กาพย์เรื่องพระไชยสุริยา

(เปลี่ยนทางจาก พระไชยสุริยา)
กาพย์เรื่องพระไชยสุริยา
ของ
สุนทรภู่
นายสนิท พลอยน้อย พิมพ์แจกในงานฌาปนกิจศพ
นางทรัพย์ พลอยน้อย
ณ เมรุวัดเมืองเก่า
ตำบลปราณบุรี อำเภอปราณบุรี
จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
วันที่ ๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๕

อารัมภกถา

นายสนิท พลอยน้อย ได้ปรารภกับข้าพเจ้าว่า จะจัดการฌาปนกิจศพมารดา ใคร่จะพิมพ์หนังสือแจกแก่บรรดาท่านผู้ที่เคารพนับถือซึ่งมาในงานฌาปนกิจนี้สักเรื่องหนึ่ง และมอบให้ข้าพเจ้าช่วยจัดการ ข้าพเจ้าได้รับ และพิจารณาทบไปทวนมาอยู่หลายครั้งถึงหนังสือที่จะพิมพ์กับอุปนิสสัยของผู้ตายและท่านผู้ที่จะได้รับแจก ผลที่สุด ตกลงใจว่า จะพิมพ์หนังสือเรื่อง “พระไชยสุริยา” ซึ่งเป็นหนังสือคำกลอนของสุนทรภู่ เห็นว่า เป็นประโยชน์ทั้งทางคดีโลกและคดีธรรมเจือปนกันอยู่ ส่วนเนื้อความจะเป็นประการใดนั้น หวังว่า ท่านผู้ที่ได้รับแจกคงจะทราบได้ดีจากหนังสือนี้ เมื่อข้าพเจ้าเก็นดีเห็นชอบในเรื่องหนังสือนี้แน่แล้ว จึงได้ขอความกรุณาจากนายทองสืบ ศุภะมาร์ค ผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ติดต่อกับหอสมุดแห่งชาติขออนุญาตจัดพิมพ์หนังสือเรื่องนี้สนองไวยาวัจจมัยของนายสนิท พลอยน้อย

ขออำนาจแห่งกุศลบรรรทานนี้จงเป็นผลสำเร็จแก่วิญญาณของแม่ทรัพย์ พลอยน้อย ในสถานที่วิญญาณสถิตนั้น ๆ และขออนุโมทนาอุปัฏฐานธรรมของนายสนิท พลอยน้อย มาในที่นี้ด้วย.

พระครูธรรมโสภิต
วัดปากคลองปราณ
๒๒ มีนาคม ๒๔๙๕

กาพย์เรื่องพระไชยสุริยา

ยานี ๑๑
สะธุสะจะขอไหว้ พระศรีไตรสะระณา
พ่อแม่แลครูบา เทวะตาในราศี
ข้าเจ้าเอา ก ข เข้ามาต่อ ก กา มี
แก้ไขในเท่านี้ ดีมิดีอย่าตรีชา
ระร่ำคำต่อไป พอฬ่อใจกุมารา
ธระณีมีราชา เจ้าพาราสาวะลี
ชื่อพระไชยสุริยา มีสุดามะเหษี
ชื่อว่าสุมาลี อยู่บูรีไม่มีไภย
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มีกิริยาอะฌาไศรย
พ่อค้ามาแต่ไกล ได้อาไศรยในพารา
ไพร่ฟ้าประชาชี เชาบูรีก็ปรีดา
ทำไร่เขาไถนา ได้เข้าปลาแลสาลี
อยู่มาหมู่ข้าเฝ้า ก็หาเยาวะนารี
ที่หน้าตาดีดี ทำมะโหรีที่เคหา
ค่ำเช้าเฝ้าสีซอ เข้าแต่หอฬ่อกามา
หาได้ให้ภริยา โลโภพาให้บ้าใจ
ไม่จำคำพระเจ้า เหไปเข้าภาษาไสย
ถือดีมีข้าไทย ฉ้อแต่ไพร่ใส่ขื่อคา
คะดีที่มีคู่ คือไก่หมูเจ้าสุภา
ใครเอาเข้าปลามา ให้สุภาก็ว่าดี
ที่แพ้แก้ชะนะ ไม่ถือพระประเวณี
ขี้ฉ้อก็ได้ดี ไล่ด่าตีมีอาญา
ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
ผู้เฒ่าเหล่าเมธา ว่าใบ้บ้าสาระยำ
ภิษุสะมะณะ เล่าก็ละพระสะธำม์
คาถาว่าลำนำ ไปเร่ร่ำทำเฉโก
ไม่จำคำผู้ใหญ่ ศีร์ษะไม้ใจโยโส
ที่ดีมีอะโข ข้าขอโมทนาไป
พาราสาวะถี ใครไม่มีปราณีใคร
ดุดื้อถือแต่ใจ ที่ใครได้ใส่เอาพอ
ผู้ที่มีฝีมือ ทำดุดื้อไม่ซื้อขอ
ไล่คว้าผ้าที่คอ อะไรฬ่อก็เอาไป
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา มิได้ว่าหมู่ข้าไทย
ถือน้ำร่ำเข้าไป แต่น้ำใจไม่นำพา
หาได้ใครหาเอา ไพร่ฟ้าเศร้าเปล่าอุรา
ผู้ที่มีอาญา ไล่ตีด่าไม่ปราณี
ผีป่ามากระทำ มะระณะกำม์เชาบูรี
น้ำป่าเข้าธานี ก็ไม่มีที่อาไศรย
ข้าเฝ้าเหล่าเสนา หนีไปหาพาราไกล
ชีบาล่าลี้ไป ไม่มีใครในธานี

