หน้า:เปิดกรุผีไทย (เหม เวชกร).pdf/260

หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร
๑๐๐
 

บ้านงานอีกก็น่าเกลียด แต่ผมน่ะไม่ไหวแล้ว ไปอีกไม่ได้แน่ ๆ ขออยู่เป็นเพื่อนแม่นิ่ม นายมั่นเลยขออยู่ด้วย นายชุ่มมีฐานะลำบากเพราะเป็นญาติ หมุนเข้าดื่มเหล้าจนหน้าเฝื่อน แล้วผลุนผลันแข็งใจลงบันไดไป เพราะ ตอนนั้นพระอาทิตย์ยังมีแสงอยู่ยังไม่ลับขอบทุ่งไปทีเดียว

นายชุ่มไปแล้วครูใหญ่ๆ พระอาทิตย์ก็ลับดินไปมืดสลัว เสียงร้องไห้ คงดังมาไม่ขาด สุนัขนึกอย่างไรขึ้นมาหอนกันเกรียวขึ้น ผมสั่นทั้งตัว มัน หอนทำไมกัน เราทั้งสามมองหน้ากันอย่างหน้าขาวซีด แม่นิ่มสำคัญมาก หยิบตะเกียงเตรียมไว้ใกล้ ๆ พอแสงอาทิตย์หมดก็จุดขึ้นเลย แล้วต่างดื่ม เหล้าย้อมใจกันเป็นการใหญ่เพื่อหลีกความครั่นหวั่นหวาด หมาหอนเงียบ ไป เสียงนกแลกร้องปนอยู่สูงหายไปในทุ่ง เด็กสองคนกินข้าวแล้วมารวม กลุ่มกับเรา จริงอยู่เขาไม่รู้เรื่องอะไรเพราะอยู่กันคนละบ้าน แต่ครั้นเห็น เรามีกิริยากลัวๆ อะไรก็เลยมานั่งเบียดอยู่ด้วย

"พวกคุณรับอาหารกันเสียเถอะ ของเรายังมี" แม่นิ่มพูดเสียงค่อย หายสั่น แต่เราสองคนคอมันตีบไม่รู้จะนึกถึงอาหารได้อย่างไร ขอแต่ เหล้าอย่างเดียว เราผู้ใหญ่ลามคนไม่ได้พูดอะไรกันเลย ลมทุ่งพัดเลียงใบ ไม้ดังเกรียา ชุด ผมใจหายนึกเห็นแต่ภาพแม่เดือนเจ้าสาวผีตาย แก้มตอบตาที่หลับอยู่นั้นลึกเข้าไป ปากแบะหน่อยๆ กลิ่นเน่ายังติดจมูก แต่ไม่อยากจะพูดอะไร เพราะทุกคนก็ไม่สมัครใจจะพูดอะไรถึงบ้านนั้น หมดแสงอาทิตย์แล้วใจมันยิ่งหนาว เอาตะเกียงบังเสาเพื่อจะดูอะไร ข้างนอกได้อย่างไม่ฟางตา เด็กก็เบียดเราเข้ามา เราเลยให้นอนอยู่ใกล้ๆ เราสามคนนั่งอยู่อย่างไม่มีควา แกสำแดงการตายเลียก่อนงานเรื่องมันก็จะไม่เป็นไปดังนี้ เมื่อมาลำแดง เดขอย่างนี้ทุกคนเสียขวัญหมด และสำคัญเจ้าบ่าวเสียขวัญกว่าใคร ๆ วัน แต่งงานแต่กลายเป็นวันที่ต้องร้องไห้โฮ และคงจะเข็ดการแต่งงานไปอีก มหมาย ผมใจหวนไปถึงเจ้าสาวผีลิงว่าถ้า นานปี

เวลาได้ผ่านไปนานมาก เสียเอะอะทางบ้านงานได้เบาลงดงเหลือแต่