วิญญาณยังอยู่ (2507)/เรื่องที่ 15
อาทิตย์นี้มีข่าวเรื่องวิญญาณสตรีในประเทศรัสเซีย เป็นข่าวสด ๆ ร้อน ๆ ซึ่งนายเอ็ดมันด์ สตีเว็นส์ ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ซันเดย์ไทม์แห่งกรุงลอนดอนเป็นผู้รายงานมาจากกรุงมอสโคว์ (๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๗) ดิฉันเห็นเป็นเรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับวิญญาณซึ่งปรากฏเป็นข่าวตื่นเต้นข่าวหนึ่งในประเทศรัสเซีย จึงนำมาบันทึกแทรกลงไว้ในที่นี้ เพราะตามหลักฐานที่แสดงไว้ในข่าวเรื่องนี้ เช่น บรรดาชื่อของบุคคลสำคัญที่เกี่ยวข้องด้วย เป็นต้น ย่อมจะพอเป็นที่เชื่อถือได้ว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
กรุงมอสโคว์ในปัจจุบันมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งดูเหมือนจะยังคงรักษามรดกแห่งความน่าประหวั่นพรั่นพรึงไว้ตลอดมานับตั้งแต่เจ้าของบ้านได้ถูกประหารชีวิตไปเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๖ ผู้ถูกตัดสินประหารชีวิตนั้น คือ นายลาฟเรนตี เบเรีย รัฐบุรุษผู้ครองอำนาจสูงสุดเป็นที่สองรองจากสตาลิน และเป็นผู้ที่ใคร ๆ ในสหภาพโซเวียตรัสเซียเกรงกลัวที่สุด ในสมัยที่นายโจเซฟ สตาลิน ปกครองอยู่นั้น บ้านที่กล่าวนี้อยู่ในบริเวณกว้างใหญ่ซึ่งอยู่ตรงมุมด้านหนึ่งของถนนที่กว้างสุดถนนหนึ่งของกรุงมอสโคว์ รอบบ้านมีกำแพงซึ่งแลดูคล้ายมูลดินล้อมอย่างแข็งแรง ในฐานะที่นายเบเรียครองตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทย เขาจึงเป็นเจ้านายโดยตรงของกองตำรวจลับอันร้ายกาจ และเป็นผู้ปกครองที่ใช้อำนาจเผด็จการของแคว้นใหญ่แคว้นหนึ่งภายในโซเวียตรัสเซีย นั่นคือ แคว้นไซบีเรียอันเป็นที่ตั้งของคุกอันเลื่องชื่อ รวมทั้งอาณาเขตเหนือสุดของรัสเซียด้วย ซึ่งรวมอยู่ภายใต้อำนาจปกครองของเบเรียทั้งสิ้น
โดยปกติ เบเรียชอบแสดงตนเป็นบุรุษตัวอย่างของหัวหน้าครอบครัวที่ดี เป็นสามีที่ซื่อสัตย์ และเป็นบิดาที่น่ารัก แต่ภายในบริเวณบ้านใกล้ถนนสายใหญ่ของเขานั้น เบเรียแสดงบทบาทตรงกันข้ามทีเดียว
หลายปีมาแล้ว คฤหาสน์ของเบเรียนี้ว่างอยู่นาน แล้วต่อมา รัฐบาลจึงเข้าปกครอง และได้เปิดให้เป็นบ้านเช่าของพวกทูตต่างประเทศ ซึ่งต่อมาไม่นาน ก็ได้เป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตของประเทศทูนีเซียซึ่งเพิ่งมีสัมพันธไมตรีกับรัสเซีย บ้านนั้นมีห้องใหญ่สำหรับใช้เป็นที่ทำการของคณะทูตอย่างพอเะียง และมีห้องพักสำหรับท่านเอกอัครราชทูตหนุ่ม อาหเหม็ดเมสติรี กับภริยา และบุตรสองคน
