ภูตผีปีศาจไทย/เล่ม 3/เรื่องที่ 3

เ มื อ ง แ ม่ วั น ท อ ง

"แดนนี้ไม่น่าที่พม่าจะยกทัพมาเลย" ผมพูดขณะที่วิชัยกับผมลงจากรถที่หน้าองค์เจดีย์ของดอนเจดีย์

"แกหมายถึงว่า มันเป็นแดนแห้งแล้งใช่ไหม?" วิชัยถามผมอย่างจะหยั่งความเห็น

"ก็นั่นน่ะสิ ฉันเพิ่งมาดูเป็นครั้งแรกก็เชื่อว่า เมื่อสมัยโน้นแห้งแล้งจริง ๆ อย่างที่ทางภูมิศาสตร์พูดไว้" ผมพูดแล้วเหลียวดูบริเวณนั้นไปรอบ ๆ

"มันก็แห้งแล้งจริง ๆ อย่างที่เห็นนี่ละ ถ้ามองดูต้นไม้ มันก็มีเกลื่อนกลาดอยู่ แต่ก็เฉพาะต้นไม้ใหญ่ ๆ ต้นไม้

เ มื อ ง แ ม่ วั น ท อ ง

เล็ก ๆ และต้นหญ้าไม่มีเลย" วิชัยพูดแล้วควักบุหรี่จุดสูบ

"หญ้าก็ไม่มี น้ำก็ไม่มี แล้วเจ้าช้างม้าสัตว์ในกองทัพจะเอาอะไรกินล่ะ" ผมพูด

"บางทีพม่าหลงเข้ามาโดยไม่ทันคิดกระมัง? หรือไม่ก็คิดว่า เป็นทางลับที่ทางไทยไม่ระวังก็ได้ จึงแอบเข้ามา" วิชัยออกความเห็น

"ไปดูอย่างอื่น ๆ กันดีกว่า" ผมว่า "นำทางซิ พ่อเจ้าของท้องถิ่นสุพรรณ"

"ก็ไม่มีอะไรหรอก นอกจากจะเข้าไปดูเนินเจดีย์เก่าที่อยู่ภายในองค์นอกครอบอยู่" วิชัยว่า

เราเข้าไปดูภายในองค์เจดีย์กัน เจดีย์เก่านั้นก็เหลือเพียงเป็นซากกองอิฐหัก ๆ สุมเป็นกองเนินอยู่เท่านั้น ผมไม่ถนัดทางประวัติศาสตร์นัก เมื่อดูแล้วก็ไม่มีอะไรคืบหน้าไปอีกในสมอง ถ้าผมมีความรู้ประวัติศาสตร์เพียงพอจะเทียบเคียงค้นคว้าได้ ก็จะสนุกแก่ผมเป็นอันมาก ผมตั้งใจติดตามนายวิชัยมาครั้งนี้ ก็มุ่งแต่จะดูสถานที่ของสุพรรณบุรีเพียงที่วรรณคดีขุนช้างขุนแผนกล่าวไว้เท่านั้น ไม่ใช่มาดูประวัติศาสตร์ จึงไม่สำคัญแก่ผมเท่าไรนัก ผมเป็นนักฝัน จึงชอบวรรณคดีที่มีความหลังความเก่าอันวังเวงพอจะให้ผมฝันได้ง่าย ๆ ตามคำของกวีที่ท่านกล่าวไว้ แต่ประวัติศาสตร์นั้นผมจะไปฝันเล่นเอาง่าย ๆ นั้นย่อมไม่ได้ ของเป็นหลักฐาน จะต้องระวังว่าให้ถูกต้อง เท่าที่รู้ตามที่ได้อ่านมาในประวัติของดอนเจดีย์ ถ้าผมจะฝัน ก็ฝันเห็นว่า ตอนนั้น ช้างทรงช้างศึกขององค์พระนเรศวรผู้เป็นประมุขของไทยกำลังตกมัน ได้วิ่งแตกฝูงช้างอื่นมาแต่โดยลำพัง และที่ตรงแถวนี้แล้งน้ำ ต้นหญ้าไม่ค่อยมี จึงมีฝุ่นมาก เมื่อช้างวิ่งมา ฝุ่นก็กลบไปหมด ต่อเมื่อรั้งช้างหยุดได้แล้วและฝุ่นจางลง จึงรู้สึกพระองค์ว่า ได้หลุดมาเดี่ยวในกลางทัพช้างฝ่ายพม่า ครั้นมองไป เห็นพระมหาราชาแห่งพม่าทรงช้างพักอยู่ใต้ร่มไม้ ก็เลยร้องท้ารบไปเลย เพราะไหน ๆ ก็เข้าดงเสือและอยู่ใจกลางดงเสือเสียด้วยโดยเปล่าเปลี่ยว ชาตินักรบก็ต้องชวนรบเลย เพราะมุ่งหน้าจะมารบแล้ว ครั้นเมื่อรบแล้ว ฝ่ายพม่าก็ตาย ผมก็ฝันได้แค่นี้เอง และก็เป็นฝันตามที่ได้เคยอ่านมาเท่านั้น จะฝันเลยไปอย่างฝันในวรรณคดีไม่ได้ ยิ่งอ่านตอนใดวังเวงจับใจ ก็ฝันเอาจนสมใจตัวเอง เพราะรู้อยู่แล้วว่า เป็นเรื่องที่แต่งขึ้น ไม่มีค้นคว้าจับเท็จจับจริงกันละ ผมอ่านวรรณคดีขุนช้างขุนแผนที่มีสถานที่หลายแห่งในสุพรรณบุรีฝากประกอบไว้ จึงเกิดอยากจะเห็นสถานที่เหล่านั้นให้ชื่นใจ

