สมเด็จพระบรมศาสดาทรงสำราญพระอิริยาบถอยู่ที่พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภนางจิญจมาณวิกาผู้นำไม้มาประกบท้องให้ดูเหมือนมีครรภ์ จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า ตาตตวมสิ กลิปุตฺต เป็นต้น ความว่า วันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายได้นั่งสนทนากันในธรรมสภาว่า นางจิญจมาณวิกานำไม้มาประกบท้องให้ดูเหมือนมีครรภ์ แล้วกล่าวกับประชาชนว่าตนได้มีครรภ์กับพระศาสดา เพื่อให้พระศาสดาเสื่อมจากลาภสักการะ แต่ก็ไม่สามารถทำให้พระศาสดาเสื่อมจากลาภสักการะ ด้วยอุบายนั้นได้ ตนเองกลับถูกธรณีสูบลงไปในนรกแล้ว สมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงสดับการสนทนาของพระภิกษุทั้งหลายด้วยทิพพโสตญาณแล้ว จึงเสด็จมาประทับ ณ ธรรมสภา แล้วตรัสถามถึงเรื่องที่พระภิกษุทั้งหลายสนทนากันครั้นทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า นางจิญจมาณวิกานั้นประทุษร้ายเราด้วยมารยา เฉพาะในชาตินี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติที่ผ่านมา เธอก็ได้มีความริษยาประทุษร้ายเรา เพราะได้ฟังกิตติคุณบุญญาธิการอันจะเกิดขึ้นแก่เรา อย่างนี้เหมือนกัน พระภิกษุทั้งหลายสนใจจะฟังเรื่องนั้น จึงอาราธนาให้ทรงเล่าให้ฟัง จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า ในกาลเป็นอดีตที่ล่วงมาแล้ว มีพระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่าโกมลราช ทรงครองราชสมบัติอยู่ในโกฏิมหานคร พระองคืทรงมีพระอัครมเหสี ๒ พระองค์ พระองค์แรกทรงพระนามว่า วลิกาเทวี พระองค์ที่สองทรงพระนามว่า กัณหลิมาเทวี พระเทวีทั้งสองมีพระลักษณะอุดมน่าทัสนายิ่งนัก ดุจนางเทพกัญญาทีเดียว ในกาลนั้น พระโพธิสัตว์ได้จุติจากเทวโลก ลงมาถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระอัครมเหสีพระองค์ที่หนึ่ง ในเดือนเดียวกันนั้น พระอัครมเหสีพระองค์ที่สองก็ทรงตั้งครรภ์เหมือนกัน อาการแพ้ท้องได้เกิดกับพระอัครมเหสีทั้งสอง คือ พระอัครมเหสีพระองค์ที่หนึ่งทรงปรารถนาจะเสด็จประพาสป่า ทั้งปรารถนาจะไปในประเทศต่างๆ ส่วนพระอัครมเหสีพระองค์ที่สอง ปรารถนาจะเสวยเนื้อที่ทาด้วยเลือดสดๆ ในท่ามกลางราชพิธี ท้าวโกมลราชได้ทรงสดับความแพ้ท้องของพระอัครมเหสีทั้งสองดังนั้น จึงรับสั่งให้หาพราหมณ์ผู้ทายนิมิตมาเฝ้า ทรงกระทำสักการะแก่พราหมณ์นั้นเป็นอันมาก ทรงเล่าความปรารถนาของพระอัครมเหสีทั้งสองให้ฟัง แล้วตรัสถามว่า