ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า"ฝ่ายเขาก็ประหลาดใจในพระองค์ยิ่งนัก 12 : 18 มีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระองค์พวกนี้เป็นผู้สอนว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มีเขาทูลถามพระองค์ว่า 12 : 19 "อาจารย์เจ้าข้าโมเสสได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่าถ้าชายผู้ใดตายและภรรยายังอยู่แต่ไม่มีบุตรก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตนเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ของพี่ชายไว้ 12 : 20 ยังมีชายพี่น้องเจ็ดคนพี่หัวปีมีภรรยาแล้วตายไม่มีบุตร 12 : 21 น้องที่หนึ่งจึงรับหญิงนั้นมาเป็นภรรยาแล้วก็ตายยังไม่มีบุตรและน้องที่สองก็รับไว้เหมือนกันแต่ก็ตายไม่มีบุตร 12 : 22 พี่น้องทั้งเจ็ดคนนี้ก็ได้รับผู้หญิงนั้นไว้เป็นภรรยาและไม่มีบุตรที่สุดผู้หญิงนั้นก็ตายด้วย 12 : 23 เหตุฉะนั้นในวันที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตายหญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใครด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดแล้ว" 12 : 24 พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า"เพราะข้อต่อไปนี้พวกท่านผิดแล้วมิใช่หรือคือท่านทั้งหลายไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า 12 : 25 เพราะเมื่อมนุษย์จะฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นจะไม่มีการสมรสหรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีกแต่จะเป็นเหมือนทูตในฟ้าสวรรค์ 12 : 26 แต่เรื่องคนซึ่งตายแล้วที่เขาจะถูกชุบให้เป็นขึ้นอีกนั้นท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านคัมภีร์ของโมเสสตอนเรื่องพุ่มไม้หรือซึ่งพระเจ้าได้ตรัสไว้กับโมเสสว่าเราเป็นพระเจ้าของอับราฮัมพระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ 12 : 27 พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตายแต่ทรงเป็นพระเจ้าของคนเป็นท่านทั้งหลายผิดมากทีเดียว" 12 : 28 มีธรรมาจารย์คนหนึ่งเมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกันและเห็นว่าพระองค์ทรงตอบเขาได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า"ธรรมบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งปวง" 12 : 29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า"ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่าโอชนอิสราเอลจงฟังเถิดพระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว 12 : 30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่านด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน 12 : 31 และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี" 12 : 32 ฝ่ายธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า"ดีแล้วอาจารย์เจ้าข้าท่านกล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามีแต่พระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วพระเจ้าอื่นไม่มีเลย 12 : 33 และซึ่งจะรักพระองค์ด้วยสุดจิตใจสุดความเข้าใจและสิ้นสุดกำลังและรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเองก็ประเสริฐกว่าเครื่องเผาบูชาและของถวายทั้งสิ้น"2:27 12 : 34 เมื่อพระเยซูทรงเห็นแล้วว่าคนนั้นพูดโดยใช้ความคิดจึงตรัสแก่เขาว่า"ท่านไม่ไกลจากแผ่นดินของพระเจ้า"ตั้งแต่นั้นไปไม่มีใครอาจถามพระองค์ต่อไปอีก 12 : 35 เมื่อพระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ในบริเวณพระวิหารได้ตรัสถามว่า"ที่พวกธรรมาจารย์ว่าพระคริสต์เป็นเชื้อสายของดาวิดนั้นเป็นได้อย่างไร 12 : 36 ด้วยว่ากษัตริย์ดาวิดเองทรงกล่าวโดยเดชพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าพระเจ้าตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่าจงนั่งที่ขวามือของเราจนกว่าเราจะปราบศัตรูของท่านให้อยู่ใต้เท้าท่าน 12 : 37 กษัตริย์ดาวิดยังได้ทรงเรียกท่านว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าท่านจะเป็นเพียงเชื้อสายของดาวิดอย่างไรได้"ฝ่ายประชาชนฟังพระองค์ด้วยความยินดี 