สิริวิบุลกิตติชาดก

พระศาสดาประทับอยู่ในพระเชตวัน ทรงปรารภภิกษุเลี้ยงมารดา ตรัสพระธรรมเทศนานี้ ตรัสอีกว่า เธอได้ตั้งอยู่ในทางที่ตถาคตดำเนินมาแล้ว เพราะการเลี้ยงบิดามารดาเป็นวงศ์ของนักปราชญ์ ที่สละชีพให้บิดามารดาได้ จึงทรงนำอดีตนิทานมาเล่าว่า พระราชาองค์หนึ่งทรงพระนามว่ายศกิตติ ได้ดำรงราชสมบัติ ณ จัปปากนคร พระองค์มีพระอัครมเหสีมีนามว่าสิริมดี เป็นยิ่งใหญ่กว่าสนมนารี ๑๖,๐๐๐ พระเจ้ายศกิตติราชจึงตรัสกับพวกสนมว่า ให้ช่วยกันปรารถนาหาบุตรจงได้ทุกๆ คน สนมทั้งหมดก็พากันทำบวงสรวงแก่สิ่งที่นับถือ ตั้งแต่นั้นมาพระนางสิริมดีจึงสมาทานอุโบสถศีลตั้งพระหฤทัยปรารถนาซึ่งบุตร พระนางพิจารณาดูศีลของพระองค์แล้วทรงทำความสัจว่า ถ้าศีลของข้าพเจ้าไม่ขาดไซร้ ขอให้ข้าพเจ้าได้บุตรสมปรารถนา ด้วยอำนาจศีลของพระนางสิริมดี จึงทำให้ท้าวโกสีย์ได้นิมนต์พระโพธิสัตว์ซึ่งจวนจะสิ้นอายุแต่ต้องการจะเกิดในเทวโลกชั้นบนต่อไปให้ไปถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระสิริมดีราชเทวี คราวนั้น พระนางสิริมดีบรรทมหลับในราตรีทรงสุบินดังนี้ว่า มีดาบสองค์หนึ่ง มาแต่วิบุลบรรพตโดยทางอากาศ หยิบเอาแก้วมณีวางไว้ ณ ฝ่าพระหัตถ์ เมื่อพระนางตื่นบรรทมก็ทรงเล่าให้พระสวามีฟัง พระเจ้ายศกิตติจึงรับสั่งให้พราหมณ์ทำนายพระสุบินนี้ ซึ่งพราหมณ์ถวายพยากรณ์ว่า พระนางสิริมดีจักได้พระราชโอรสกอปรด้วยบุญลักษณะ ครั้นต่อมาพระนางสิริมดีก็ทรงพระครรภ์ ในระหว่างแห่งกาลนั้นมีพระราชาองค์หนึ่งนามว่าพาเหียรอยู่ต่างรัฐประเทศของพระเจ้ายศกิตติซึ่งต้องการได้เมืองของพระเจ้ายศกิตติ ได้ยกพลเสนาไปตั้งอยู่ใกล้เมืองจัมปาก แล้วส่งทูตให้ไปทูลพระเจ้ายศกิตติว่า ถ้าพระเจ้ายศกิตติจะใคร่รบกันก็ให้ออกมารบกันนอกเมือง ถ้าไม่คิดจะรบก็มอบเมืองมา เมื่อนั้นพระเจ้ายศกิตติไม่อยากให้เกิดสงครามจึงได้หนีออกจากเมืองไปอยู่ป่ากันพระนางสิริมดี เมื่อเสด็จออกจากเมืองจัมปากไปจนบรรลุถึงไพรสนณ์ใกล้ภูเขาเวปุลบรรพต มีบรรณศาลาอันฤาษีองค์ก่อนทิ้งร้างไว้ จึงทรงพาพระราชเทวีเข้าไปอาศัยอยู่ในบรรณศาลานั้น แล้วจึงพร้อมกับพระราชเทวีทรงผนวชถือเพศเป็นฤาษี