หน้า:ประชุมพงศาวดาร (ภาค ๑๐) - ๒๔๖๑.pdf/64

หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร
๒๙

กินเข้าไร่เข้านาเหมือนเก่า ว่าฉันนั้นแล พระยาก็มีอาชญาบอกกล่าวแก่คนทั้งหลายให้เอาไม้มาจักสานเปนตาไขว่ ให้เปนสามตาเรียงกัน เอาตาขดขึ้นเมือบนแล้ว ให้เอาเหน็บไว้ปลายไม้ที่ในไร่นานั้นแล้ว ให้กล่าวว่าแหลวจงอยู่เฝ้าไร่นาเถิด ว่าดังนั้น เมื่อนั้นคนทั้งหลายก็รับเอาอาชญาพระยาพากันมากระทำเหมือนว่าแท้นั้นแล แต่ภายน่าสัตวทั้งหลายก็ไม่มากวนกิน กระทำร้ายแก่ไร่นาสักทีนั้นแล ด้วยธรรมเนียมแหลวหมายนานั้น ก็ติดต่อสืบ ๆ มาถึงกาลบัดนี้แล

ส่วนเจ้าพระยาขุนทึง ท่านก็อยู่เสวยราชสมบัติประกอบชอบทศราชธรรม ๑๐ ประการ กระทำบุญให้ทานมากนัก นั้นแล เมื่อท่านได้เสวยราชสมบัติแทนพ่อแห่งตนนั้น อายุได้ ๑๕ ปี ศักราช ๔๕๓ ตัวปีเมิงเม้า คือปีเถาะนพศก ท่านอยู่เสวยเมืองนานได้ ๔๑ ปี อายุท่านได้ ๕๕ ปี ก็ถึงแก่กรรมไปสู่โลกภายน่า ในปีเมิงเม็ดคือปีมแมนพศก ศักราช ๔๙๓ ตัว เรียกว่าได้ ๑๕ เช่นชั่วราชวงษ์แล ฯ

พระยาขุนทึงไม่มีลูกชาย มีแต่ลูกหญิงผู้หนึ่ง ชื่อว่านางมนุสาอานุญญา ว่าฉันนั้นแล

ดังพระยาขุนเลงผู้เปนน้องนั้น มีลูกชายสองชาย ผู้พี่ชื่อว่าเจ้าชิน ผู้น้องชื่อว่าเจ้าจอมผาเรืองแล ดังเจ้าลาวชินผู้พี่นั้น เจ้าพระยาขุนเลงตนพ่อ ก็หาเอานางพระติสะในตระกูลให้เปนภรรยา แล้วให้อยู่กับด้วยตนในเวียงเงินยังเชียงแสนนั้นแล ดังเจ้าจอมผาเรืองผู้น้องนั้น เจ้าขุนเลงตนเปนพ่อ ก็นำให้ไปเอานางมนุสาอานุญญาผู้