12 : 38 พระเยซูตรัสสอนเขาว่า"จงระวังพวกธรรมาจารย์ให้ดีผู้ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมาชอบให้คนคำนับกลางตลาด 12 : 39 ชอบนั่งข้างหน้าในธรรมศาลาและในการเลี้ยง 12 : 40 เขามักริบเอาเรือนของหญิงม่ายและแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาวเขาทั้งหลายจะต้องมีโทษหนักยิ่งขึ้น" 12 : 41 พระเยซูได้เสด็จประทับตรงหน้าตู้เก็บเงินถวายทรงสังเกตประชาชนเอาเงินมาใส่ไว้ในตู้นั้นและคนมั่งมีหลายคนเอาเงินมากมาใส่ในที่นั้น 12 : 42 มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาเหรียญทองแดงสองอันมีค่าประมาณสลึงหนึ่งมาใส่ไว้ 12 : 43 พระองค์จึงทรงเรียกเหล่าสาวกมาตรัสแก่เขาว่า"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าหญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวายมากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น 12 : 44 เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุดยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด" 13 : 1 เมื่อพระเยซูเสด็จออกจากบริเวณพระวิหารมีสาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า"พระอาจารย์เจ้าข้าศิลาและตึกเหล่านี้ใหญ่จริง" 13 : 2 พระเยซูจึงตรัสแก่สาวกนั้นว่า"ท่านเห็นตึกใหญ่เหล่านี้หรือศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี" 13 : 3 เมื่อพระองค์ประทับบนภูเขามะกอกเทศตรงหน้าพระวิหารเปโตรยากอบยอห์นและอันดรูว์มากราบทูลถามพระองค์ส่วนตัวว่า 13 : 4 "ขอทรงโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายทราบว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะบังเกิดขึ้นเมื่อไรสิ่งไรจะเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะสำเร็จ" 13 : 5 พระเยซูจึงตรัสตอบเขาว่า"ระวังให้ดีอย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง 13 : 6 ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเราว่าเราเป็นผู้นั้นและจะให้คนเป็นอันมากหลงไป 13 : 7 เมื่อท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงสงครามและข่าวลือเรื่องสงครามอย่าตื่นตระหนกเลยด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้นแต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง 13 : 8 เพราะประชาชาติต่อประชาชาติราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กันทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่างๆและจะเกิดกันดารอาหารเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก 13 : 9 "แต่จงระวังตัวให้ดีเพราะคนเขาจะอายัดท่านทั้งหลายไว้กับศาลและจะเฆี่ยนท่านในธรรมศาลาและท่านจะต้องยืนต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเราเพื่อจะได้เป็นพยานแก่เขา 13 : 10 ข่าวประเสริฐจะต้องประกาศทั่วประชาชาติทั้งปวงก่อน 13 : 11 แต่ว่าเมื่อเขาจะอายัดท่านไว้นั้นอย่าเป็นกังวลก่อนว่าจะพูดอะไรดีแต่จงพูดตามซึ่งพระเจ้าทรงโปรดให้ท่านพูดในเวลานั้นเพราะว่าผู้ที่พูดนั้นมิใช่ตัวท่านเองแต่เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์ 13 : 12 แม้ว่าพี่ก็จะมอบน้องให้ถึงความตายพ่อก็จะมอบลูกและลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย 13 : 13 คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะความภักดีที่ท่านมีต่อเราแต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุดผู้นั้นจะรอด 13 : 14 "แต่เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นสิ่งอันน่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดความวิบัติตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่สมควรจะตั้ง(ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด)เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา 13 : 15 ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาตึกอย่าให้ลงมาเข้าไปเก็บเอาสิ่งของในตึกของตนเลย 13 : 16 ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนาอย่าให้กลับไปเอาเสื้อผ้าของตน 13 : 17 แต่ในวันเหล่านั้นอนิจจาน่าสงสารหญิงที่มีครรภ์หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่ 13 : 18 จงอธิษฐานขอเพื่อเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในฤดูหนาว 13 : 19 ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากอย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่พระเจ้าทรงสร้างโลกมาจนถึงทุกวันนี้และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก 13 : 20 ถ้าพระเจ้ามิได้ทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้าจะไม่มีมนุษย์รอดได้เลยแต่เพราะทรงเห็นแก่ผู้ถูกเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้ทรงเลือกไว้พระองค์จึงทรงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า 13 : 21 และในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกท่านว่าแน่ะพระคริสต์อยู่ที่นี่หรือแน่ะอยู่ที่โน่นอย่าได้เชื่อเลย 13 : 22 ด้วยว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้ทำนายเทียมเท็จหลายคนเกิดขึ้นทำหมายสำคัญและการมหัศจรรย์เพื่อล่อลวงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรรแล้วให้หลงถ้าเป็นได้ 13 : 23 แต่ท่านทั้งหลายจงระวังให้ดีดูเถิดเราได้บอกท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว 13 : 24 "ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้วดวงอาทิตย์จะมืดไปและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง 13 : 25 ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้าและบรรดาสิ่งซึ่งมีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน 13 : 26 เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆทรงฤทธานุภาพและพระสิริเป็นอันมาก 13 : 27 เมื่อนั้นพระองค์จะทรงใช้เหล่าทูตสวรรค์ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้แล้วทั้งสี่ทิศนั้นตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกถึงที่สุดขอบฟ้า 13 : 28 "จงเรียนคำเปรียบเรื่องต้นมะเดื่อเมื่อแตกกิ่งแตกใบท่านก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว 13 : 29 เช่นนั้นแหละเมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นก็ให้รู้ว่าพระองค์เสด็จมาใกล้จะถึงประตูแล้ว 13 : 30 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นบังเกิดขึ้น 13 : 31 ฟ้าและดินจะล่วงไปแต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย 13 : 32 "แต่วันนั้นโมงนั้นไม่มีใครรู้ถึงบรรดาทูตสวรรค์หรือพระบุตรก็ไม่รู้รู้แต่พระบิดาองค์เดียว 13 : 33 จงเฝ้าระวังและอธิษฐานอยู่เพราะท่านไม่รู้ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไร 13 : 34 เหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปทางไกลมอบอำนาจให้แก่บ่าวทุกคนและให้รู้การงานของตนว่ามีหน้าที่อะไรและได้สั่งนายประตูให้เฝ้าบ้านอยู่ 13 : 35 เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่เพราะท่านไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไรจะมาเวลาค่ำหรือเที่ยงคืนหรือเวลาไก่ขันหรือรุ่งเช้า 13 : 36 จงเฝ้าระวังอยู่กลัวว่าจะมาฉับพลันและจะพบท่านนอนหลับอยู่ 13 : 37 ซึ่งเราบอกพวกท่านเราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่าจงเฝ้าระวังอยู่เถิด" 14 : 1 ยังอีกสองวันจะถึงเทศกาลปัสกาและเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อพวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์ก็หาช่องที่จะจับพระองค์ด้วยอุบายฆ่าเสีย 14 : 2 เขาพูดกันว่า"ในช่วงเทศกาลอย่าเพ่อทำเลยกลัวว่าประชาชนจะเกิดวุ่นวาย" 14 : 3 ในเวลาที่พระองค์ประทับอยู่ที่หมู่บ้านเบธานีในเรือนของซีโมนคนโรคเรื้อนขณะเมื่อทรงนั่งเสวยพระกระยาหารอยู่มีหญิงผู้หนึ่งถือผอบน้ำมันหอมนาระดาที่มีราคามากมาเฝ้าพระองค์แล้วเปิดผอบเทน้ำมันนั้นลงบนพระเศียรของพระองค์ 14 : 4 แต่มีบางคนไม่พอใจพูดกันว่า"เหตุใดจึงทำให้น้ำมันนี้เสียเปล่า 