หน้า:พระราชพงษาวดาร ฉบับพระราชหัดถเลขา ภาค ๑ (๒๔๕๕) b.pdf/272

หน้านี้ได้พิสูจน์อักษรแล้ว
๒๑๓

กองทัพกรุงได้ ก็ยกกันเข้ามา ที่เห็นว่า จะสู้ทัพกรุงมิได้ ก็ไม่เข้ามา ยกครอบครัวอพยพเข้าป่าไปเปนอันมาก ฝ่ายเจ้าเมืองเมาะตมะก็จัดตรวจรี้พลทหารปืนใหญ่น้อยประจำรักษาน่าที่ป้องกันเมืองเปนสามารถ.

 ฝ่ายสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์เสด็จประทับแรมพักช้างม้ารี้พลณพระตำหนักตำบลแม่กระษัตรสามเวน ครั้นณวัน ค่ำ เพลา ๑๐ ทุ่ม บังเกิดไชยนิมิต บันดาลให้เสนางคนิกรโยธาทวยหาญในกองทัพรื่นเริงเปล่งออกซึ่งศัพทสำเนียงกึกก้องโกลาหล ครั้นเพลา ๑๑ ทุ่ม พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ทรงเครื่องสรรพนิลวัตถาลังการาภรณ์วิภูสิตสำหรับขัติยราชรณยุทธ แล้วเสด็จพระราชดำเนินขึ้นบนเกย ทอดพระเนตรเห็นช้างพระที่นั่งทั้งสองซึ่งประทับอยู่นั้นยกงวงขึ้นปรามาศลูบงาเบื้องขวาแล้วร้องก้องโกญจนาทนี่สนั่นในพนัศเนินแนวศิขรเขตรเปนไชยนิมิตรสองประการทั้งศัพทสำเนียงเสนางคนิกรโยธาหาญ ก็ทรงพระโสมนัศปรีดา พระโหราธิบดีก็ลั่นฆ้องไชย พราหมณปโรหิตาจารย์เป่าสังข์ถวายไชยมงคล เสียงศัพทเภรีฆ้องกลองกาหฬประโคมกึกก้องนฤนาท สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราชเสด็จทรงช้างต้นพลายพนมจักรสูงห้าศอกสามนิ้วผูกพระที่นั่งสุวรรณปฤษฎางค์ สมเด็จพระอนุชาทรงช้างต้นพลายแก้วอุดรสูงห้าศอกผูกพระที่นั่งหลังคาทอง ดำรัศให้เคลื่อนพลพหลโยธาหาญโดยขบวนซ้ายขวาน่าหลังประดับไปด้วยแถวทวนธงดูพันฦกอธึกมเหาฬาราดิเรกโกลาหลด้วยเสียงพลกุญชนชาติอาชาไนยเดินโดยสถลมารควิถี ประทับร้อนแรมหกเวนก็เสด็จถึงเมืองเมาะลำเลิ่ง เจ้าพนักงานประโคมฆ้องกลองแตรสังข์กึกก้องโกลาหล ก็เสด็จเปลื้องเครื่องศิริ