ฉะบัง ๑๖
พระไชยสุริยาภูมี พาพระมะเหษี
มาที่ในลำสำเภา
เข้าปลาหาไปไม่เบา นารีที่เยาว์
ก็เอาไปในเภตรา
เถ้าแก่เชาแม่แซ่มา เสนีเสนา
ก็มาในลำสำเภา
ตีม้าฬ่อช่อใบใส่เสา วายุพยุเพลา
สำเภาก็ใช้ใบไป
เภตรามาในน้ำไหล ค่ำเช้าเปล่าใจ
ที่ในมหาวารี
พะสุธาอาไศรยไม่มี ราชานารี
อยู่ที่พระแกลแลดู
ปลากะโห้โลมาราหู เหราปลาทู
มีอยู่ในน้ำคล่ำไป
ราชาว้าเหว่หฤไทย วายุพาคลาไคล
มาในทะเลเอกา
แลไปไม่ปะพะสุธา เปล่าใจไนยนา
โพล้เพล้เวลาราตรี
ราชาว่าแก่เสนี ใครรู้คะดี
วารีนี้เท่าใดนา
ข้าเฝ้าเล่าแก่ราชา ว่าพระมหา
วารีนี้ไซร้ใหญ่โต
ไหลมาแต่ในคอโค แผ่ไปใหญ่โต
มะโหฬาล้ำน้ำไหล
บาฬีมิได้แก้ไข ข้าพเจ้าเข้าใจ
ผู้ใหญ่ผู้เฒ่าเล่ามา
ว่ามีพระยาสกุณา ใหญ่โตมะโหฬา
กายาเท่าเขาคีรี
ชื่อว่าพระยาสำภาที ใคร่รู้คะดี
วารีนี้โตเท่าใด
โยโสโผผาถาไป พอพระสุริไสย
จะใกล้โพล้เพล้เวลา
แลไปไม่ปะพะสุธา ย่อท้อรอรา
ชีวาก็จะประไลย
พอปลามาในน้ำไหล สกุณาถาไป
อาไศรยที่ศีร์ษะปลา
ฉะแง้แลไปไกลตา จำของ้อปลา
ว่าขอษะมาอะไภย
วารีที่เราจะไป ใกล้หรือว่าไกล
ข้าไหว้จะขอมรคา
ปลาว่าข้าเจ้าเยาวะภา มิได้ไปมา
อาไศรยอยู่ต่อธรณี
สกุณาอาไลยชีวี ลาปลาจรลี
สู่ที่ภูผาอาไศรย
ข้าเฝ้าเล่าแก่ภูวไนย พระเจ้าเข้าใจ
ฤไทยว้าเหว่เอกา
จำไปในทะเลเวรา พยุใหญ่มา
เภตราก็เหเซไป
สมอก็เกาเสาใบ ทะลุปรุไป
น้ำไหลเข้าลำสำเภา
ผีน้ำซ้ำไต่ใบเสา เจ้ากำม์ซ้ำเอา
สำเภาระยำคว่ำไป
ราชาคว้ามืออรไทย เอาผ้าสะไบ
ต่อไว้ไม่ไกลกายา
เถ้าแก่เชาแม่เสนา น้ำเข้าหูตา
จระเข้เหราคร่าไป
ราชานารีร่ำไร มีกำม์จำใจ
จำไปพอปะพะสุธา
มีไม้ไทรใหญ่ใบหนา เข้าไปไสยา
เวลาพอค่ำรำไร