14 : 5 เพราะว่าน้ำมันนี้ถ้าขายก็ได้เงินกว่าสามร้อยเหรียญเดนาริอันแล้วจะแจกให้คนจนก็ได้"เขาจึงว่าผู้หญิงนั้น 14 : 6 ฝ่ายพระเยซูตรัสแก่คนเหล่านั้นว่า"อย่าว่าเขาเลยกวนใจเขาทำไมเขาได้กระทำการดีแก่เรา 14 : 7 ด้วยว่าคนยากจนมีอยู่กับท่านเสมอและท่านจะทำการดีแก่เขาเมื่อไรก็ทำได้แต่เราจะไม่อยู่กับท่านเสมอไป 14 : 8 ซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็เป็นการสุดกำลังของเขาเขามาชโลมกายของเราก่อนเพื่อการศพของเรา 14 : 9 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าการซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็จะลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่ไหนๆที่ข่าวประเสริฐจะประกาศทั่วพิภพ 14 : 10 ฝ่ายยูดาสอิสคาริโอทเป็นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนได้ไปหาพวกมหาปุโรหิตเพื่อจะชี้พระองค์ให้เขาจับ 14 : 11 ครั้นเขาได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจและสัญญาว่าจะให้เงินแก่ยูดาสแล้วยูดาสจึงคอยหาช่องที่จะชี้พระองค์ให้แก่เขา 14 : 12 เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้นพวกสาวกมาทูลถามพระองค์ว่า"จะให้ข้าพระองค์ไปจัดเตรียมปัสกาให้พระองค์เสวยที่ไหน" 14 : 13 พระองค์จึงทรงใช้สาวกสองคนไปสั่งเขาว่า"จงเข้าไปในกรุงแล้วจะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่านจงตามคนนั้นไป 14 : 14 เขาจะเข้าไปในที่ใดท่านจงบอกเจ้าของเรือนนั้นว่าพระอาจารย์ถามว่าห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่ที่ไหน 14 : 15 เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้วที่นั่นแหละจงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด" 14 : 16 สาวกสองคนนั้นจึงออกเดินเข้าไปในกรุงและพบเหมือนพระดำรัสที่พระองค์ได้ตรัสแก่เขาแล้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม 14 : 17 ครั้นถึงเวลาค่ำแล้วพระองค์จึงเสด็จมากับสาวกสิบสองคน 14 : 18 เมื่อกำลังนั่งรับประทานอาหารอยู่พระเยซูจึงตรัสแก่เขาว่า"เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนหนึ่งในพวกท่านจะอายัดเราไว้คือคนหนึ่งที่นั่งรับประทานอาหารอยู่กับเรานี่แหละ" 14 : 19 ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์และทูลถามพระองค์ทีละคนว่า"คือข้าพระองค์หรือ" 14 : 20 พระองค์จึงตรัสตอบเขาว่า"เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนี้คือเป็นคนจิ้มในชามเดียวกันกับเรา 14 : 21 เพราะบุตรมนุษย์จะเสด็จไปตามที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่าด้วยพระองค์นั้นแต่วิบัติแก่ผู้ที่จะอายัดบุตรมนุษย์ไว้ถ้าคนนั้นมิได้บังเกิดมาก็จะดีกว่า" 14 : 22 ระหว่างอาหารมื้อนั้นพระเยซูทรงหยิบขนมปังมาเมื่อถวายคำสาธุการแล้วทรงหักส่งให้แก่เหล่าสาวกตรัสว่า"จงรับเถิดนี่เป็นกายของเรา" 14 : 23 แล้วพระองค์จึงทรงหยิบถ้วยโมทนาพระคุณและส่งให้เขาเขาก็รับไปดื่มทุกคน 14 : 24 แล้วพระองค์ตรัสแก่เขาว่า"นี่เป็นโลหิตของเราอันเป็นโลหิตแห่งพันธสัญญาซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อคนเป็นอันมาก 14 : 25 เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่าเราจะไม่ดื่มน้ำผลแห่งเถาองุ่นต่อไปอีกจนวันนั้นมาถึงคือวันที่เราจะดื่มใหม่ในแผ่นดินของพระเจ้า" 14 : 26 เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้วเขาก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ 14 : 27 พระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า"ท่านทุกคนจะทิ้งเราด้วยมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าเราจะประหารผู้เลี้ยงแกะและแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป 14 : 28 แต่เมื่อทรงชุบให้เราฟื้นขึ้นมาแล้วเราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าท่าน" 14 : 29 เปโตรทูลพระองค์ว่า"แม้คนทั้งปวงจะทิ้งพระองค์ข้าพระองค์จะทิ้งก็หามิได้" 14 : 30 