หน้า:คำพิพากษาคดีกบฏ - กรมโฆษณาการ - ๒๔๘๒.pdf/20

หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร
๑๗

เป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบกฝ่ายยุทธการ เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ราว ๑ เดือน หลวงชำนาญยุทธศิลป์, หลวงรณสิทธิพิชัย และผู้บังคับกองพันของเหล่าทหารม้า, เหล่าทหารปืนใหญ่, เหล่าทหารสื่อสาร ได้ลอบประชุมกันที่ตึกทหารวังปารุสกวัน เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงการณ์ของกองทัพบก โดยมิให้พระยาพหลพลพยุหเสนารู้เห็นด้วย ในะระยะนี้วันหนึ่งพระยาพหลพยุหเสนาลงไปรับแขกชั้นล่างได้ผ่านทหารยามไป เสร็จธุระจากรับแขกแล้วจะกลับขึ้นไปข้างบน ทหารยามคนนั้นได้ทำท่าเตรียมแทงไม่ยอมให้ขึ้น พระยาพหลพลพยุหเสนาจึงตะโกนร้องเรียกให้พระยาทรงสุรเดชมาดู พระยาทรงสุรเดชบอกว่าทหารไม่รู้จักผู้บังคับบัญชา การที่ทหารยามกระทำเช่นนี้ เข้าใจว่าเป็นคำสั่งของพระยาทรงสุรเดช จะคิดแย่งอำนาจจากพระยาพหลพลพยุหเสนา ต่อมาราว ๑ เดือนพระยาทรงสุรเดชจะเอาหลวงพิบูลสงคราม ซึ่งเวลานั้นเป็นนายทหารปืนใหญ่ไปอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยรบ ซึ่งไม่มีหน้าที่บังคับบัญชาควบคุมกำลังทหาร หลวงพิบูลสงครามทราบเรื่องเข้าจึงไปสอบถามถึงเหตุผลว่าทำไมจึงจะย้ายให้ไปอยู่ตำแหน่งผู้ช่วยรบ แต่ทหารยามได้เอาดาบปลายปืนกั้นไว้ ขณะนั้นพระยาทรงสุรเดชก็อยู่ที่นั่นด้วย ได้มีผู้คัดค้านการที่จะย้ายหลวงพิบูลสงคราม จึ่งกระทำไปไม่สำเร็จ ส่วนนายทหารที่เป็นพวกของหลวงพิบูลสงครามก็จะเอาไปบรรจุในตำแหน่งที่ไม่ได้ควบคุมกำลังทหาร และย้ายไปที่อื่น แล้วเอานายทหารที่เป็นพวงของพระยาทรงสรุเดชบรรจุควบคุมแทน การที่พระยาทรงสุรเดชกับพวกกระทำเช่นนี้แสดงว่า พระยาทรงสุรเดชจะคุมอำนาจทหารไว้ฝ่ายเดียว บั่นทอนอำนาจการปกครองของทหารซึ่งหลวงพิบูลสงครามและพวกที่ได้ควบคุมอยู่นั้นให้หมดสิ้นไป โดยมีวัตถุประสงค์เกี่ยวแก่การเมืองซึ่งจะได้กล่าวต่อไป ตั้งแต่นั้นมาพระยาทรงสุรเดชกับหลวงพิบูลสงครามก็ไม่ถูกกันเรื่อย ๆ มา