สุรางคะนางค์ ๒๘
ขึ้นใหม่ใน กน ก กา ว่าปน ระคนกันไป เอ็นดูภูธร มานอนในไพร มณฑลต้นไทร แทนไพชยนต์สถาน
ส่วนสุมาลี วันทาสามี เทวีอยู่งาน เฝ้าอยู่ดูแล เหมือนแต่ก่อนกาล ให้พระภูบาล สำราญวิญญาณ์
พระชวนนวลนอน เข็ญใจไม้ขอน เหมือนหมอนแม่นา ภูธรสอนมนต์ ให้บ่นภาวนา เย็นค่ำร่ำว่า กันป่าไภยพาล
วันนั้นจันทร มีดารากร เป็นบริวาร เห็นสิ้นดินฟ้า ในป่าท่าธาร มาลีคลี่บาน ใบก้านอรชร
เย็นฉ่ำน้ำฟ้า ชื่นชะผะกา วายุพาขจร สาระพันจันทน์อิน รื่นกลิ่นเกสร แตนต่อคล้อร่อน ว้าว่อนเวียนระวัน
จันทราคลาเคลื่อน กระเวนไพรไก่เถื่อน เตือนเพื่อนขานขัน ปู่เจ้าเขาเขิน กู่เกริ่นหากัน สินธุพุลั่น ครื้นครั่นหวั่นไหว
พระฟื้นตื่นนอน ไกลพระนคร สะท้อนถอนฤไทย เช้าตรู่สุริยน ขึ้นพ้นเมรุไกร มีกำม์จำไป ในป่าอารัญ

ฉะบัง ๑๖
ขึ้นกงจงจำสำคัญ ทั้งกนปนกัน
รำพรรณมิ่งไม้ในดง
ไกรกร่างยางยูงสูงระหง ตลิงปลิงปริงประยง
คันทรงส่งกลิ่นฝิ่นฝาง
มะม่วงพวงพลองช้องนาง หล่นเกลื่อนเถื่อนทาง
กินพลางเดินพลางหว่างเนิน
เห็นกวางย่างเยื้องชำเลืองเดิน เหมือนอย่างนางเชิญ
พระแสงสำอางข้างเคียง
เขาสูงฝูงหงษ์ลงเรียง เริงร้องก้องเสียง
สำเนียงน่าฟังวังเวง
กลางไพลไก่ขันบันเลง ฟังเสียงเพียงเพลง
ซอเจ้งจำเรียงเวียงวัง
ยูงทองร้องกะโต้งโห่งดัง เพียงฆ้องกลองระฆัง
แตรสังข์กังสะดาลขานเสียง
กะลิงกะลางนางนวนนอนเรียง พระยาลอคลอเคียง
แอ่นเอี้ยงอีโก้งโทงเทง
ค้อนทองเสียงร้องป๋องเป๋ง เพลินฟังวังเวง
อีเก้งเริงร้องลองเชิง
ฝูงละมั่งฝังดินกินเพลิง คางแข็งแรงเริง
ยืนเบิ่งบึ้งหน้าตาโพลง
ป่าสูงยูงยางช้างโขลง อึงคะนึงผึงโผง
โยงกันเล่นน้ำคล่ำไป

ยานี ๑๑
ขึ้นกกตกทุกข์ยาก แสนลำบากจากเวียงไชย
มันเผือกเลือกเผาไฟ กินผลไม้ได้เป็นแรง
รอน ๆ อ่อนอัษดงค์ พระสุริยงเย็นยอแสง
ช่วงดังน้ำครั่งแดง แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร
ลิงค่างครางโครกครอก ฝูงจิ้งจอกออกเห่าหอน
ชะนีวิเวกวอน นกหกร่อนนอนรังเรียง
ลูกนกยกปีกป้อง อ้าปากร้องซ้องแซ่เสียง
แม่นกปกปีกเคียง เลี้ยงลูกอ่อนป้อนอาหาร
ภูธรนอนเนินเขา เคียงคลึงเคล้าเยาวมาลย์
ตกยากจากศฤงคาร สงสารน้องหมองภักตรา
ยากเย็นเห็นหน้าเจ้า สร่างโศกเศร้าเจ้าพี่อา
อยู่วังดังจันทรา มาหม่นหมองลอองนวล
เพื่อนทุกข์ศุขโศกเศร้า จะรักเจ้าเฝ้าสงวน
มิ่งขวัญอย่ารันจวน นวลภักตร์น้องจะหมองศรี
ชวนชื่นกลืนกล้ำกลิ่น มิรู้สิ้นกลิ่นมาลี
คลึงเคล้าเย้ายวนยี ที่ทุกข์ร้อนหย่อนเย็นทรวง

