มหาเวสสันดรชาดก

โส โพธิสตฺโต ปางนั้นสมเด็จพระบรมโพธิสัตว์ ตรัสได้ทรงฟังพระลูกน้อย ทรงกันแสงทูลละห้อยวันนั้น กลั้นพระโศกมิได้ละอายพระทัยแก่เทพยดา เสด็จเข้าสู่ภายในพระบรรณศาลา ซบพระพักตราทรงพระกันแสงสะอื้นไห้ ว่าโอ้เจ้าเพื่อนเข็ญใจของพ่อเอ่ย เจ้าเคยกระทำกรรมไว้เป็นไฉน จึ่งมาตกเข็ญใจไร้ยากอนาถา ให้พราหมณ์ชราร่างร้ายกาจ ตะแกมาทำสีหนาทโพยโบยตี โอเวลาปานฉะนี้ก็สายัณห์ คนทั้งหลายเขาเรียกกันกินอาหาร บ้างก็เล้าโลมลูกหลานให้อาบน้ำแล้วหลับนอน แต่สองบังอรของพ่อนี้ ใครจะปราณีให้นมน้ำ ก็จะตรากตรำลำบากใจ ที่ไหนจะเดินได้ด้วยพระบาทเปล่า ทั้งไอแดดจะแผดเผาให้พุพอง จะชอกช้ำคล้ำเป็นหนองลงลามไหล สองสุริยวงศ์ตั้งแต่ว่าจะทรงกันแสงไห้ สุดอาลัยของพ่อแล้วที่จะติดตาม จะบ่ายหน้าไปหาพราหมณ์เมื่อยามเย็น เฒ่าจัญไรไหนเลยจะเห็นด้วยสองเจ้า มีแต่จะรุกเร้าคำรามตี ธชีเอ่ยกระไรเลยไม่เกรงขามเราบ้างเมื่อยามจน จะคิดดูบ้างเป็นไรว่าลูกทั้งสองคนคู่ชีวาตม์ ยังตัดใจให้ขาดมิให้เสียประโยชน์ แต่ก่อนโสดข้าสินไถ่สืบมาถึงสี่ชั่ว ผู้อื่นรู้ก็เกรงกลัวไม่ทำได้เหมือนพราหมณ์ผู้นี้ เสมือนหนึ่งพรานเบ็ดมาตีปลาที่หน้าไซ บรรดาปลาจะเข้าไปให้แตกฉาน ตัวเราผู้ทำทานเหมือนตัวปลา พระโพธิญาณในภายหน้านั้นคือไซ ปรารถนาจะเข้าไปจึ่งยกพระลูกให้เป็นทานบารมี พระลูกรักทั้งสองศรีดั่งกระแสสินธุ์ พราหมณ์ประมาทหมิ่นมาด่าตี เสมือนกระทุ่มวารีให้ปลาตื่น นำพระทัยท้าวเธอถอยคืนจากอุเบกษา บังเกิดอวิชชามาห่อหุ้ม พระปัญญานั้นกลัดกลุ้มไปด้วยโมโหให้ลุ่มหลง โทโสเข้าซ้ำส่งให้บังเกิดวิหิงสาขึ้นทันที ว่าอุเหม่! อุเหม่! พราหมณ์ผู้นี้นี่อาจองทะนงหนอ มาตีลูกต่อหน้าพ่อไม่เกรงใจ ธชีเอ่ยกูมาอยู่ป่าเปล่าเมื่อไร ทั้งพระขรรค์ศิลป์ชัยก็ถือมา ก็ทรงพระแสงธนูศรกระสันมั่นกับมือ ฆ่าพราหมณ์ผู้นี้เสียเถิดหรือ เธอก็ฮึดหื้ออยู่แต่ในพระทัย ภายหลังจึ่งตั้งจิตพิจารณาในพระอริยประเพณีหน่อพุทธางกูร ก็รู้ว่าอาตมะนี่เพิ่มพูนมหาปุตตบริจาคเจียวสิหว่า เมื่อพระปัญญาบังเกิดมี พระบรมราชฤษีเธอจึ่งตรัสสอนพระองค์เองว่า ดูกรมหาเวสสันดร อย่าอาวรณ์โว้เว้ทำเนาเขา ข้ากับเจ้าเขาจะตีกันไม่ต้องการ ให้ลูกเป็นทานแล้ว ยังมาสอดแคล้วเมื่อภายหลัง ท้าวเธอจึ่งตั้งพระสมาธิระงับดับพระวิโยค กลั้นพระโศกสงบแล้ว พระพักตร์ก็ผ่องแผ้วแจ่มใส ดุจทองอุไรทั้งแท่ง อันบุคคลจะแกล้งหล่อแล้วมาวางไว้ในพระอาศรม ตั้งแต่จะเชยชมพระปิยบุตรทานบารมี แห่งหน่อพระชินศรีเจ้า นั้นแล