คราวเมื่อพระราชาพาเหียรวิลุปราชยกกองทัพมาติดเมืองจัมปาก ครั้นเมื่อยึดครองเมืองได้ และทราบว่าพระเจ้ายศกิตติหนีไปแล้ว จึงประกาศให้ทราบว่า ถ้าผู้ใดนำศีรษะพระเจ้ายศกิตติมาให้เราได้ จะให้รางวัลแก่ผู้นั้น คราวนั้นมีพรานป่าผู้หนึ่ง ได้ฟังคำประกาศนั้นแล้ว วันหนึ่งจึงไปแสวงหาเนื้อในป่า เดินหาไปไกลจนหลงทางไปประมาณ ๗ วัน จนไปพบที่อยู่ของพระราชฤาษียศกิตติเข้าก็จำได้ เข้าไปขออาศัยอยู่ ณ ที่นั้นประมาณ ๗ วัน เมื่อจะกลับไปเมืองจึงขอให้พระราชฤาษีชี้ทางกลับให้ พระราชฤาษียศกิตติจึงชี้ทางให้แต่บอกกับพรานป่าว่าอย่าบอกใครว่าตัวเองอยู่ที่นี่ พรานป่าก็รับคำ เมื่อกลับถึงเมืองด้วยความโลภและความอกตัญญู พรานป่าจึงนำที่อยู่ของพระเจ้ายศกิตติไปกราบทูลแก่พระเจ้าพาเหียรเพื่อขอรับรางวัล พระเจ้าพาเหียรจึงประทานทรัพย์ให้นายพราน พระองค์พร้อมด้วยเสนาทวยหาญให้นายพรานนำเสด็จเพื่อไปตามลำดับ จนบรรลุถึงที่อยู่แห่งพระราชฤาษียศกิตติ คราวนั้น พระราชฤาษียศกิตติได้ทรงสดับเสียงโกลาหล และทอดพระเนตรพลเสนามามากมาย จึงรู้ว่าพรานป่าได้นำพระเจ้าพาเหียรมาจับตน ตรัสสั่งให้พระนางดาบสินีสิริมดีอยู่ที่อาศรมนี้ และมอบผ้ากัมพลกับธำมรงค์ไว้ให้ ส่วนตัวพระองค์จะยอมถูกจับ เมื่อพระราชฤาษียศกิตติถูกจับไปแล้ว ฝ่ายพระนางดาบสินีสิริมดีทรงพระครรภ์แก่ พอครบกำหนด พระนางจึงประสูติพระราชโอรสในเวลาเที่ยงคืนวันนั้นเอง พระนางถือเอาพระนามมารดาและพระบิดาประสมกันเข้า จึงให้พระนามพระลูกเจ้าว่าสิริวิบุลกิตติ พระบรมโพธิสัตว์ เมื่อเจริญวัยขึ้นตามลำดับ พระองค์ทรงทำอุปการแก่พระมารดาโดยเต็มกำลัง คราวหนึ่งพระนางสิริมดีทรงสุบินว่าพระนางทรงสรวลเล่นกับพระเจ้ายศกิตติ ครั้นตื่นบรรทมแล้วก็ทราบว่าฝัน มิได้เห็นหน้าพระสวามีดังในสุบิน จึงกลับพูนเพิ่มความโศกศัลและโทมนัสมากขึ้น จึงได้พร่ำพรรณนาถึงความเศร้าโศก พระมหาสัตว์เจ้าได้ฟังพระมารดาพรรณนาถ้อยคำต่างๆ ดังนั้นจึงเข้าไปกราบไหว้แล้วถามพระมารดาร้องไห้ทำไม พระนางจึงเล่าเรื่องเมื่อครั้งก่อนเก่าให้พระโพธิสัตว์ฟัง พระมหาสัตว์สดับเรื่องราวพระมารดาเล่าให้ฟังดังนั้น