ยานี ๑๑
ขึ้นกดบทอัศจรรย์ เสียงครื้นครั่นชั้นเขาหลวง
นกหกตกรังรวง สัตว์ทั้งปวงง่วงงุนโงง
แดนดินถิ่นมนุษย์ เสียงดังดุจพระเพลิงโพลง
ตึกกว้านบ้านเรือนโรง โคลงคลอนเคลื่อนเขยื้อนโยน
บ้านช่องคลองเล็กใหญ่ บ้างตื่นไฟตกใจโจน
ปลุกเพื่อนเตือนตะโกน ลุกโลดโผนโดนกันเอง
พิณพาทย์ระนาดฆ้อง ตะโพนกลองร้องเป็นเพลง
ระฆังดังวังเวง โหง่งหง่างเหง่งเก่งก่างดัง
ขุนนางต่างลุกวิ่ง ท่านผู้หญิงวิ่งยุดหลัง
พันละวันดันตึงตัง พลั้งพลัดตกหกคะเมน
พระสงฆ์ลงจากกุฏิ์ วิ่งอุดตลุตฉุดมือเณร
หลวงชีหนีหลวงเถร ลงโคลนเลนเผ่นผาดโผน
พวกวัดพลัดเข้าบ้าน ล้านต่อล้านซานเซโดน
ต้นไม้ไกวเอนโอน ลิงค่างโจนโผนหกหัน
พวกผีที่ปั้นลูก ติดจมูกลูกตาพลัน
ขิกขิกระริกกัน ปั้นไม่ทันมันเดือดใจ
สององค์ทรงสังวาส โลกธาตุหวาดหวั่นไหว
ตื่นนอนอ่อนอกใจ เดินไม่ได้ให้อาดูร

ยานี ๑๑
ขึ้นกบจบแม่กด พระดาบศบูชากูณฑ์
ผาศุขรุกขมูล ภูลสวัสดิ์สัตถาวร
ระงับหลับเนตรนิ่ง เององค์อิงพิงสิงขร
เหมือนกับหลับสนิทนอน สังวรศีลอภิญญาณ
บำเพ็งเล็งเห็นจบ พื้นพิภพจบจักระวาฬ
สวรรค์ชั้นวิมาน ท่านเห็นแจ้งแหล่งโลกา
เข้าฌานนานนับเดือน ไม่เขยื้อนเคลื่อนกายา
จำศีลกินวาตา เป็นผาศุกทุกเดือนปี
วันนั้นครั้นดินไหว เกิดเหตุใหญ่ในปะถะพี
เล็งดูรู้คะดี กาลกิณีสี่ประการ
ประกอบชอบเป็นผิด กลับจริตผิดโบราณ
สามัญอันธพาล ผลาญคนซื่อถือสัตย์ธรรม์
ลูกศิษย์คิดล้างครู ลูกไม่รู้คุณพ่อมัน
ส่อเสียดเบียดเบียฬกัน ลอบฆ่าฟันคือตัณหา
โลภลาภบาปบคิด โจทย์จับผิดฤษยา
อุระพะสุธา ป่วนเป็นบ้าฟ้าบดบัง
บรรดาสามัญสัตว์ เกิดวิบัติปัตติปาปัง
ไตรยุคทุกขะตะรัง สังวัจฉะระอะวะสาน