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า"เราบอกความจริงแก่ท่านว่าในคืนนี้เองก่อนไก่จะขันสองหนท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง" 14 : 31 แต่เปโตรทูลแข็งแรงทีเดียวว่า"ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย"เหล่าสาวกก็ทูลเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน 14 : 32 พระเยซูกับเหล่าสาวกมายังที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนีพระองค์ตรัสแก่สาวกของพระองค์ว่า"จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราอธิษฐาน" 14 : 33 พระองค์ก็พาเปโตรยากอบและยอห์นไปด้วยแล้วพระองค์ทรงวิตกยิ่งและหนักพระทัยนัก 14 : 34 จึงตรัสกับเหล่าสาวกว่า"ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตายจงเฝ้าอยู่ที่นี่เถิด" 14 : 35 แล้วเสด็จดำเนินไปอีกหน่อยหนึ่งซบพระกายลงที่ดินอธิษฐานว่าถ้าเป็นได้ให้การย์แห่งกาลนี้ล่วงพ้นไปจากพระองค์ 14 : 36 พระองค์ทูลว่า"อับบาพระบิดาเจ้าข้าพระองค์อาจทรงกระทำสิ่งทั้งปวงได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิดแต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจปรารถนาของข้าพระองค์แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์" 14 : 37 จึงเสด็จกลับมาทรงเห็นเหล่าสาวกนอนหลับอยู่และตรัสกับเปโตรว่า"ซีโมนเอ๋ยท่านนอนหลับหรือจะคอยเฝ้าอยู่สักทุ่มเดียวไม่ได้หรือ 14 : 38 ท่านทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานเพื่อท่านจะไม่ต้องถูกการทดลองจิตวิญญาณพร้อมแล้วก็จริงแต่กายยังอ่อนกำลัง" 14 : 39 พระองค์จึงเสด็จไปอธิษฐานอีกครั้งหนึ่งทรงกล่าวคำเหมือนคราวก่อน 14 : 40 ครั้นเสด็จกลับมาก็ทรงเห็นสาวกนอนหลับอยู่เพราะตาเขาลืมไม่ขึ้นและเขาไม่รู้ว่าจะทูลประการใด 14 : 41 เมื่อเสด็จกลับมาครั้งที่สามพระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า"ท่านยังจะนอนต่อไปให้หายเหนื่อยอีกหรือพอเถอะนี่แน่ะเวลาซึ่งบุตรมนุษย์ต้องถูกอายัดไว้ในมือคนบาปนั้นมาถึงแล้ว 14 : 42 ลุกขึ้นไปกันเถิดผู้ที่อายัดเรามาใกล้แล้ว" 14 : 43 พระองค์ตรัสยังไม่ทันขาดคำในทันใดนั้นยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้นกับหมู่ชนถือดาบถือไม้ตะบองได้มาจากพวกมหาปุโรหิตพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่ 14 : 44 ผู้ที่จะอายัดพระองค์นั้นได้ให้สัญญาณแก่เขาว่า"เราจะจุบคำนับผู้ใดก็เป็นผู้นั้นแหละจงจับกุมเขาไปให้มั่นคง" 14 : 45 ขณะนั้นยูดาสตรงเข้ามาหาพระองค์ทูลว่า"พระอาจารย์เจ้าข้า"แล้วจุบคำนับพระองค์ 14 : 46 คนเหล่านั้นก็จับกุมพระองค์ไป 14 : 47 แต่คนหนึ่งที่ยืนอยู่ที่นั่นชักดาบออกฟันหูทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตประจำการขาด 14 : 48 พระเยซูจึงตรัสถามพวกเหล่านั้นว่า"ท่านทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบถือตะบองออกมาจับเรา 14 : 49 เราได้อยู่กับท่านทั้งหลายทุกวันสั่งสอนในบริเวณพระวิหารท่านก็หาได้จับเราไม่แต่จะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์" 14 : 50 แล้วสาวกทั้งหมดได้ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป 14 : 51 มีชายหนุ่มคนหนึ่งห่มผ้าป่านผืนหนึ่งตามพระองค์ไปพวกเหล่านั้นก็จับชายหนุ่มนั้น 14 : 52 แต่เขาได้สลัดผ้าป่านผืนนั้นทิ้งเสียแล้วเปลือยกายหนีไป 14 : 53 เขาพาพระเยซูไปหามหาปุโรหิตผู้ประจำการและมีพวกมหาปุโรหิตพวกผู้ใหญ่และพวกธรรมาจารย์ชุมนุมพร้อมกันอยู่ที่นั่น 14 : 54 ฝ่ายเปโตรได้ติดตามพระเยซูไปห่างๆจนเข้าไปถึงลานบ้านของมหาปุโรหิตผู้ประจำการนั่งผิงไฟอยู่กับพวกคนใช้4:64 14 : 55 พวกมหาปุโรหิตกับบรรดาสมาชิกสภาจึงหาพยานมาเบิกปรักปรำพระเยซูเพื่อจะประหารพระองค์เสียแต่หาหลักฐานไม่ได้ 14 : 56 ด้วยว่ามีหลายคนเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์แต่คำของเขาแตกต่างกัน 14 : 57 มีบางคนยืนขึ้นเบิกความเท็จปรักปรำพระองค์ว่า 14 : 58 "ข้าพเจ้าได้ยินคนนี้ว่าเราจะทำลายพระวิหารนี้ที่สร้างไว้ด้วยมือมนุษย์และในสามวันจะสร้างขึ้นอีกวิหารหนึ่งซึ่งไม่ทำด้วยมือมนุษย์เลย" 14 : 59 