ไม่มีอะไรจะดูอีกแล้วในตำบลดอนเจดีย์ เราจึงกลับขึ้นรถเพื่อเข้าเมือง ผมคิดขอบคุณรัฐบาลเหลือเกินที่ได้ทำการสร้างองค์เจดีย์ขึ้นใหม่ครอบทับองค์เก่าไว้ จึงเป็นที่ระลึกแห่งสำคัญของประวัติศาสตร์ ถ้ามิฉะนั้น จะไม่มีใครจะได้มาชมเลย ถ้าจะนับว่าอยู่กลางป่าก็ว่าได้ ถ้าไม่มีถนน ที่ไหนจะมีทางมาได้สะดวกดังนี้ และที่สำคัญของวีรบุรุษของไทยได้สร้างไว้แก่ประเทศก็จมอยู่กลางป่า

"เฮ้ย… อุทิศ ฉันจะพาแกไปกินข้าวร้านหนึ่ง ฝีมือพ่อครัวเด็ดนัก" วิชัยว่า แล้วชะลอเครื่องรถแถวร้านจอแจ แต่แล้วกลับเร่งเครื่องต่อไปอีก

"เดี๋ยวเว้ย เกือบลืมไปแฮะ" วิชัยพูดขณะที่ขับรถมา "ไปตลาดก่อน แกมาสุพรรณ ถ้าไม่ได้กินปลาบู่ ก็เหมือนไม่ได้มาสุพรรณและได้กินอาหารชั้นเลิศ"

"เอ๊ะ คนไทยถือนะแกว่า ถ้ากินปลาบู่ ก็เท่ากับกินปลาบู่ทองในนิยายนั่นแหละ" ผมเย้าเล่น ๆ พ่อนักธุรกิจหัวเราะ

"ถ้าแกถือ ฉันจะกินแทนเอง ฉันคิดว่า ปลาบู่มีมาในเมืองไทยหลายพันปีแล้ว แต่วรรณคดีเรื่องปลาบู่ทองเพิ่งจะมีขึ้น" วิชัยหัวเราะอีก "เฮ้ย คนไทยเรามัวสงสารตามเรื่องนิยาย เลยชาวจีนกินปลาบู่สบายใจ ใครเอาไปขายที่ตลาด ชาวจีนกวาดเรียบวุธเลย แกเอ๋ย เนื้อมันวิเศษนัก นอกจากเนื้อปลากำพวด ปลาตีนตัวโต ๆ แล้ว ไม่มีเนื้อปลาอะไรเทียบมันได้เลย"

