หน้า:ข้อกำหนดตาม ม ๙ (ฉ ๐๗, ๒๕๖๓-๐๕-๑๕).PDF/1

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว

เล่ม ๑๓๗ ตอนพิเศษ ๑๑๔ ง

๑๕ พฤษภาคม ๒๕๖๓
หน้า ๓๙
ราชกิจจานุเบกษา

ข้อกำหนด
ออกตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนด
การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘
(ฉบับที่ ๗)

ตามที่ได้มีประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักรตั้งแต่วันที่ ๒๖ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ และต่อมาได้ขยายระยะเวลาการบังคับใช้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าวออกไป จนถึงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๓ แล้ว นั้น

ด้วยเป็นการสมควรผ่อนคลายการบังคับใช้บางมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด - 19 เพิ่มเติมจากที่เคยผ่อนคลายไว้แล้วเพื่อลดผลกระทบต่อประชาชนด้านเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคง ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19) ได้รายงานผลการประเมินสถานการณ์ และการรับฟังความคิดเห็นจากฝ่ายความมั่นคง ฝ่ายเศรษฐกิจ ฝ่ายผู้ประกอบการ และฝ่ายผู้บริโภค ประกอบกับฝ่ายสาธารณสุขได้เสนอว่า จำนวนผู้ติดเชื้อสะสม ผู้ติดเชื้อรายใหม่ในแต่ละวันและสถิติผู้เสียชีวิตในประเทศนับแต่ต้นเดือนพฤษภาคม อันเป็นระยะเวลาที่ประกาศใช้ข้อกำหนด (ฉบับที่ ๔) (ฉบับที่ ๕) และ (ฉบับที่ ๖) เป็นต้นมาลดลงหรืออยู่ในระดับที่ควบคุมได้อย่างต่อเนื่อง แต่เพราะยังมีปัจจัยเสี่ยงจากสภาพดินฟ้าอากาศ จำนวนของผู้เดินทางข้ามจังหวัดและผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ตลอดจนประชาชนบางกลุ่มที่ยังประมาทและละเลยไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ในขณะที่การแพร่ระบาดก็ยังปรากฏอยู่มากในต่างประเทศ จึงควรผ่อนคลายตามโอกาสเสี่ยงของบุคคล สถานที่ และประเภทของกิจกรรม ภายใต้เงื่อนไขว่ายังคงให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรคและคำแนะนำของทางราชการต่อไปโดยเคร่งครัดและหากปรากฏว่าจำนวนผู้ติดเชื้อกลับเพิ่มหรือโอกาสเสี่ยงมีมากขึ้น ก็อาจระงับหรือเปลี่ยนแปลงการผ่อนคลายบางส่วนหรือทั้งหมดได้

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๙ แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ และมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ นายกรัฐมนตรีจึงออกข้อกำหนดเป็นการทั่วไปและข้อปฏิบัติแก่ส่วนราชการทั้งหลายดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ การห้ามออกนอกเคหสถาน ห้ามบุคคลใดทั่วราชอาณาจักรออกนอกเคหสถานระหว่างเวลา ๒๓.๐๐ นาฬิกา ถึงเวลา ๐๔.๐๐ นาฬิกาของวันรุ่งขึ้น และให้ข้อยกเว้นการห้ามออกนอกเคหสถานตามข้อกำหนด (ฉบับที่ ๓) ลงวันที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๖๓ ยังคงใช้บังคับต่อไป