ฉะบัง ๑๖
ขึ้นกมสมเด็จจอมอารย์ เอ็นดูภูบาล
ผู้ผ่านพาราสาวะถี
ซื่อตรงหลงเล่ห์เสนี กลอกกลับอัปรี
บูรีจึงล่มจมไป
ประโยชน์จะโปรดภูวไนย นิ่งนั่งตั้งใจ
เลื่อมใสสำเร็จเมตตา
เปล่งเสียงเพียงพิณอินทรา บอกข้ามรณา
คงมาวันหนึ่งถึงตน
เบียฬเบียดเสียดส่อฉ้อฉน บาปกำม์นำตน
ไปทนทุกข์นับกัปกัลป์
เมตตากรุณาสามัญ จะได้ไปสวรรค์
เป็นศุขทุกวันหรรษา
สมบัติสัตว์มนุษย์ครุธา กลอกกลับอัปรา
เทวาสมบัติชัชวาล
ศุขเกษมเปรมปรีวิมาน อิ่มหนำสำราญ
ศฤงคารห้อมล้อมพร้อมเพรียง
กระจับปี่สีซอท่อเสียง ขับรำจำเรียง
สำเนียงนางฟ้าน่าฟัง
เดชะพระกุศลหนหลัง สิ่งใดใจหวัง
ได้ดังมุ่งมาดปรารถนา
จริงนะประสกสีกา สวดมนต์ภาวนา
เบื้องน่าจะได้ไปสวรรค์
จบเทศน์เสร็จคำรำพัน พระองค์ทรงธรรม์
ดันดั้นเมฆาคลาไคล

ฉะบัง ๑๖
ขึ้นเกยเลยกล่าวท้าวไทย ฟังธรรมน้ำใจ
เลื่อมใสศรัทธากล้าหาญ
เห็นไภยในขันธสันดาน ตัดห่วงบ่วงมาร
สำราญสำเร็จเมตตา
สององค์ทรงหนังพยัคฆา จัดจีบกลีบชะฎา
รักษาศีลถือฤๅษี
เช้าค่ำทำกิจพิธี กองกูณฑ์อัคคี
เป็นที่บูชาถาวร
ปะถะพีเป็นที่บรรจ์ฐรณ์ เอนองค์ลงนอน
เหนือขอนเขนยเกยเศียร
ค่ำเช้าเอากราดกวาดเตียน เหนื่อยยากพากเพียร
เรียนธรรมบำเพ็ญเคร่งครัน
สำเร็จเสร็จได้ไปสวรรค์ เสวยศุขทุกวัน
นานนับกัปกัลป์พุทธันดร
กุมราการุญสุนทร ไว้หวังสั่งสอน
เด็กอ่อนอันเยาว์เล่าเรียน
ก ข ก กา ว่าเวียน หนูน้อยค่อยเพียร
อ่านเขียนผสมกมเกย
ระวังตัวกลัวครูหนูเอ๋ย ไม้เรียวเจียวเหวย
กูเคยเข็ดหลาบขวาบเขวียว
หันหวดปวดแสบแปลบเสียว หยิกซ้ำช้ำเขียว
อย่าเที่ยวเล่นหลงจงจำ
บอกไว้ให้ทราบบาปกำม์ เรียงเรียบเทียบทำ
แนะนำให้เจ้าเอาบุญ
เดชะพระมหาการุญ ใครเห็นเป็นคุณ
แบ่งบุญให้เราเจ้าเอย ฯ
ร.พ. มหามกุฏฯ หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร พระนคร
นายพินิจ อู่สำราญ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา ๒๔๙๕

พิมพ์ที่โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย
หน้าวัดบวรนิเวศวิหาร
ถนนพระสุเมรุ จังหวัดพระนคร
นายพินิจ อู่สำราญ ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา
พ.ศ. ๒๔๙๔

งานนี้ ปัจจุบันเป็นสาธารณสมบัติแล้ว เพราะลิขสิทธิ์ได้หมดอายุตามมาตรา 19 และมาตรา 20 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ซึ่งระบุว่า

ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นบุคคลธรรมดา
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ถึงแก่ความตาย
  2. ถ้ามีผู้สร้างสรรค์ร่วม ลิขสิทธิ์หมดอายุ
    1. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายถึงแก่ความตาย หรือ
    2. เมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก ในกรณีที่ไม่เคยโฆษณางานนั้นเลยก่อนที่ผู้สร้างสรรค์ร่วมคนสุดท้ายจะถึงแก่ความตาย
ถ้ารู้ตัวผู้สร้างสรรค์ ในกรณีที่ผู้สร้างสรรค์เป็นนิติบุคคล หรือถ้าไม่รู้ตัวผู้สร้างสรรค์
  1. ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้สร้างสรรค์งานนั้นขึ้น
  2. แต่ถ้าได้โฆษณางานนั้นในระหว่าง 50 ปีข้างต้น ลิขสิทธิ์หมดอายุเมื่อพ้น 50 ปีนับแต่ได้โฆษณางานนั้นเป็นครั้งแรก