ในเสียงสระ ๓๒ นี้ มีเสียงซ้ำกันอยู่ ๘ เสียง ซึ่งเป็นสระเกิน คือ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ อำ ใอ ไอ เอา เพราะฉะนั้นจึงมีเสียงสระไทยต่างกัน เพียง ๒๔ เสียงเท่านั้น
ข้อ๗.สระที่อยู่แถวหน้านั้นมีเสียงสระสั้นเรียกว่า ‘รัสสระ’ (สระสั้น) สระที่อยู่แถวหลังนั้นมีเสียงยาวเรียกว่า ‘ทีฆสระ’ (สระยาว) เสียงรัสสระที่ไม่มีตัวสะกดท่านจัดเป็น ‘ลหุ’ (เบา) เสียงรัสสระ มีตัวสะกดกับเสียงทีฆสระมีตัวสะกดก็ดี ไม่มีก็ดี ท่านจัดเป็น “ครุ” (หนัก) แต่ อำ ใอ ไอ เอา ๔ ตัวนี้จัดเป็นครุ เพราะเป็นเสียงมีตัวสะกดอยู่แล้ว คือ อัม อัย อัว (อะ + ว)
ข้อ๘.สระในภาษาบาลีมี ๘ ตัว คือ อะ อาอิ อี อุ อู เอ โอ และสระในภาษาสันสกฤตก็มีเพียง ๑๔ ตัวเท่านั้น คือ อะ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ เอ ไอ โอ เอา สระไทยที่มีมากออกไปนั้น เป็นด้วยเพิ่มเติมกันทีหลัง เพื่อให้พอกับสำเนียงภาษาไทย
จำแนกสระ
ข้อ๙.เสียงสระทั้ง ๓๒ นั้น จัดออกเป็น ๓ พวก คือ:–
(๑)สระแท้ คือสระแท้ที่เปล่งออกมาเป็นเสียงเดียวไม่มีเสียงสระอื่นประสม มี ๑๘ ตัวด้วยกัน คือ:–
(ก)สระแท้ฐานเดียว คือสระที่เปล่งออก โดยใช้ลิ้นหรือริมฝีปากกระทบฐานใดฐานหนึ่งคือ คอ เพดาน ปุ่มเหงือก หรือฟัน ริมฝีปากแต่ฐานเดียว มี ๘ ตัวด้วยกัน คือ:–
อะ | อา | คู่นี้เกิดแต่ฐานคอ คือให้ลมกระทบคอ |
อิ | อี | คู่นี้เกิดแต่ฐานเพดาน คือให้ลมกระทบเพดาน |