แต่คำพยานของคนเหล่านั้นเองก็ยังแตกต่างไม่ถูกต้องกัน 14 : 60 มหาปุโรหิตประจำการจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางที่ชุมนุมถามพระเยซูว่า"ท่านไม่แก้ตัวในข้อหาที่พยานเขาตั้งมานี้หรือ" 14 : 61 แต่พระองค์ทรงนิ่งอยู่มิได้ตอบประการใดท่านมหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า"ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้าผู้ควรแก่การนมัสการหรือ" 14 : 62 พระเยซูทรงตอบว่า"เราเป็นและท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพและเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์" 14 : 63 ท่านมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า"เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า 14 : 64 ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้วท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร"คนทั้งปวงจึงเห็นพร้อมกันว่าควรจะมีโทษถึงตาย 14 : 65 บางคนก็ถ่มน้ำลายรดพระองค์ปิดพระพักตร์พระองค์ตีพระองค์แล้วว่าแก่พระองค์ว่า"ทำนายซิ"และพวกคนใช้ก็เอามือตบพระองค์ 14 : 66 ฝ่ายเปโตรเมื่อยังอยู่ที่ลานบ้านข้างล่างมีหญิงคนหนึ่งในพวกสาวใช้ของท่านมหาปุโรหิตเดินมา 14 : 67 เมื่อเห็นเปโตรผิงไฟอยู่เขาเขม้นดูแล้วพูดว่า"แกได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยเหมือนกัน" 14 : 68 แต่เปโตรปฏิเสธว่า"ที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ"เปโตรจึงออกไปที่ประตูบ้าน 14 : 69 อีกครั้งหนึ่งสาวใช้คนนั้นได้เห็นเปโตรแล้วบอกกับคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า"คนนี้แหละเป็นพวกเขา" 14 : 70 แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีกแล้วอีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้ว่าแก่เปโตรว่า"เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นแน่แล้วด้วยว่าเจ้าเป็นชาวกาลิลี"4:65 14 : 71 แต่เปโตรเริ่มสบถสาบานใหญ่ว่า"คนที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้จัก" 14 : 72 ในทันใดนั้นไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สองเปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูตรัสไว้แก่เขาว่า"ก่อนไก่ขันสองหนท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง"เมื่อเปโตรหวนคิดขึ้นได้ก็ร้องไห้ 15 : 1 พอรุ่งเช้าพวกมหาปุโรหิตกับพวกผู้ใหญ่และพวกธรรมาจารย์และบรรดาสมาชิกสภาได้ปรึกษากันแล้วจึงมัดพระเยซูพาไปมอบไว้แก่ปีลาต 15 : 2 ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า"ท่านเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ"พระองค์ตรัสตอบเขาว่า"ก็ท่านว่าแล้วนี่" 15 : 3 ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตได้ฟ้องกล่าวโทษพระองค์หลายประการ 15 : 4 ปีลาตจึงถามพระองค์อีกว่า"ท่านไม่ตอบอะไรหรือดูแน่ะเขากล่าวความปรักปรำท่านหลายประการทีเดียว" 15 : 5 แต่พระเยซูมิได้ตรัสตอบประการใดอีกปีลาตจึงอัศจรรย์ใจ 15 : 6 ในเทศกาลนั้นปีลาตเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้เขาตามที่เขาขอ 15 : 7 มีคนหนึ่งชื่อบารับบัสซึ่งต้องจำอยู่ในจำพวกคนกบฏผู้ที่ได้ฆ่าคนในการกบฏนั้น 15 : 8 ประชาชนจึงได้ขึ้นไปขอปีลาตให้ทำตามที่ท่านเคยทำให้เขานั้น 15 : 9 ปีลาตได้ถามเขาว่า"ท่านทั้งหลายปรารถนาจะให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวหรือ" 15 : 10 เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าพวกมหาปุโรหิตได้อายัดพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา 15 : 11 แต่พวกมหาปุโรหิตยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัสแทนพระเยซู 15 : 12 ฝ่ายปีลาตจึงถามเขาว่า"ท่านทั้งหลายจะให้เราทำอย่างไรแก่คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกว่ากษัตริย์ของพวกยิว" 15 : 13 เขาทั้งหลายร้องตะโกนว่า"ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด" 15 : 14 ปีลาตจึงถามว่า"ตรึงทำไมเขาได้ทำผิดประการใด"แต่ประชาชนยิ่งร้องว่า"ตรึงเขาเสียที่กางเขนเถิด" 