หน้า:เปิดกรุ (๑) - เหม เวชกร - ๒๕๓๘.pdf/93

หน้านี้ยังไม่ได้พิสูจน์อักษร
93
 

เงียบมันกลับกลายเป็นสร้างความสะเทือนใจแก่ทุกคนไป แม้แต่ แก่หญิงที่มันรักเอง" นายมั่นว่า ในขณะที่เราพูดกันอยู่นั้น แม่นิ่มภรรยานายชุ่มก็ยกสำรับกับข้าว ออกมา เราจึงลงมือกินกัน อาหารบ้านนานั้น ถ้าจะทิ้งน้ำพริกเสียก็ดู จะไม่เป็นอาหารบ้านนา มีต้มยำปลาช่อนที่ต้มแบบโฮกอือ หอมเผา กระเทียมเผา พริกขี้ฟ้าแห้งเผาใส่ลงไปในแกงแล้วโรยด้วยใบกะเพรา ส่วนตะไคร้ใบมะกรูดนั้นก็ใส่อยู่ธรรมดา มะนาวไม่ใข้เขาเอาส้มมะขาม เปียกแทน ชดแล้วโล่งคอจริง ๆ หอมกลิ่นทุกอย่างที่ผสมลงไป ส่วน น้ำพริกนั้นต่ำอย่างเหลวเวลาคลุกข้าวเอาปลากรอบย่างไฟป่นละเอียด โรยคลุกลงไปด้วย ใช้ลูกแตงโมอ่อนลูกเล็ก ๆ ต้มสุกเป็นผักแกล้ม มัน ข่างอร่อยถึงใจนัก มันเป็นรสชาติที่มีศิลปะไปอีกทางหนึ่ง ต่างกับ แป๊ะซะหรือหอยทรายที่กินอยู่ตอนบ่ายนั้น มันเพียงแต่อาหารแกล้มเหล้า ไม่ใช่อาหารกินกับข้าวสุก ผมจำอาหารเย็นมากกว่าที่เคยเป็นมา แถมด้วยของหวานตามพื้น ที่ คือฟักทองแกงบวด พออิ่มดีและฤทธิ์เหล้าทำให้สบายก็เลยเคล้งอยู่ แถวนั้นเอง ลมทุ่งพัดเย็นสบาย หลับบ้างตื่นบ้างตามกาลเทศะ จะตื่น ตอนสุนัขเท่าดังและหนัก ๆ และมันหอนกันเกรียว ผมก็มีใจหนาวๆ ตามกาลเทศะ นึกไปว่าสุนัขที่หอนเยือกเย็นนั้นเจ้าบุญอาจมาด้วยจิตที่ วิ่วอนหวงหึงแม่เดือนของมัน เพราะพรุ่งนี้แล้วหญิงที่มันรักจะเป็นของ คนอื่น ผมนึก ๆ ไปทำเอาต้องเหลียวไปดูทางนอกเฉลียง แต่มันก็ไม่มี อะไรนอกจากความมืด นายมั่นนอนติดอยู่กับผมพออุ่นใจขึ้น พอสุนัข เงียบหยุดหอนเจ้านกกู๊กบนต้นไม้ใหญ่ ๆ แถวนั้นก็ร้องกู๊กขึ้น เสียงมัน ข่างวังเวงเยือกใจ ทางบ้านงานยังคงมีเสียงคนอยู่บ้าง เพราะเตรียม การทำอาหารไว้รับรองเจ้าบ่าวจะมาตักบาตรตอนเข้าและจะเลี้ยงพระ ตามระเบียบ