บอกเข้ามาว่า ทัพพระมหาอุปราชา พระเจ้าเชียงใหม่ ยกมาถึงเมืองกาญจนบุรี ทำสพานข้ามอยู่แล้ว สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทราบดังนั้นก็ดำรัศว่า เราเทียบรี้พลช้างม้าไว้ จะยกไปเอาเมืองแลวก บัดนี้ ทัพหงษาวดียกมาอิกเล่า จำจะยกออกไปเล่นสนุกกับมอญเสียก่อน แล้วมีพระราชกำหนดไปให้พระอมรินทรฦๅไชยเจ้าเมืองราชบุรีแต่งฅนห้าร้อยขึ้นไปซุ่มอยู่ ถ้าข้าศึกข้ามสพานได้แล้ว ให้ล้างสพานเผาเสียจงได้.
๏ฝ่ายพระมหาอุปราชาเสด็จยกทัพหลวงถึงกาญจนบุรี เห็นเมืองร้างเปล่าไม่มีฅน ก็เข้าพระไทยว่า ชาวพระนครรู้การ เทครัวอพยพเข้าเมืองสิ้น เสด็จประทับแรม ณ เมืองกาญจนบุรี ให้เที่ยวลาดจับฅนจะถามกิจการก็มิได้ ส่วนพระยาจิตตองกองน่าก็เร่งทำสพานข้ามพลเสร็จ รุ่งขึ้น พระมหาอุปราชาก็เสด็จกรีธาทัพหลวงมาโดยมารควิถีถึงตำบลพนมทวนเพลาชายแล้วสามนาฬิกา บังเกิดวายุเวรัมพวาตพัดหวนหอบธุลีฟุ้งผันเปนกงจักรกระทบมหาเสวตรฉัตรซึ่งกั้นมาหลังพระคชาธารนั้นหักทบลง พระมหาอุปราชาทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ตกพระไทย ให้โหรสำหรับทัพทำนาย ถวายพยากรณ์ว่า เหตุนี้ถ้าเช้าในเที่ยงร้าย นี่ชายแล้ว เห็นเปนศุภนิมิตรที่พระองค์จะมีไชยได้พระนครศรีอยุทธยา สมเด็จพระราชบิดาจะเลื่อนพระองค์ขึ้นจากที่เสวตรฉัตรมหาอุปราชเถลิงถวัลยราชราไชสวรรยาในกรุงหงษาวดีเปนมั่นคง พระมหาอุปราชาตรัศได้ทรงฟังนั้น ก็ยังมิวางพระไทย จนเสด็จถึงตำบลพังตรุแดนสุพรรณบุรี ให้ตั้งทัพไชยโดยขบวน แล้วตรัศให้กองม้าสามร้อยลาดมาดูถึงตำบลเอกราช บางกทิง ว่า ทัพชาวพระนครมาตั้งรับอยู่ตำบลใดบ้าง.