ดูก่อนพราหมณ์ บุตรทั้งสองของเราที่อยู่ในครรภ์ของพระอัครมเหสีทั้งสองนั้น จะมีลักษณะบุญญาธิการต่างกันอย่างไร พราหมณ์ผู้ทายนิมิตจึงทำนายว่า พระโอรสของพระมเหสีที่หนึ่ง เป็นคนมีบุญ มีปัญญา ฉลาดสามารถในศิลปะทั้งปวง ส่วนพระโอรสของพระมเหสีที่สอง เป็นคนมีบุญน้อย ทั้งไม่ฉลาดสามารถในศิลปะทั้งปวง ฝ่ายพระนางกัณหลิมาเทวีได้สดับดังนั้น จึงคิดหาอุบายว่า เราควรจะฆ่าบตรของนางวลิกาเทวีเสีย บุตรของเราจึงจะได้ครองราชสมบัติ ดังนี้แล้ว จึงเรียกทาสีคนสนิทของพระนางวลิกาเทวีมาแล้วสั่งว่า เมื่อพระนางวลิกาเทวีประสูติพระโอรสแล้ว เจ้าจงนำพระโอรสนั้นใส่ในหีบ แล้วนำไปฝังไว้ที่โคนไม้จันทน์แดง เราจะให้ทรัพย์แก่เจ้า เมื่อพระนางวลิกาเทวีประสูติพระโอรสแล้ว ทาสีคนสนิทของพระนางวลิกาเทวีก็ได้ทำอย่างนั้น แล้วเอาผ้าเปื้อนโลหิตพันกับไม้ เข้ามาหาพระนางวลิกาเทวีแล้วทูลว่า พระโอรสของพระแม่เจ้าเป็นไม้ เจ้าค่ะ พระนางวลิกาเทวีทอดพระเนตรแล้วก็กันแสง รำพัน ในเวลาเย็น พระเจ้าโกมลเสด็จยาตราทัพกลับมา รีบเสด็จขึ้นไปบนปราสาท ได้ทรงทราบว่า พระโอรสของพระนางวลิกาเป็นท่อนไม้ ทรงพิโรธเป็นอย่างมาก จึงรับสั่งให้เพชฌฆาตนำพระนางวลิกาเทวีไปประหารเสียที่นอกเมือง ฝ่ายพระนางกัณหลิมาเทวีทอดพระเนตรเห็นดังนั้นแล้ว จึงทูลขออภัยโทษให้เหลือเพียงให้นำพระนางวลิกาเทวีฝากให้เป็นคนตักน้ำของหญิงแม่ครัว พระนางวลิกาเทวีก็เป็นนางทาสีตั้งแต่นั้นมา ในกาลนั้น รุกขเทวดาผู้สิงอยู่ ณ ต้นไม้จันทน์แดงนั้นได้เห็นนางทาสีนำหีบมาฝั่งไว้ที่โคนไม้จันทน์แดงนั้น จึงขุดขึ้นมาเปิดดู พบพระราชกุมามีพระฉวีวรรณเหมือนทอง พิจารณาดูก็รู้ว่าพระราชกุมารเป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร จึงนำมาเลี้ยงไว้ด้วยน้ำนมอันเป็นทิพย์ ฝ่ายพระนางกัณหลิมาเมื่อจะทรงประสูติพระโอรส ลมกัมมัชวาตได้ปั่นป่วนแล้ว ด้วยอานุภาพของเทวดาผู้รักษาพระนคร ซึ่งโกรธที่พระนางกัณหลิมาเทวีกลั่นแกล้งพระนางวลิกาเทวี ครรภ์จึงหลงอยู่ถึง ๗ วัน ต้องไปกราบวิงวอนพระนางวลิกาเทวี แล้วนำน้ำล้างพระบาทของพระนางวลิกาเทวีมารดพระเศียร จึงประสูติพระโอรสโดยสวัสดี พระเจ้าโกมลทรงถือเอาพระนามของพระกัณหลิมาเทวีกับพระนางวลิกาเทวี แล้วขนานพระนามพระโอรสนั้นว่า กัณหวลิกุมาร เมื่อกัณหวลิกุมารมีพระชนมายุได้ ๑๖ พรรษา พระเจ้าโกมลก็ทรงสถาปนาให้ขึ้นเถลิงราชสมบัติ ฝ่ายพระโพธิสัตว์พระโอรสของพระนางวลิกาเทวีต้องพลัดพรากพระชนนี