15 : 15 ปีลาตปรารถนาจะเอาใจประชาชนจึงปล่อยบารับบัสให้เขาและเมื่อได้ให้โบยตีพระเยซูแล้วก็มอบให้เขาเอาไปตรึงไว้ที่กางเขน 15 : 16 พวกทหารจึงนำพระองค์ไปข้างในราชสำนัก(คือที่เรียกว่าศาลปรีโทเรียม)แล้วเรียกพวกทหารทั้งกองให้มาประชุมกัน 15 : 17 เขาเอาเสื้อสีม่วงมาสวมพระองค์เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมพระเศียรพระองค์ 15 : 18 แล้วคำนับพระองค์พูดว่า"กษัตริย์ของพวกยิวเจ้าข้าขอทรงพระเจริญ" 15 : 19 แล้วเขาได้เอาไม้อ้อตีพระเศียรพระองค์และได้ถ่มน้ำลายรดพระองค์แล้วคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ 15 : 20 เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้วเขาถอดเสื้อสีม่วงนั้นออกแล้วเอาฉลองพระองค์สวมให้และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงเสียที่กางเขน 15 : 21 มีคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีนเป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัสเดินมาจากบ้านนอกตามทางนั้นเขาก็เกณฑ์ซีโมนให้แบกกางเขนของพระองค์ไป 15 : 22 เขาพาพระองค์มาถึงตำบลหนึ่งชื่อกลโกธา(แปลว่ากะโหลกศีรษะ) 15 : 23 แล้วเขาเอาเหล้าองุ่นระคนกับมดยอบให้พระองค์เสวยแต่พระองค์ไม่รับ 15 : 24 เขาตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้วเขาก็เอาฉลองพระองค์จับฉลากแบ่งปันกันเพื่อจะรู้ว่าใครจะได้อะไร 15 : 25 เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง 15 : 26 มีข้อหาที่ลงโทษพระองค์เขียนไว้ว่า"กษัตริย์ของพวกยิว" 15 : 27 เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ข้างขวาคนหนึ่งข้างซ้ายคนหนึ่ง 15 : 28 ต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์ที่ว่า"ท่านถูกนับเข้ากับคนล่วงเกิน"] 15 : 29 ฝ่ายคนทั้งปวงที่เดินผ่านไปมานั้นก็กล่าวเหยียดหยามพระองค์สั่นศีรษะเยาะเย้ยว่า"เฮ้วเจ้าผู้จะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นในสามวันน่ะ 15 : 30 จงช่วยตัวเองให้รอดและลงมาจากกางเขนเถิด" 15 : 31 พวกมหาปุโรหิตกับพวกธรรมาจารย์ก็เยาะเย้ยพระองค์ในระหว่างพวกเขาเองเหมือนกันว่า"เขาช่วยคนอื่นให้รอดได้แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ 15 : 32 ให้เจ้าพระคริสต์กษัตริย์แห่งอิสราเอลลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถอะเพื่อเราจะได้เห็นและเชื่อ"และสองคนนั้นที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ก็กล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์ 15 : 33 ครั้นเวลาเที่ยงก็บังเกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 15 : 34 พอบ่ายสามโมงแล้วพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า"เอโลอีเอโลอีลามาสะบักธานี"แปลว่า"พระเจ้าของข้าพระองค์พระเจ้าของข้าพระองค์ไฉนทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย" 15 : 35 บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า"ดูเถิดเขาเรียกเอลียาห์" 15 : 36 มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อส่งให้พระองค์เสวยแล้วว่า"ให้เราคอยดูว่าเอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่" 15 : 37 ฝ่ายพระเยซูทรงร้องเสียงดังแล้วก็สิ้นพระชนม์ 15 : 38 ขณะนั้นม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง 15 : 39 ส่วนนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงพระพักตร์พระองค์เมื่อเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างนั้นแล้วจึงพูดว่า"แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า" 15 : 40 มีพวกผู้หญิงมองดูอยู่แต่ไกลในพวกผู้หญิงนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลามารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสสและนางสะโลเม 15 : 41 ผู้หญิงเหล่านั้นได้ติดตามและปรนนิบัติพระองค์เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลีและผู้หญิงอื่นอีกหลายคนที่ได้ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มกับพระองค์ได้อยู่ที่นั่น 