จึงบอกพระมารดาว่าจะขอไปช่วยพระบิดาที่ถูกจับอยู่ พระนางสิริมดีจึงได้มอบผ้ากัมพลกับพระธำมรงค์ให้แก่พระบรมโพธิสัตว์ ๆ รับเอาสิ่งของแล้วจึงกราบลาพระมารดาออกจากป่าหิมพานต์ คราวนั้นเป็นเวลาเช้า พระมหาบุรุษเจ้าผู้อาบสได้เดินตรงเข้าไปยังนคร เห็นพระราชบิดาอันต้องอธิฐานโทษดังนั้น จึงกระซิบถามมหาชนว่า คนที่ต้องโทษทัณฑ์นั้นคือใคร มหาชนเขาบอกว่า ท่านผู้นี้เดิมเป็นเข้าของปกครองเมืองนี้ พระมหาบุรุษเจ้า ได้ฟังมหาชนบอกเล่าดังนั้น ก็มั่นใจว่าเป็นบิดาของเราแน่ แท้จริงพระมหาบุรุษทรงพละกำลังมากเท่ากำลังเจ็ดช้าง แต่ทรงจินตนาการว่าถ้ากำจัดชิงเอาซึ่งสมบัติเมืองนี้กับทั้งพระราชา ก็สามารถทำได้ไม่ข้องขัด แต่ว่าศีลของเราจักพิบัติไป ถ้าเราทำลายศีลเสียแล้ว ก็จะไม่ถึงพระสัพพัญญุตญาณ ซึ่งเราปรารถนามานานแล้ว แสดงตนขอตายแทนพระราชบิดาโดยแสดงตัวเป็นพระราชโอรสของพระองค์โดยแสดงพระธำมรงค์และผ้ากัมพล เมื่อพระเจ้ายศกิตติทรงทราบชัดว่าพระมหาสัตว์เป็นพระราชโอรสของพระองค์แน่นอน เมื่อทรงสอนและห้ามปรามพระมหาสัตว์ แต่ไม่สามารถห้ามพระมหาสัตว์ที่จะตายแทนได้ไม่ พระมหาบุรุษเจ้าจึงไปเฝ้าพระราชาโกงนั้น เพื่อจะทูลขอเปลี่ยนชีวิตของตนกับพระราชบิดา พระราชาโกงทรงอนุญาต พระมหาบุรุษดีใจ จึงกลับมายังสำนักพระราชบิดาเพื่อจะให้ปล่อยพระราชบิดา เมื่อเพชฌฆาตปล่อยพระบิดาแล้วจึงนำพระโพธิสัตว์ไป เพื่อจะประหารเสียที่ป่าช้าสำหรับฆ่าคน ด้วยอำนาจความเมตตาและความกตัญญูของพระโพธิสัตว์นั้น ดาบของเพชฌฆาตจะตัดศีรษะก็หักเป็นจุณไปทันที พวกเพชณฆาตก็ประหลาดใจ ไปกราบทูลให้พระราชาทรงทราบ พระราชาทรงพิโรธเป็นกำลัง จึงรับสั่งให้ช้างไปเหยียบเสียบัดนี้ พวกเพชฌฆาตก็พากันไปทำตามรับสั่งนั้น แต่ช้างทำเสียงโกญจนาทแล้วหนีไป พระราชาทรงทราบแล้วจึงรับสั่งว่า ถ้ากระนั้นพวกเจ้าจงเอามันโยนลงไปในหลุมถ่านเพลิง แต่น่าอัศจรรย์ใจดอกปทุมทองอันใหญ่ประมาณเท่ากงเกวียน แหวนแผ่นดินผุดขึ้นมารับพระมหาสัตว์ไว้ ไฟก็มิได้ไหม้พระมหาสัตว์แต่อย่างไร พระเจ้ากูฏราชทรงทราบแล้ว ทรงพิโรธเป็นกำลังรับสั่งว่าจงทิ้งในเหวที่ฆ่าโจต