เพราะกรรมในอดีตชาติที่พระโพธิสัตว์เคยเป็นเด็กหนุ่มผู้เที่ยวไปในป่ากับมารดาบิดา ได้เห็นฟองไข่ไก่ป่าฟองหนึ่งจึงหยิบเอาไป นางไก่ป่าเห็นแล้วจึงผูกเวรไว้ว่า ในอนาคต ขอให้เราได้ทำให้ทารกนั้นพลัดพรากจากมารดาบิดา และทำให้ทารกนั้นตาย นางไก่ป่าผูกเวรแล้วก็สิ้นใจมาเกิดเป็นนางกัณหลิมาเทวี เพราะกรรมนั้น พระโพธิสัตว์จึงถูกนางกัณหลิมาเทวีพยายามฆ่า และต้องพลัดพรากจากมารดาบิดา แต่พระองค์อันรุกขเทวดาตั้งชื่อให้ว่า วัณณาวนกุมาร เลี้ยงดุไว้ เมื่อมีพระชนมายุได้ ๗ ขวบ ถามถึงพระชนกและพระชนนีกับรุกขเทวดา ทราบเรื่องแล้วปรารถนาจะไปช่วยแม่ทำงานเพื่อทดแทนบุญคุณ จึงลารุกขเทวดาไปเรียนศิลปะกับพระดาบสจนชำนาญดี เมื่อมีพระชนมายุได้ ๘ ขวบ จึงลาพระดาบสไปหาพระชนกพระชนนี ในระหว่างทางได้ลงดื่มน้ำในสระที่กาลยักษ์สิงอยู่ ถูกยักษ์ถามถึงธรรมและอธรรม จึงแสดงธรรมให้ยักษ์และยักษิณีฟัง อันยักษ์และยักษิณีเลื่อมใสให้สาธุการแล้วบอกให้เดินไปทางทิศตะวันตก จะเจอกับเมืองที่ว่างจากกษัตริย์มา ๗ วัน กำลังหาผู้สมควรมาเป็นกษัตริย์ครองเมือง พระโพธิสัตวืได้เดินทางไปอย่างนั้นแล้ว สมัยนั้น พวกราชบุรุษปรึกษากันว่า สมควรจะเสี่ยงบุศยราชรถแสวงหาท่านผู้มีบุญที่สมควรจะปกครองราชสมบัติ จึงจัดบุศยราชรถแล้วเสี่ยงสัตยาธิษฐานว่า ขอให้บุศยราชรถจงไปถึงสำนักท่านผู้มีบุญ แล้วปล่อยไป บุศยราชรถบ่ายหน้าออกนอกพระนคร แล่นไปกระทำประทักษิณพระโพธิสัตว์ แล้วจอดเอางอนจรดแทบพระบาทอยู่ พวกราชบุรุษจึงพาพระโพธิสัตว์ขึ้นบนราชรถพาไปยังพระราชวัง แล้วสถาปนาให้ขึ้นปกครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์ในพระนครนั้น พระเทวีก็ทรงโปรดปรานพระโพธิสัตว์เป็นดุจพระโอรสของตน ต่อมา พราหมณ์ปุโรหิตคิดว่า พระราชานี้ยังหนุ่ม ไม่คู่ควรกับพระราชินี เราต่างหากที่สมควร ดังนี้แล้ว จึงลวงให้ชมเมือง พาขึ้นคอไปบนเขาสูง แล้วโยนลงไปในเหว แต่ในเหวนั้นมีต้นรังใหญ่มีกิ่งก้านสาขารองรับพระโพธิสัตว์ไว้ พระโพธิสัตว์จึงไม่ได้ับอันตรายใดๆ เลย ถามว่า เพระาเหตุไร พระโพธิสัตว์จึงถูกพราหมณ์ลวงขึ้นไปบนภูเชาแล้วทิ้งในเหว ตอบว่า เพราะกรรมที่พระโพธิสัตว์เคยเกิดเป็นนายโคบาลต้อนโคทั้งหลายไปกินหญ้า ได้เห็นกบตัวหนึ่งจึงจับมันโยนลงไปในเหวแล้วหัวเราะเล่นโดยอาการที่รื่นเริง กบนั้นได้มาเกิดเป็นพราหมณ์ปุโรหิตเพราะเวรนั้น พราหมณ์ปุโรหิตเห็นพระโพธิสัตว์จึงโกรธยิ่งนัก ลวงขึ้นไปบนภูเชาแล้วทิ้งในเหวดังกล่าว พระโพธิสัตว์ขณะอยู่ที่ปากเหว ก็ไม่สามารถกำหนดทิศทางได้ จึงเดินไปเรื่อยๆ จนถึงสระโบกขรณี ได้ลงไปดื่มน้ำ อาบน้ำในสระนั้น แล้วเก็บเง่าบัวกินเป็นอาหาร แต่ในสระนั้น มีพระยากินนรกับบุตรธิดาเคยพากันมาเล่น อาบน้ำกันอยู่ประจำ ในเวลากลับไป พระยากินนรจึงสั่งให้ยักษ์ประมาณ ๕๐๐ ตนดูแลสระนั้นไว้ พวกยักษ์เห็นพระโพธิสัตว์ทำอย่างนั้นแล้ว จึงจับพระโพธิสัตว์โบยตีแล้วขังไว้ พระยากินนรทราบเรื่องจึงโกรธมากสั่งให้ยักษ์ประหารพระโพธิสัตว์ด้วยท่อนเหล็ก ฝ่ายพระโพธิสัตว์ต้องถูกโบยตี และถูกขังไว้ในกรงเหล็กนั้นถึง ๓ ปี ทั้งไม่ได้บริโภคอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเลย ก็ไม่ได้ทำกาละกิริยา เพราะเหตุที่พระโพธิสัตว์ได้ดื่มน้ำในสระโบกขรณี น้ำในสระโบกขรณีได้รักษาพระชนม์ชีพไว้ได้ ทั้งสรีระกายที่ถูกโบยตีก็มิได้บอบช้ำด้วยอำนาจที่ดื่มน้ำในสระโบกขรณีนั้น ถามว่า เพราะกรรมอะไร พวกยักษ์จึงพากันประหารพระโพธิสัตว์ต้องถูกโบยตี แล้วให้ขังไว้ในกรงเหล็กถึง ๓ ปี ทั้งไม่ได้บริโภคอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งเลย ตอบว่า เพราะกรรมที่พระโพธิสัตว์เคยเกิดเป็นคฤหบดี ได้มอบบุตรของตนคนหนึ่งแก่ภิกษุแล้วขอให้บรรพชาเป็นสามเณร แต่สามเณรนั้นเกียจคร้านไม่ศึกษาเล่าเรียน ภิกษุผู้เป็นอาจารย์จึงพามาหาบิดามารดา แล้วเล่าความประพฤติของสามเณรให้คฤหบดีฟัง คฤหบดีจึงอนุญาตให้ด่าว่า เฆี่ยนตีได้ แล้วอย่ให้สามเณรนั้นฉันอาหาร จนกว่าจะประพฤติตนตามที่อาจารย์สั่งสอน เพราะเวรนั้น พระโพธิสัตว์จึงถูกพวกยักษ์ทุบตี และขังไว้ในกรงเหล็กให้อดอาหารนานถึง ๓ ปี ต่อมา พระยากินนรเกิดนิมิตอยากฟังธรรม รู้ว่าพระโพธิสัตว์สามารถแสดงธรรมได้ จึงให้ปล่อยตัว ครั้นได้ฟังอานิสงส์ของศีล ๕ ที่พระโพธิสัตว์แสดงแล้ว ก็เกิดความเลื่อมใส จึงยกธิดาของตนให้กับพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์จึงพาภรรยากลับมายังเมืองของพระนางภัจจาที่ตนถูกพราหมณ์ปุโรหิตพาไปโยนลงเหว พระนางภัจจาก็ได้อภิเษกพระโพธิสัตว์กับภรรยาขึ้นครองราชย์ที่แคว้นกาสีนั้น หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์ได้ตามหาพระชนนีจนพบ แล้วยกทัพมารบกับพระยากัณหวลิน้องต่างมารดาจนชนะแล้ว ก็ทรงอภิเษกพระเจ้าโกมลราชกับพระนางวลิกาเป็นอัครมเหสีที่หนึ่ง และพระนางภัจจาเป็นอัครมเหสีที่สองแทนพระนางกัณหลิมาเทวีที่พระเจ้าโกมลทรงสั่งประหารชีวิตไปให้ครองราชย์ในเมืองโกฏินครนั้นแล ส่วนพระองค์พร้อมทั้งพระมเหสีก็ได้ยกทัพกลับไปครองราชสมบัติที่แคว้นกาสีดังเดิม