"แต่ปลาบู่นี่ ตามนิยายว่า เป็นเมียหลวงของชาวประมงนะ เมียน้อยทำมนต์ดี ผัวหลงมนต์ เลยตีเมียหลวงตกน้ำตาย แล้วเกิดมาเป็นปลาบู่ ถ้าเรากินปลาบู่ เราก็เท่ากับเป็นพวกเมียน้อยน่ะซี เพราะเมียน้อยจับปลาบู่กิน" ผมแย้งเล่นตามนิยาย

"เอาละนะ แกไม่กิน ฉันกินแทนเอง" วิชัยว่า

เราเดินเข้าตลาดไปด้วยกัน วิชัยพาไปทางตลาดปลา วิชัยซื้อปลาบู่ตัวขนาดใหญ่มหึมาได้สองตัว ผมมองดูแล้วชักสงสัย ในขณะที่เดินกลับมาที่รถแล้ว ผมจึงถามเขา

"นี่แกจะไปตั้งครัวที่ไหน จึงจะกินปลานี้ได้" ผมถาม

"อ๋อ กันมีครัวอยู่หลายแห่ง ประเดี๋ยวแกก็รู้ว่าครัวไหน" วิชัยพูดแล้วเอาปลาใส่รถ แล้วเราก็ขึ้นนั่งดังเก่า วิชัยก็ขับตรงมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แล้วเราหยุดรถที่หน้าร้าน แล้วตรงเข้าร้านนั้น เจ้าของร้านทักทายกับวิชัยดี เพราะเขากว้างขวางในสุพรรณ

"ทำน้ำขาวเสียหนึ่ง และต้มยำเสียหนึ่ง" วิชัยสั่งเจ้าของร้านแล้วส่งปลาบู่ให้กับมือ

"วันนี้มีอะไรดี ๆ ก็ขอบ้างนะ ที่กินกับเหล้าอร่อย ๆ น่ะ" เขาสั่งกับข้าวต่อ

เขาดื่มเหล้ารอคอยอาหารไปก่อน และคุยเรื่องวรรณคดีบ้าง ประวัติศาสตร์บ้าง ชักจะออกรสออกชาติดีพอควร

"ทำไมนะ ชาวสุพรรณจึงไม่ค่อยหลบรถเวลาเดินถนน เราเปิดแตร เขาก็เฉย ๆ" ผมพูดขึ้น วิชัยหัวเราะแล้วตอบว่า

"คนที่นี่อาจจะคิดว่า ทั้งคนเดินถนนและรถย่อมมีสิทธิ์บนถนนด้วยกัน ต่างคนต่างถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน"

"นั่นน่ะสิ" ผมเสริม "การขับรถที่นี่ต้องระวังอย่างมาก ถ้าทำขับอย่างกรุงเทพฯ เป็นมีหวังติดตะรางกันเสมอไป"

พอดีกับเพื่อน ๆ ของวิชัยที่สุพรรณมาพบเข้า ก็เลยเข้าผสมวงคุยกันเป็นการใหญ่ ทั้งอาหารที่สั่งไว้ก็มาพอทันกัน เป็นความจริงอย่างวิชัยว่า ปลาบู่เนื้ออร่อยจริง ๆ ผมรับประทานไปคิดไป อดจะชมเชยฝีมือพ่อครัวร้านนี้มิได้ เด็ดขาดทั้งอย่างอื่น ๆ และการปรุงรสปลาบู่อร่อยนัก แม่น้ำนี้ยังอุดมปลาที่จะเลี้ยงชาวสุพรรณได้เป็นอย่างดี สมแล้วกับคำโบราณที่ถามกันว่า "กินข้าวกินปลาแล้วหรือ?" นี่เป็นการประกันว่า คนไทยเราอาศัยปลาเป็นอาหารมากกว่าอย่างอื่น ในครู่นั้น พ่อครัวส่งกุ้งขนาดใหญ่เผาแล้วหั่นไว้พอเป็นคำ ๆ เรียงกันไว้ ฝานแตงกวาวางไว้ข้าง ๆ แล้วมีพริกขี้หนูโรย น้ำปลาโรย แล้วบีบมะนาวใส่ มันอร่อย