15 : 42 ครั้นถึงเวลาพลบค่ำเหตุที่วันนั้นเป็นวันเตรียมคือวันก่อนวันสะบาโต 15 : 43 โยเซฟเป็นชาวบ้านอาริมาเธียซึ่งอยู่ในพวกสมาชิกสภาและเป็นที่นับถือของคนทั้งปวงทั้งกำลังคอยท่าแผ่นดินของพระเจ้าด้วยจึงกล้าเข้าไปหาปีลาตขอพระศพพระเยซู 15 : 44 ปีลาตก็ประหลาดใจที่พระเยซูสิ้นพระชนม์แล้วจึงเรียกนายร้อยมาถามว่าตายแล้วหรือ 15 : 45 เมื่อได้รู้เรื่องจากนายร้อยแล้วท่านจึงมอบพระศพให้แก่โยเซฟ 15 : 46 ฝ่ายโยเซฟได้ซื้อผ้าป่านและเชิญพระศพลงมาเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ซึ่งได้สกัดไว้ในศิลาแล้วกลิ้งก้อนหินปิดปากอุโมงค์ไว้ 15 : 47 ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลาและมารีย์มารดาของโยเสสได้เห็นตำบลที่โยเซฟบรรจุพระศพไว้นั้น 16 : 1 ครั้นวันสะบาโตล่วงไปแล้วมารีย์ชาวมักดาลามารีย์มารดาของยากอบและนางสะโลเมซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมพระศพของพระองค์ 16 : 2 เวลารุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์พอดวงอาทิตย์ขึ้นเขาก็มาถึงอุโมงค์ 16 : 3 และเขาพูดกันอยู่ว่า"ใครจะช่วยกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์" 16 : 4 เมื่อเขามองดูก็เห็นก้อนหินนั้นกลิ้งออกแล้วเพราะเป็นก้อนหินโตมาก 16 : 5 ครั้นเขาเข้าไปในอุโมงค์แล้วได้เห็นหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มผ้ายาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวาผู้หญิงนั้นก็ตกตะลึง 16 : 6 ฝ่ายคนหนุ่มนั้นบอกเขาว่า"อย่าตกตะลึงเลยพวกเจ้าทั้งหลายมาหาพระเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งต้องตรึงไว้ที่กางเขนพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้วหาได้ประทับที่นี่ไม่จงดูที่ที่เขาได้วางพระศพของพระองค์เถิด 16 : 7 แต่จงไปบอกพวกสาวกของพระองค์ทั้งเปโตรเถิดว่าพระองค์เสด็จไปยังแคว้นกาลิลีก่อนเจ้าทั้งหลายและเจ้าทั้งหลายจะเห็นพระองค์ที่นั่นเหมือนพระองค์ตรัสไว้แก่พวกเจ้าแล้ว" 16 : 8 หญิงเหล่านั้นก็ออกจากอุโมงค์รีบหนีไปเพราะพิศวงตกใจจนตัวสั่นและมิได้พูดกับผู้ใดเพราะเขากลัว 16 : 9 ครั้นรุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้วพระองค์ทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อนคือมารีย์คนที่พระองค์ได้ขับผีออกเจ็ดผี 16 : 10 มารีย์จึงไปบอกพวกคนที่เคยอยู่กับพระองค์แต่ก่อนเขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์อยู่ 16 : 11 เมื่อเขาได้ยินว่าพระองค์ทรงพระชนม์อยู่และมารีย์ได้เห็นพระองค์แล้วเขาก็ไม่เชื่อ 16 : 12 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏพระกายอีกรูปหนึ่งแก่ศิษย์สองคนเมื่อเขากำลังเดินทางออกไปบ้านนอก 16 : 13 ศิษย์สองคนนั้นจึงไปบอกศิษย์อื่นๆแต่เขามิได้เชื่อ 16 : 14 ภายหลังพระองค์ทรงปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนนั้นเองเมื่อเขานั่งรับประทานอาหารอยู่พระองค์ทรงติเตียนเขาเพราะเขาสงสัยและใจดื้อดึงด้วยเหตุที่เขามิได้เชื่อคนซึ่งได้เห็นพระองค์เมื่อพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว 16 : 15 ฝ่ายพระองค์จึงตรัสสั่งพวกสาวกว่า"เจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน 16 : 16 ผู้ใดเชื่อและรับบัพติศมาแล้วผู้นั้นจะรอดแต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องปรับโทษ 16 : 17 มีคนเชื่อที่ไหนหมายสำคัญเหล่านี้จะบังเกิดขึ้นที่นั้นคือเขาจะขับผีออกโดยนามของเราเขาจะพูดภาษาแปลกๆ 16 : 18 เขาจะจับงูได้ถ้าเขากินยาพิษอย่างใดจะไม่เป็นอันตรายแก่เขาและเขาจะวางมือบนคนไข้คนป่วยแล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค" 16 : 19 ครั้นพระเยซูเจ้าตรัสสั่งเขาแล้วพระเจ้าก็ทรงรับพระองค์ให้ขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า 16 : 20 พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบลและพระเป็นเจ้าทรงร่วมงานกับเขาและทรงสนับสนุนคำสอนของเขาโดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น]