เมื่อครอบครัวของเมสติรีเข้าอยู่ในบ้านนี้แล้วไม่นาน ภริยาท่านเอกอัครราชทูตก็เล่าเรื่องประหลาดให้มิตรสหายฟังว่า เธอได้ยินเสียงต่าง ๆ ในตอนกลางคืน มีทั้งเสียงกรีดร้อง, เสียงคราง และเสียงสะอื้น รวมทั้งเสียงหัวเราะพร้อมกันหลาย ๆ เสียง ดังก้องกระหึ่มด้วย ภริยาท่านเอกอัครราชทูตสาบานว่า ครั้งหนึ่ง เธอตื่นขึ้นเห็นสตรีผู้หนึ่งในเครื่องแต่งกายชุดสีขาว สตรีผู้นั้นกล่าวเตือนเธอว่า ถ้าเธอรักชีวิตเธอและของลูก ๆ ละก็ จงอย่าอยู่ภายใต้หลังคาบ้านนี้ต่อไป. . . เรื่องนี้ ท่านเอกอัครราชทูต ซึ่งเป็นบัณฑิตของมหาวิทยาลัยซอบอนน์ ได้พยายามชี้แจงให้ภริยาเชื่อว่า นั่นเป็นเพียงความเพ้อฝันไปเท่านั้น แต่ก็มีเรื่องเศร้าสลดบังเกิดขึ้นสองเรื่องซึ่งทำให้ภริยาของท่านยึดถือเอาเป็นข้อสนับสนุนความเชื่อของเธอที่ว่า บ้านนั้นเป็นบ้านที่ถูกสาปแช่ง เป็นบ้านกาลกิณี
ในฤดูใบไม้ผลิของปี พ.ศ. ๒๕๐๔ บุตรชายอายุสองขวบของนายอาหเหม็ด อาร์ฟา ที่ปรึกษาสถานทูต ได้ตกจากตึกชั้นที่หกของแฟล็ตที่ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ ถึงแก่ความตาย ต่อมาอีกสองสามอาทิตย์ นายชาดลี ชาอูเช ตำแหน่งกงสุล ขับรถจากงานกินเลี้ยงจะกลับบ้าน รถได้เลื่อนไกลจากสะพานตกลงไปในแม่น้ำมอสโคว์ และผู้ขับจมน้ำตาย
ส่วนทางสถานเอกอัครราชทูตก็ได้พบช่องทางลงไปสู่ห้องใต้ดิน ช่องนี้ก่อกำแพงปิดไว้ส่วนหนึ่งด้วย นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่สถานทูตยังได้ค้นพบห้องเล็ก ๆ แถวหนึ่งซึ่งอาจเป็นที่ซึ่งเบเรียใช้ขังนักโทษส่วนตัวของเขา คุณหญิงเมสติรี ภริยาท่านเอกอัครราชทูต ยืนยันว่า บรรดาเสียงกรีดร้องที่เธอได้ยินนั้นได้ดังมาจากทางห้องใต้ดินนี้อย่างแน่นอน
คำยืนยันของภริยาท่านเอกอัครราชทูตนี้สนับสนุนความเชื่อที่ว่า เบเรียเก็บพวกผู้หญิงที่เขาเที่ยวไปจับมาในเวลากลางคืนไว้ที่นั่น เรื่องมีมาว่า เวลากลางคืน เบเรียจะนั่งรถยนต์แบบกันกระสุนปืนได้ของเขาเที่ยวตระเวนไปตามถนนสายต่าง ๆ ในกรุงมอสโคว์ เมื่อได้พบสาว ๆ สวย ๆ เขาก็จะให้คนขับรถของเขาขับรถเข้ากระหนาบข้าง แล้วเขาก็ออกคำสั่งให้เหยื่อผู้แสนตระหนกตกใจนั้นขึ้นบนรถ ซึ่งไม่เคยมีใครจะกล้าขัดคำสั่งของเขาได้เลย
ต่อจากนั้น เบเรียจะพาเหยื่อของเขาไปสู่บ้าน ซึ่งเมื่อรถแล่นผ่านประตูกำแพงเข้าไปแล้ว บานประตูเหล็กอันหนักก็จะปิดดังปังอยู่เบื้องหลัง แล้วต่อจากนั้น จะมีอะไรเกิดขึ้นภายในกำแพงบ้านนั้น ไม่เคยมีใครล่วงรู้เลย. . . แต่เสียงที่เล่าลือกันก็มีว่า คณะพรรคขี้เมาหยำเปซึ่งมีเบเรีย กับเกลอสนิทของเขา มีรัฐมนตรีผู้ช่วยของเขาชื่อ อาเบกูมอฟ เป็นหัวโจก ได้ช่วยกันประกอบทารุณกรรมทางกามารมณ์อย่างป่าเถื่อนที่สุด
ความจริงของเรื่องราวที่กล่าวมานี้จะเป็นประการใดก็ตาม บรรยากาศของบ้านเก่าของเบเรียก็พิสูจน์ให้เห็นว่า เหลือสติกำลังสำหรับครอบครัวของเอกอัครราชทูตเมสติรีผู้ซึ่งได้เดินทางกลับประเทศทูนีเซียแล้วจะทนทานได้ และอีกหลายเดือนต่อมา ทูตคนใหม่จึงมาแทน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม งานชิ้นแรกของเอกอัครราชทูตคนใหม่ก่อนที่จะเข้าอยู่บ้านกาลกิณีนี้ คือ ให้อาจารย์ในศาสนาอิสลามคนหนึ่งมาทำพิธีขับไล่วิญญาณร้ายด้วยเวทมนตร์ อันเป็นพิธีที่ได้ผลอย่างยิ่ง เพราะเมื่อได้ทำพิธีขับไล่แล้ว ก็ไม่ปรากฏว่า เกิดเรื่องราวร้าย ๆ ขึ้นอีกเลย