พวกเพชฌฆาตก็เอาพระมหาสัตว์ไปทิ้งในเหวตามรับสั่ง ครั้งนั้นนาคราชขึ้นมาแต่นาคพิภพ ในขณะนั้นแผ่นดินใหญ่ก็แยกออกไปให้ช่องแก่พระเจ้ากูฏราช พระเจ้ากูฏราชก็จมลงไปเกิดในนรกใหญ่ ในลำดับนั้นนาคราชนำพระมหาสัตว์ขึ้นจากนาคพิภพ จึงอภิเษกพระมหาสัตว์ให้ดำรงราชสมบัติในเมืองจัมปากเสร็จแล้ว ก็กลับไปยังนาคพิภพของตน เมื่อพระมหาสัตว์ผ่านราชสมบัติแล้ว จึงพร้อมด้วยพระราชบิดาแวดล้อมไปด้วยเสนาพลนิกาย เสด็จออกไปยังที่ประทับของพระราชมารดา คราวนั้นพระราชมารดาพระมหาสัตว์เสวยทุกข์โทมนัส เพราะพลัดพรากจากพระราชสามี และทั้งมิได้เห็นปิยราชโอรส ทรงพระรันทดจนสิ้นชีพตักษัยอยู่ในบรรณศาลานั้น พระมหาสัตว์เจ้าเสด็จไปเบื้องหน้า ทอดพระเนตรเห็นบรรณศาลาอันเงียบสงัด พระองค์รีบทรงเข้าไปในบรรณศาลา เมื่อทอดพระเนตรเห็นพระมารดาสิ้นชีพตักษัยแล้วก็ทรงเสียพระทับมากจะขอตายตามพระมารดาไป พระเจ้ายศกิตติผู้บิดาจึงทรงห้ามปรามแต่ไม่เป็นผล ด้วยกำลังพระกตัญญูหากเตือนพระทัย จึงเข้าไปนอนหงายอยู่ภายในจิตกาธาร ให้เขายกหีบพระศพพระมารดาขึ้นวางทับ ณ พระอุระ แล้วให้เขาประชุมเพลิงพร้อมกัน คราวนั้นด้วยอานุภาพความกตัญญูกตเวทิตาคุณพระมหาสัตว์ เป็นบุพนิมิตว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้พระสัพพัญญุตญาณแน่ในภายหน้า คราวร้อนหน่อยหนึ่งจะต้องกายก็หาไม่ พระบรมโพธิสัตว์จึงพร้อมกับถวายพระเพลิงพระศพพระมารดาด้วยเครื่องสักการะอันยิ่งใหญ่ เมื่อพระมหาบุรุษทำฌาปนกิจเสร็จแล้ว เสด็จไปสร้างบ้านหมู่หนึ่งไว้ไกล้บรรณศาลา ณ เชิงภูเขาเวปุลบรรพต กำหนดเป็นที่อนุสาวรีย์และทรงให้มีการมหรสพเสมอทุกปี บ้านตำบลนั้นครั้นนานมาจึงปรากฏว่าธัมมนิคม พระโพธิสัตว์ดำรงราชสมบัติครบอายุขัย ก็เสด็จไปยังโลกสวรรค์ พระศาสดาทรงนำอดีตนิทานมาแล้วประกาศอริยสัจ เมื่อจบอริยสัจ ภิกษุผู้เลี้ยงมารดาได้โสดาปัตติผล แล้วทรงประชุมชาดกว่า พระนางสิริมดีคือพระนางมหามายา พระเจ้ายศกิตติคือพระเจ้าสุโธทนะ พระเจ้ากุฏราช (พระราชาโกง) คือพระเทวทัต นายโจรฆาฏคือสุนักขัตภิกษุ บริษัทครั้งนั้นคือเหล่าบริษัทในครั้งนี้ พระสิริวิบุลกิตติคือพระโลกนาถเจ้าตถาคต